M’Cheyne Bible Reading Plan
ชาวอิสราเอลรบกับพวกเบนยามิน
20 จากนั้นชาวอิสราเอลทั้งหมดจากดานจดเบเออร์เชบาและจากดินแดนกิเลอาด มาชุมนุมต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์อย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน 2 บรรดาผู้นำของเผ่าต่างๆ ในอิสราเอลทั้งหมดเข้าประจำที่ในการชุมนุมประชากรของพระเจ้า มีทหารสี่แสนคนถือดาบครบมือ 3 (คนเผ่าเบนยามินได้ยินว่าคนอิสราเอลทุกเผ่าได้ขึ้นไปยังมิสปาห์) แล้วชนอิสราเอลกล่าวว่า “จงเล่าให้เราฟังว่าเรื่องเลวร้ายนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”
4 ดังนั้นชายเลวีสามีของหญิงที่ถูกฆ่ากล่าวว่า “ข้าพเจ้ากับภรรยาน้อยมาค้างคืนที่กิเบอาห์ในเขตเบนยามิน 5 คืนนั้นชาวกิเบอาห์มาล้อมบ้าน คิดจะฆ่าข้าพเจ้า พวกเขาข่มขืนภรรยาน้อยของข้าพเจ้าจนตาย 6 ข้าพเจ้าจึงฟันร่างของนางเป็นสิบสองท่อน ส่งไปทั่วแดนอิสราเอล เพราะว่าคนพวกนั้นได้ทำสิ่งที่เลวทรามต่ำช้ามากในอิสราเอล 7 บัดนี้พี่น้องอิสราเอลทั้งหลาย โปรดแถลงข้อวินิจฉัยของท่านแก่ข้าพเจ้าด้วย”
8 คนทั้งหมดก็ลุกขึ้นตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราจะไม่ยอมกลับบ้านสักคน จะไม่มีพวกเราแม้แต่คนเดียวกลับไปบ้านของตน 9 เราจะจัดการกับกิเบอาห์ดังนี้คือ เราจะขึ้นไปต่อสู้กับกิเบอาห์ตามการชี้นำของสลากที่จับได้ 10 เราจะคัดเอาชายสิบคนจากทุกร้อยคนของทุกเผ่าในอิสราเอล และร้อยคนจากพันคน และพันคนจากหมื่นคนให้เป็นกองกำลังคอยส่งเสบียงให้กองทัพ และเมื่อกองทัพมาถึงกิเบอาห์ในเบนยามินก็จะเข้าทำลายกิเบอาห์[a] ให้สาสมกับการกระทำอันเลวทรามที่ทำในอิสราเอลครั้งนี้” 11 ดังนั้นคนอิสราเอลทั้งปวงจึงชุมนุมและผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวเข้าสู้กับเมืองนั้น
12 เผ่าต่างๆ ของอิสราเอลส่งผู้สื่อสารไปทั่วเขตแดนเบนยามินและแจ้งว่า “จะว่าอย่างไรกับอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในหมู่พวกท่าน? 13 จงมอบตัวผู้กระทำผิดจากกิเบอาห์มาให้เราประหาร เพื่อขจัดมลทินชั่วร้ายจากอิสราเอล”
แต่ชาวเบนยามินไม่ฟังพี่น้องอิสราเอล 14 พวกเขามาจากเมืองต่างๆ ของตน มารวมตัวกันที่กิเบอาห์เพื่อสู้รบกับคนอิสราเอล 15 ชาวเบนยามินระดมพลดาบ 26,000 คนจากเมืองต่างๆ ของเขาอย่างรวดเร็ว มาสมทบกับชาย 700 คนที่คัดเลือกมาจากกิเบอาห์ 16 ในจำนวนทหารเหล่านี้มี 700 คนซึ่งเป็นนักเหวี่ยงสลิงถนัดซ้าย แต่ละคนสามารถเหวี่ยงก้อนหินใส่เส้นผมเส้นเดียวโดยไม่พลาด
17 ส่วนกองทัพอิสราเอล ไม่นับคนเบนยามิน มีพลดาบ 400,000 คนล้วนเป็นนักรบ
18 กองทัพอิสราเอลไปยังเบธเอล[b]และทูลถามพระเจ้าว่า “ควรให้เผ่าใดออกไปรบกับเผ่าเบนยามินก่อน?”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “ให้ยูดาห์ไปก่อน”
