Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ผู้วินิจฉัย 20

ชาวอิสราเอลรบกับพวกเบนยามิน

20 จากนั้นชาวอิสราเอลทั้งหมดจากดานจดเบเออร์เชบาและจากดินแดนกิเลอาด มาชุมนุมต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์อย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน บรรดาผู้นำของเผ่าต่างๆ ในอิสราเอลทั้งหมดเข้าประจำที่ในการชุมนุมประชากรของพระเจ้า มีทหารสี่แสนคนถือดาบครบมือ (คนเผ่าเบนยามินได้ยินว่าคนอิสราเอลทุกเผ่าได้ขึ้นไปยังมิสปาห์) แล้วชนอิสราเอลกล่าวว่า “จงเล่าให้เราฟังว่าเรื่องเลวร้ายนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”

ดังนั้นชายเลวีสามีของหญิงที่ถูกฆ่ากล่าวว่า “ข้าพเจ้ากับภรรยาน้อยมาค้างคืนที่กิเบอาห์ในเขตเบนยามิน คืนนั้นชาวกิเบอาห์มาล้อมบ้าน คิดจะฆ่าข้าพเจ้า พวกเขาข่มขืนภรรยาน้อยของข้าพเจ้าจนตาย ข้าพเจ้าจึงฟันร่างของนางเป็นสิบสองท่อน ส่งไปทั่วแดนอิสราเอล เพราะว่าคนพวกนั้นได้ทำสิ่งที่เลวทรามต่ำช้ามากในอิสราเอล บัดนี้พี่น้องอิสราเอลทั้งหลาย โปรดแถลงข้อวินิจฉัยของท่านแก่ข้าพเจ้าด้วย”

คนทั้งหมดก็ลุกขึ้นตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราจะไม่ยอมกลับบ้านสักคน จะไม่มีพวกเราแม้แต่คนเดียวกลับไปบ้านของตน เราจะจัดการกับกิเบอาห์ดังนี้คือ เราจะขึ้นไปต่อสู้กับกิเบอาห์ตามการชี้นำของสลากที่จับได้ 10 เราจะคัดเอาชายสิบคนจากทุกร้อยคนของทุกเผ่าในอิสราเอล และร้อยคนจากพันคน และพันคนจากหมื่นคนให้เป็นกองกำลังคอยส่งเสบียงให้กองทัพ และเมื่อกองทัพมาถึงกิเบอาห์ในเบนยามินก็จะเข้าทำลายกิเบอาห์[a] ให้สาสมกับการกระทำอันเลวทรามที่ทำในอิสราเอลครั้งนี้” 11 ดังนั้นคนอิสราเอลทั้งปวงจึงชุมนุมและผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวเข้าสู้กับเมืองนั้น

12 เผ่าต่างๆ ของอิสราเอลส่งผู้สื่อสารไปทั่วเขตแดนเบนยามินและแจ้งว่า “จะว่าอย่างไรกับอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในหมู่พวกท่าน? 13 จงมอบตัวผู้กระทำผิดจากกิเบอาห์มาให้เราประหาร เพื่อขจัดมลทินชั่วร้ายจากอิสราเอล”

แต่ชาวเบนยามินไม่ฟังพี่น้องอิสราเอล 14 พวกเขามาจากเมืองต่างๆ ของตน มารวมตัวกันที่กิเบอาห์เพื่อสู้รบกับคนอิสราเอล 15 ชาวเบนยามินระดมพลดาบ 26,000 คนจากเมืองต่างๆ ของเขาอย่างรวดเร็ว มาสมทบกับชาย 700 คนที่คัดเลือกมาจากกิเบอาห์ 16 ในจำนวนทหารเหล่านี้มี 700 คนซึ่งเป็นนักเหวี่ยงสลิงถนัดซ้าย แต่ละคนสามารถเหวี่ยงก้อนหินใส่เส้นผมเส้นเดียวโดยไม่พลาด

17 ส่วนกองทัพอิสราเอล ไม่นับคนเบนยามิน มีพลดาบ 400,000 คนล้วนเป็นนักรบ

18 กองทัพอิสราเอลไปยังเบธเอล[b]และทูลถามพระเจ้าว่า “ควรให้เผ่าใดออกไปรบกับเผ่าเบนยามินก่อน?”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “ให้ยูดาห์ไปก่อน”