19 รุ่งขึ้นชาวอิสราเอลยกมาตั้งค่ายใกล้กิเบอาห์ 20 ชาวอิสราเอลออกมาเพื่อสู้รบกับชาวเบนยามินและตั้งทัพเผชิญหน้ากันที่กิเบอาห์ 21 ชาวเบนยามินออกมาจากกิเบอาห์และฆ่าชาวอิสราเอลไป 22,000 คนในการรบวันนั้น 22 แต่ชาวอิสราเอลให้กำลังใจกันและกัน และออกมาตั้งแนวรบที่เดิมเช่นวันก่อน 23 ชาวอิสราเอลขึ้นมาร่ำไห้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าจนถึงเวลาเย็น และทูลถามว่า “พวกข้าพระองค์ควรสู้รบกับชาวเบนยามินพี่น้องของพวกข้าพระองค์อีกหรือไม่?”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงไปสู้รบกับพวกเขาเถิด”
24 ชาวอิสราเอลจึงยกพลมาประชิดเบนยามินอีกเป็นวันที่สอง 25 ครั้งนี้เมื่อชาวเบนยามินออกจากกิเบอาห์มาสู้รบ ก็ฆ่าฟันชาวอิสราเอลตายไป 18,000 คน ล้วนแต่เป็นพลดาบ
26 จากนั้นชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ขึ้นไปที่เบธเอลร่ำไห้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า และถืออดอาหารจนถึงเย็นวันนั้น แล้วถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 27 และชาวอิสราเอลทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้า (ในสมัยนั้นหีบพันธสัญญาของพระเจ้าอยู่ที่เบธเอล 28 ฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์หลานของอาโรนปฏิบัติหน้าที่อยู่หน้าหีบนั้น) พวกเขาทูลถามว่า “พวกข้าพระองค์ควรออกไปสู้รบกับชาวเบนยามินซึ่งเป็นพี่น้องของพวกข้าพระองค์อีกหรือไม่?”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “จงไปเถิด วันพรุ่งนี้เราจะมอบพวกเขาไว้ในมือของเจ้า”
29 ฉะนั้นชาวอิสราเอลจึงซุ่มกำลังรอบกิเบอาห์ 30 และออกไปสู้กับชาวเบนยามินอีกในวันที่สาม ตั้งแนวรบต่อสู้กับกิเบอาห์เหมือนที่เคยทำ 31 คนเบนยามินออกมาประจันหน้าและถูกล่อให้ห่างออกไปจากตัวเมือง พวกเขาเริ่มฆ่าฟันคนอิสราเอลเช่นครั้งก่อน มีราวสามสิบคนล้มตายกลางทุ่งโล่งและตามหนทาง ซึ่งสายหนึ่งไปยังเบธเอล อีกสายหนึ่งไปยังกิเบอาห์
32 ชาวเบนยามินตะโกนว่า “เรากำลังจะชนะพวกเขาอย่างครั้งก่อน” ส่วนชาวอิสราเอลกล่าวว่า “ให้เราถอยทัพและล่อพวกเขาออกจากตัวเมืองไปตามทาง”
33 ชาวอิสราเอลทั้งปวงได้เคลื่อนทัพออกจากที่มั่นไปตั้งที่บาอัลทามาร์ แต่กองกำลังของอิสราเอลที่ซุ่มอยู่ทางทิศตะวันตก[c]ของกิเบอาห์[d]ก็ออกมาจากที่มั่น 34 จากนั้นนักรบชั้นยอดของอิสราเอลหนึ่งหมื่นคนก็บุกโจมตีทัพหน้าของกิเบอาห์ สู้รบกันอย่างดุเดือด จนชาวเบนยามินไม่ตระหนักว่าภัยพิบัติมาใกล้ตัวมากเพียงใด 35 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ชาวเบนยามินพ่ายแพ้ชาวอิสราเอล ในวันนั้นชาวอิสราเอลฆ่าฟันพลดาบชาวเบนยามิน 25,100 คน 36 คนเบนยามินจึงเห็นว่าตนแพ้แล้ว
ทัพอิสราเอลทำทีว่าถอยทัพจากชาวเบนยามิน เพื่อเปิดช่องให้กองกำลังที่ซุ่มอยู่ใกล้ๆ กิเบอาห์ 37 คนที่ซุ่มอยู่จู่โจมบุกเข้าไปในเมืองกิเบอาห์ กระจายกำลังฆ่าฟันชาวเมืองทั้งหมด 38 ชาวอิสราเอลนัดหมายกับพวกที่ซุ่มอยู่ ให้ส่งอาณัติสัญญาณเป็นควันกลุ่มใหญ่พุ่งขึ้นจากในเมือง 39 เมื่อนั้นชาวอิสราเอลจะหันกลับมาสู้รบ