19 รุ่งขึ้นชาวอิสราเอลยกมาตั้งค่ายใกล้กิเบอาห์ 20 ชาวอิสราเอลออกมาเพื่อสู้รบกับชาวเบนยามินและตั้งทัพเผชิญหน้ากันที่กิเบอาห์ 21 ชาวเบนยามินออกมาจากกิเบอาห์และฆ่าชาวอิสราเอลไป 22,000 คนในการรบวันนั้น 22 แต่ชาวอิสราเอลให้กำลังใจกันและกัน และออกมาตั้งแนวรบที่เดิมเช่นวันก่อน 23 ชาวอิสราเอลขึ้นมาร่ำไห้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าจนถึงเวลาเย็น และทูลถามว่า “พวกข้าพระองค์ควรสู้รบกับชาวเบนยามินพี่น้องของพวกข้าพระองค์อีกหรือไม่?”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงไปสู้รบกับพวกเขาเถิด”

24 ชาวอิสราเอลจึงยกพลมาประชิดเบนยามินอีกเป็นวันที่สอง 25 ครั้งนี้เมื่อชาวเบนยามินออกจากกิเบอาห์มาสู้รบ ก็ฆ่าฟันชาวอิสราเอลตายไป 18,000 คน ล้วนแต่เป็นพลดาบ

26 จากนั้นชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ขึ้นไปที่เบธเอลร่ำไห้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า และถืออดอาหารจนถึงเย็นวันนั้น แล้วถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 27 และชาวอิสราเอลทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้า (ในสมัยนั้นหีบพันธสัญญาของพระเจ้าอยู่ที่เบธเอล 28 ฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์หลานของอาโรนปฏิบัติหน้าที่อยู่หน้าหีบนั้น) พวกเขาทูลถามว่า “พวกข้าพระองค์ควรออกไปสู้รบกับชาวเบนยามินซึ่งเป็นพี่น้องของพวกข้าพระองค์อีกหรือไม่?”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “จงไปเถิด วันพรุ่งนี้เราจะมอบพวกเขาไว้ในมือของเจ้า”

29 ฉะนั้นชาวอิสราเอลจึงซุ่มกำลังรอบกิเบอาห์ 30 และออกไปสู้กับชาวเบนยามินอีกในวันที่สาม ตั้งแนวรบต่อสู้กับกิเบอาห์เหมือนที่เคยทำ 31 คนเบนยามินออกมาประจันหน้าและถูกล่อให้ห่างออกไปจากตัวเมือง พวกเขาเริ่มฆ่าฟันคนอิสราเอลเช่นครั้งก่อน มีราวสามสิบคนล้มตายกลางทุ่งโล่งและตามหนทาง ซึ่งสายหนึ่งไปยังเบธเอล อีกสายหนึ่งไปยังกิเบอาห์

32 ชาวเบนยามินตะโกนว่า “เรากำลังจะชนะพวกเขาอย่างครั้งก่อน” ส่วนชาวอิสราเอลกล่าวว่า “ให้เราถอยทัพและล่อพวกเขาออกจากตัวเมืองไปตามทาง”

33 ชาวอิสราเอลทั้งปวงได้เคลื่อนทัพออกจากที่มั่นไปตั้งที่บาอัลทามาร์ แต่กองกำลังของอิสราเอลที่ซุ่มอยู่ทางทิศตะวันตก[c]ของกิเบอาห์[d]ก็ออกมาจากที่มั่น 34 จากนั้นนักรบชั้นยอดของอิสราเอลหนึ่งหมื่นคนก็บุกโจมตีทัพหน้าของกิเบอาห์ สู้รบกันอย่างดุเดือด จนชาวเบนยามินไม่ตระหนักว่าภัยพิบัติมาใกล้ตัวมากเพียงใด 35 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ชาวเบนยามินพ่ายแพ้ชาวอิสราเอล ในวันนั้นชาวอิสราเอลฆ่าฟันพลดาบชาวเบนยามิน 25,100 คน 36 คนเบนยามินจึงเห็นว่าตนแพ้แล้ว

ทัพอิสราเอลทำทีว่าถอยทัพจากชาวเบนยามิน เพื่อเปิดช่องให้กองกำลังที่ซุ่มอยู่ใกล้ๆ กิเบอาห์ 37 คนที่ซุ่มอยู่จู่โจมบุกเข้าไปในเมืองกิเบอาห์ กระจายกำลังฆ่าฟันชาวเมืองทั้งหมด 38 ชาวอิสราเอลนัดหมายกับพวกที่ซุ่มอยู่ ให้ส่งอาณัติสัญญาณเป็นควันกลุ่มใหญ่พุ่งขึ้นจากในเมือง 39 เมื่อนั้นชาวอิสราเอลจะหันกลับมาสู้รบ

ชาวเบนยามินเริ่มฆ่าฟันชาวอิสราเอล (ราวสามสิบคน) เขาพูดกันว่า “เรากำลังจะพิชิตพวกเขาเช่นเดียวกับการรบครั้งแรก” 40 แต่เมื่อควันไฟพุ่งขึ้นจากในเมือง ชาวเบนยามินเหลียวกลับมาดูเห็นควันไฟพุ่งขึ้นฟ้าจากทั่วเมือง 41 จากนั้นชาวอิสราเอลหันกลับมาสู้ ชาวเบนยามินหวาดกลัวมาก เพราะตระหนักว่าภัยพิบัติมาถึงตนแล้ว 42 ดังนั้น พวกเขาก็พ่ายหนีต่อหน้าชาวอิสราเอลไปทางถิ่นกันดาร แต่พวกเขาหนีไม่พ้นแนวรบ และชาวอิสราเอลที่โจมตีเมืองออกมาสังหารพวกเขา 43 อิสราเอลโอบล้อมทัพเบนยามิน และรุกไล่มาทันพวกเขาอย่างง่ายดายที่บริเวณใกล้กับกิเบอาห์ทางตะวันออก 44 ชาวเบนยามินเสียชีวิตในสนามรบ 18,000 คน ทั้งหมดล้วนเป็นทหารกล้า 45 ที่เหลือหนีเข้าไปในถิ่นกันดารทางจะไปศิลาแห่งริมโมน แต่ถูกฆ่าระหว่างทาง 5,000 คน ชาวอิสราเอลไล่ฆ่าชาวเบนยามินไปถึงกิโดมและฆ่าตายไปอีก 2,000 คน

46 ในวันนั้นคนเบนยามินสูญเสียพลดาบไป 25,000 คน ทั้งหมดล้วนเป็นนักรบแกล้วกล้า 47 แต่เหลืออีก 600 คนหนีเข้าไปในถิ่นกันดารสู่ศิลาแห่งริมโมน และอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสี่เดือน 48 ส่วนชาวอิสราเอลหวนกลับไปฆ่าคนเบนยามิน ทั้งชายและหญิง เด็ก ฝูงสัตว์ และเผาทุกเมืองทุกหมู่บ้านทั่วดินแดนนั้น

กิจการของอัครทูต 24

ไต่สวนคดีต่อหน้าเฟลิกส์

24 ห้าวันต่อมามหาปุโรหิตอานาเนีย กลุ่มผู้อาวุโส และทนายเทอร์ทูลลัส มายังเมืองซีซารียาและยื่นฟ้องเปาโลต่อผู้ว่าการ เมื่อเบิกตัวเปาโลเข้ามาเทอร์ทูลลัสก็แถลงคดีต่อหน้าผู้ว่าการดังนี้ “กราบเรียนใต้เท้า พวกข้าพเจ้าสงบสุขกันมานานภายใต้การปกครองของใต้เท้าและการที่ใต้เท้าเห็นการณ์ไกลได้ทำให้มีการปฏิรูปต่างๆ ขึ้นในชนชาตินี้ ใต้เท้าเฟลิกส์ พวกข้าพเจ้าน้อมรับสิ่งนี้ด้วยความสำนึกในบุญคุณอย่างยิ่งในทุกหนทุกแห่งและในทุกๆ ด้าน แต่เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนใต้เท้ามากไปกว่านี้ ข้าพเจ้าขอวิงวอน ใต้เท้าได้โปรดรับฟังเราโดยสังเขปดังนี้

“พวกข้าพเจ้าพบว่าชายผู้นี้เป็นตัวก่อกวนปลุกปั่นให้เกิดการจลาจลในหมู่ชาวยิวทั่วโลก เขาเป็นแกนนำคนหนึ่งของพวกนิกายนาซาเร็ธ และถึงกับพยายามจะทำให้พระวิหารเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพวกข้าพเจ้าจึงจับกุมตัวเขาไว้ ขอ[a]ใต้เท้าไต่สวนเขาเอง แล้วใต้เท้าจะทราบความจริงเกี่ยวกับข้อกล่าวหาทั้งปวงที่พวกข้าพเจ้าฟ้องเขา”

พวกยิวร่วมในการกล่าวหาด้วยยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริง

10 เมื่อผู้ว่าการโบกมือให้เปาโลพูดเขาจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทราบว่าใต้เท้าตัดสินความให้ชนชาตินี้มาตลอดหลายปี ดังนั้นข้าพเจ้าจึงยินดีที่จะขอแก้ข้อกล่าวหา 11 ใต้เท้าสามารถตรวจสอบได้โดยง่ายดายว่าเมื่อไม่เกินสิบสองวันมานี้ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปนมัสการที่กรุงเยรูซาเล็ม 12 โจทก์ไม่ได้พบเห็นข้าพเจ้าโต้เถียงกับใครที่พระวิหารหรือปลุกปั่นฝูงชน ไม่ว่าในธรรมศาลาต่างๆ หรือที่ใดๆ ในกรุง 13 และพวกเขาก็ไม่อาจหาข้อพิสูจน์รับรองคำกล่าวหาทั้งปวงที่ฟ้องร้องข้าพเจ้าอยู่นี้ 14 อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยอมรับว่าข้าพเจ้านมัสการพระเจ้าของบรรพบุรุษในฐานะสาวกของ ‘ทางนั้น’ ซึ่งพวกเขาเรียกว่านิกายหนึ่ง ข้าพเจ้าเชื่อทุกสิ่งที่สอดคล้องกับบทบัญญัติและทุกสิ่งที่ได้เขียนไว้ในหนังสือผู้เผยพระวจนะ 15 และข้าพเจ้าเองมีความหวังในพระเจ้าเช่นเดียวกับคนเหล่านี้ว่าทั้งคนชอบธรรมและคนชั่วจะเป็นขึ้นจากตาย 16 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพากเพียรทุกวิถีทางที่จะรักษาจิตสำนึกอันดีงามทั้งต่อหน้าพระเจ้าและต่อหน้ามนุษย์

17 “หลังจากหายหน้าไปหลายปีข้าพเจ้ามายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อนำความช่วยเหลือผู้ยากไร้มาให้พี่น้องร่วมชาติและเพื่อถวายเครื่องบูชา 18 เมื่อพวกเขาพบข้าพเจ้าทำสิ่งนี้อยู่ที่ลานพระวิหารข้าพเจ้าได้ชำระตัวให้สะอาดตามระเบียบพิธีแล้ว ไม่มีฝูงชนอยู่กับข้าพเจ้าเลย อีกทั้งข้าพเจ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวุ่นวายใดๆ 19 แต่มีชาวยิวบางคนจากแคว้นเอเชียซึ่งควรจะอยู่ที่นี่ต่อหน้าใต้เท้าถ้าเขามีข้อหาใดๆ ที่จะฟ้องร้องข้าพเจ้า 20 หรือคนเหล่านี้ที่อยู่ที่นี่ควรจะระบุความผิดใดที่พบในตัวข้าพเจ้าเมื่อครั้งข้าพเจ้ายืนอยู่ต่อหน้าสภาแซนเฮดริน 21 นอกจากเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ข้าพเจ้าได้ตะโกนเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาว่า ‘ที่ข้าพเจ้าต้องถูกดำเนินคดีต่อหน้าท่านในวันนี้ก็เพราะข้าพเจ้าเชื่อในการเป็นขึ้นจากตาย’ ”

22 ฝ่ายเฟลิกส์ซึ่งคุ้นเคยดีกับเรื่อง “ทางนั้น” จึงสั่งเลื่อนการพิจารณาคดีและกล่าวว่า “เราจะตัดสินคดีของท่านเมื่อนายพันลีเซียสมาถึง” 23 เฟลิกส์สั่งนายร้อยให้คุมตัวเปาโลไว้แต่ผ่อนผันให้มีอิสระบางประการและอนุญาตให้เพื่อนฝูงดูแลช่วยเหลือเขาในสิ่งที่จำเป็น

24 หลังจากนั้นหลายวันเฟลิกส์มาพร้อมกับดรูสิลลาภรรยาของเขาซึ่งเป็นชาวยิว เขาได้เรียกตัวเปาโลมาพบและฟังเปาโลพูดถึงความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 25 ขณะเปาโลบรรยายถึงความชอบธรรม การควบคุมตน และการพิพากษาที่จะมาถึง เฟลิกส์ก็กลัวและกล่าวว่า “พอแค่นี้ก่อน! ท่านไปได้ ไว้มีโอกาสเราจะเรียกท่านมาอีก” 26 ขณะเดียวกันเฟลิกส์ก็หวังว่าเปาโลจะให้สินบนจึงเรียกตัวเขามาสนทนาบ่อยๆ

27 สองปีผ่านไปปอรสิอัส เฟสทัสมารับตำแหน่งแทนเฟลิกส์ แต่เฟลิกส์อยากเอาใจพวกยิวจึงทิ้งเปาโลไว้ในคุก

เยเรมีย์ 34

พระดำรัสเตือนเศเดคียาห์

34 ขณะที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนและกองทัพของพระองค์กับมวลอาณาจักรและประชาชนในจักรวรรดิที่ทรงปกครองกำลังสู้รบกับเยรูซาเล็มและหัวเมืองต่างๆ โดยรอบ ก็มีพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ความว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงไปบอกกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เรากำลังจะยกเมืองนี้ให้กษัตริย์บาบิโลน และเขาจะเผามันเสีย เจ้าจะหนีไม่พ้นมือเขา แต่จะถูกจับกุมตัวไปให้เขาอย่างแน่นอน เจ้าจะเห็นกษัตริย์บาบิโลนกับตา และเขาจะพูดกับเจ้าซึ่งๆ หน้าและเจ้าจะไปยังบาบิโลน

“ ‘แต่จงฟังพระสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด กษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์เอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเกี่ยวกับเจ้าดังนี้ว่า เจ้าจะไม่ตายเพราะสงคราม เจ้าจะตายอย่างสงบสุข และประชาชนจะเผาเครื่องหอมเป็นเกียรติแก่เจ้าเหมือนที่ได้ทำแก่บรรพบุรุษของเจ้าซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ก่อนเจ้า เขาจะร่ำไห้อาลัยเจ้าว่า “โอ้ อนิจจา กษัตริย์ของเรา!” เราเองได้สัญญาไว้ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น’ ”

แล้วผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์จึงทูลทุกอย่างต่อกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ในเยรูซาเล็ม ขณะที่กองทัพบาบิโลนกำลังสู้รบกับเยรูซาเล็มและสู้รบกับลาคิชและอาเซคาห์ซึ่งเป็นหัวเมืองป้อมปราการที่ยังคงต่อสู้อยู่ในยูดาห์

เสรีภาพสำหรับทาส

พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์หลังจากที่กษัตริย์เศเดคียาห์ทรงทำสัญญากับประชาชนในเยรูซาเล็มว่าจะประกาศให้เสรีภาพแก่ทาสทั้งปวง ให้ทุกคนปล่อยทาสฮีบรู ไม่ว่าชายหรือหญิง อย่าให้ผู้ใดทำให้ชาวยิวซึ่งเป็นพี่น้องร่วมชาติตกเป็นทาส 10 ดังนั้นบรรดาข้าราชบริพารและประชาชนทั้งปวงที่เข้าร่วมในพันธสัญญานี้จึงเห็นพ้องต้องกันที่จะปลดปล่อยทาสชายหญิงของตนให้พ้นจากข้อผูกมัดทุกประการ 11 แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนใจ และจับทาสที่ปล่อยเป็นไทแล้วกลับมาเป็นทาสอีก

12 ฉะนั้นจึงมีพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ว่า 13 “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เราได้ทำพันธสัญญากับบรรพบุรุษของพวกเจ้าเมื่อเรานำคนเหล่านั้นออกมาจากอียิปต์ซึ่งเป็นดินแดนทาส เราสั่งไว้ว่า 14 ‘ทุกปีที่เจ็ดพวกเจ้าทุกคนต้องปลดปล่อยพี่น้องชาวฮีบรูซึ่งขายตัวเองเป็นทาสของเจ้า หลังจากที่เขารับใช้เจ้ามาตลอดหกปีแล้ว พวกเจ้าต้องปล่อยเขาเป็นไท’[a] แต่บรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลายไม่ยอมใส่ใจ ไม่ยอมฟังคำของเรา 15 เมื่อเร็วๆ นี้ เจ้าสำนึกผิดและทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา เจ้าแต่ละคนประกาศให้เสรีภาพแก่พี่น้องร่วมชาติของตน เจ้าถึงกับทำสัญญาต่อหน้าเราในวิหารซึ่งใช้นามของเรา 16 แต่บัดนี้เจ้ากลับคำและลบหลู่นามของเรา พวกเจ้าแต่ละคนบังคับทาสชายหญิงซึ่งเจ้าได้ปลดปล่อยให้เป็นอิสระและให้ไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบนั้น กลับมาเป็นทาสของเจ้าอีก

17 “ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าไม่ได้เชื่อฟังเรา ไม่ได้ประกาศให้อิสรภาพแก่พี่น้องร่วมชาติของเจ้า ดังนั้นเราขอประกาศให้ ‘เสรีภาพ’ แก่เจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ‘เสรีภาพ’ที่จะล้มตายด้วยสงคราม โรคระบาด และการกันดารอาหาร เราจะทำให้เจ้าเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์แก่มวลอาณาจักรในโลกนี้ 18 ผู้ที่ละเมิดพันธสัญญาของเรา และไม่ทำตามข้อกำหนดของพันธสัญญาซึ่งให้ไว้ต่อหน้าเรา เราจะปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนวัวที่ถูกผ่าออกเป็นสองท่อนและเดินผ่ากลาง 19 บรรดาผู้นำของยูดาห์และเยรูซาเล็ม ข้าราชสำนัก ปุโรหิต และประชากรทั้งปวง ที่เดินผ่ากลางสองท่อนของวัวนั้น 20 เราจะมอบพวกเขาให้แก่ศัตรูผู้หมายเอาชีวิตของพวกเขา ซากศพของพวกเขาจะตกเป็นเหยื่อของสัตว์ป่าและนกในอากาศ

21 “เราจะมอบกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์และข้าราชบริพารของเขาแก่ศัตรูผู้ที่มุ่งเอาชีวิตเขาแก่กองทัพกษัตริย์บาบิโลน ซึ่งได้ถอนทัพไปจากพวกเจ้า 22 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่าเราจะออกคำสั่งและเราจะนำพวกเขากลับมากรุงนี้อีก พวกเขาจะมาต่อสู้ เอาชนะและเผาเมืองเสีย เราจะทำให้หัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์ถูกทิ้งร้าง ไม่มีใครอาศัยอยู่”

สดุดี 5-6

(ถึงหัวหน้านักร้อง บรรเลงขลุ่ย บทสดุดีของดาวิด)

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดสดับฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์
ขอทรงสนพระทัยการคร่ำครวญของข้าพระองค์
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ กษัตริย์ของข้าพระองค์
โปรดฟังคำร้องทูลขอความช่วยเหลือ
เพราะข้าพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ในยามเช้าพระองค์ทรงได้ยินเสียงข้าพระองค์
ในยามเช้าข้าพระองค์นำคำร้องทูลมาต่อหน้าพระองค์
และจดจ่อรอคอยคำตอบจากพระองค์
เพราะพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าที่พอพระทัยในสิ่งชั่วร้าย
คนชั่วไม่อาจอยู่ร่วมกับพระองค์ได้
คนหยิ่งจองหองไม่อาจยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ได้
พระองค์ทรงเกลียดชังทุกคนที่ทำผิด
พระองค์ทรงทำลายล้างพวกคนโกหก
ส่วนคนที่กระหายเลือดและคนคดโกงนั้น
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชิงชัง
แต่ข้าพระองค์จะเข้ามายังพระนิเวศของพระองค์
โดยความรักเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
ข้าพระองค์จะกราบนมัสการพระองค์ด้วยความยำเกรง
ตรงต่อพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เนื่องด้วยศัตรูของข้าพระองค์
ขอทรงนำข้าพระองค์ไปในทางชอบธรรมของพระองค์
ขอให้ข้าพระองค์เดินในวิถีของพระองค์อย่างราบรื่น
เพราะไม่มีสักคำจากปากของพวกเขาที่เชื่อถือได้
ในใจของพวกเขามีแต่การทำลายล้าง
ลำคอของพวกเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่
พวกเขาใช้ลิ้นกล่าวปลิ้นปล้อน
10 ข้าแต่พระเจ้า! ขอทรงประกาศว่าพวกเขาผิด
ขอให้พวกเขาล่มจมด้วยกลอุบายของตัวเอง
ขอทรงขับไล่พวกเขาเพราะบาปทั้งหลายของพวกเขา
เพราะพวกเขาได้กบฏต่อพระองค์
11 แต่ขอให้ทุกคนที่ลี้ภัยในพระองค์เปรมปรีดิ์
ให้พวกเขาร้องเพลงรื่นเริงยินดีอยู่เสมอ
ขอทรงปกป้องคุ้มครองพวกเขา
เพื่อบรรดาผู้ที่รักพระนามของพระองค์จะชื่นชมยินดีในพระองค์

12 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า แน่ทีเดียว พระองค์ทรงอวยพรคนชอบธรรม
ความโปรดปรานของพระองค์เป็นดั่งโล่โอบล้อมพวกเขาไว้

(ถึงหัวหน้านักร้อง บรรเลงเครื่องสาย ตามทำนองเชมินิท[a] บทสดุดีของดาวิด)

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงโปรดอย่ากำราบข้าพระองค์ขณะที่พระองค์ทรงกริ้ว
หรือลงวินัยข้าพระองค์ขณะที่ทรงพระพิโรธ
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงกรุณาข้าพระองค์เถิด เพราะข้าพระองค์อ่อนระโหยโรยแรง
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงโปรดรักษาข้าพระองค์ เพราะกระดูกของข้าพระองค์ปวดร้าวแสนสาหัส
จิตวิญญาณของข้าพระองค์ทุกข์ระทมนัก
อีกนานสักเท่าใด ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า อีกนานสักเท่าใด?

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงหันมาช่วยกู้ข้าพระองค์ด้วยเถิด
ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดพ้นเพราะความรักมั่นคงของพระองค์
ไม่มีใครที่ตายไปแล้วจะระลึกถึงพระองค์ได้
ผู้ใดเล่าจะสรรเสริญพระองค์จากหลุมฝังศพได้?

ข้าพระองค์คร่ำครวญจนอ่อนล้า

ข้าพระองค์ร่ำไห้ตลอดทั้งคืนจนน้ำตาท่วมที่นอน
และหมอนของข้าพระองค์ชุ่มด้วยน้ำตา
ดวงตาของข้าพระองค์หม่นหมองไปเพราะความทุกข์โศก
ช้ำไปเพราะบรรดาศัตรูของข้าพระองค์

พวกเจ้าทุกคนที่ทำชั่ว จงไปให้พ้นข้าพเจ้า
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินเสียงร่ำไห้ของข้าพเจ้าแล้ว
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินเสียงร้องทูลขอความเมตตาของข้าพเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยอมรับคำอธิษฐานของข้าพเจ้า
10 บรรดาศัตรูของข้าพเจ้าจะมีแต่ความอับอายและความหวาดกลัว
พวกเขาจะหันกลับไปและได้รับความอัปยศอดสูทันที

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.