ชาวเบนยามินเริ่มฆ่าฟันชาวอิสราเอล (ราวสามสิบคน) เขาพูดกันว่า “เรากำลังจะพิชิตพวกเขาเช่นเดียวกับการรบครั้งแรก” 40 แต่เมื่อควันไฟพุ่งขึ้นจากในเมือง ชาวเบนยามินเหลียวกลับมาดูเห็นควันไฟพุ่งขึ้นฟ้าจากทั่วเมือง 41 จากนั้นชาวอิสราเอลหันกลับมาสู้ ชาวเบนยามินหวาดกลัวมาก เพราะตระหนักว่าภัยพิบัติมาถึงตนแล้ว 42 ดังนั้น พวกเขาก็พ่ายหนีต่อหน้าชาวอิสราเอลไปทางถิ่นกันดาร แต่พวกเขาหนีไม่พ้นแนวรบ และชาวอิสราเอลที่โจมตีเมืองออกมาสังหารพวกเขา 43 อิสราเอลโอบล้อมทัพเบนยามิน และรุกไล่มาทันพวกเขาอย่างง่ายดายที่บริเวณใกล้กับกิเบอาห์ทางตะวันออก 44 ชาวเบนยามินเสียชีวิตในสนามรบ 18,000 คน ทั้งหมดล้วนเป็นทหารกล้า 45 ที่เหลือหนีเข้าไปในถิ่นกันดารทางจะไปศิลาแห่งริมโมน แต่ถูกฆ่าระหว่างทาง 5,000 คน ชาวอิสราเอลไล่ฆ่าชาวเบนยามินไปถึงกิโดมและฆ่าตายไปอีก 2,000 คน
46 ในวันนั้นคนเบนยามินสูญเสียพลดาบไป 25,000 คน ทั้งหมดล้วนเป็นนักรบแกล้วกล้า 47 แต่เหลืออีก 600 คนหนีเข้าไปในถิ่นกันดารสู่ศิลาแห่งริมโมน และอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสี่เดือน 48 ส่วนชาวอิสราเอลหวนกลับไปฆ่าคนเบนยามิน ทั้งชายและหญิง เด็ก ฝูงสัตว์ และเผาทุกเมืองทุกหมู่บ้านทั่วดินแดนนั้น
ไต่สวนคดีต่อหน้าเฟลิกส์
24 ห้าวันต่อมามหาปุโรหิตอานาเนีย กลุ่มผู้อาวุโส และทนายเทอร์ทูลลัส มายังเมืองซีซารียาและยื่นฟ้องเปาโลต่อผู้ว่าการ 2 เมื่อเบิกตัวเปาโลเข้ามาเทอร์ทูลลัสก็แถลงคดีต่อหน้าผู้ว่าการดังนี้ “กราบเรียนใต้เท้า พวกข้าพเจ้าสงบสุขกันมานานภายใต้การปกครองของใต้เท้าและการที่ใต้เท้าเห็นการณ์ไกลได้ทำให้มีการปฏิรูปต่างๆ ขึ้นในชนชาตินี้ 3 ใต้เท้าเฟลิกส์ พวกข้าพเจ้าน้อมรับสิ่งนี้ด้วยความสำนึกในบุญคุณอย่างยิ่งในทุกหนทุกแห่งและในทุกๆ ด้าน 4 แต่เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนใต้เท้ามากไปกว่านี้ ข้าพเจ้าขอวิงวอน ใต้เท้าได้โปรดรับฟังเราโดยสังเขปดังนี้
5 “พวกข้าพเจ้าพบว่าชายผู้นี้เป็นตัวก่อกวนปลุกปั่นให้เกิดการจลาจลในหมู่ชาวยิวทั่วโลก เขาเป็นแกนนำคนหนึ่งของพวกนิกายนาซาเร็ธ 6 และถึงกับพยายามจะทำให้พระวิหารเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพวกข้าพเจ้าจึงจับกุมตัวเขาไว้ 8 ขอ[a]ใต้เท้าไต่สวนเขาเอง แล้วใต้เท้าจะทราบความจริงเกี่ยวกับข้อกล่าวหาทั้งปวงที่พวกข้าพเจ้าฟ้องเขา”
9 พวกยิวร่วมในการกล่าวหาด้วยยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริง
10 เมื่อผู้ว่าการโบกมือให้เปาโลพูดเขาจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทราบว่าใต้เท้าตัดสินความให้ชนชาตินี้มาตลอดหลายปี ดังนั้นข้าพเจ้าจึงยินดีที่จะขอแก้ข้อกล่าวหา 11 ใต้เท้าสามารถตรวจสอบได้โดยง่ายดายว่าเมื่อไม่เกินสิบสองวันมานี้ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปนมัสการที่กรุงเยรูซาเล็ม 12 โจทก์ไม่ได้พบเห็นข้าพเจ้าโต้เถียงกับใครที่พระวิหารหรือปลุกปั่นฝูงชน ไม่ว่าในธรรมศาลาต่างๆ หรือที่ใดๆ ในกรุง 13 และพวกเขาก็ไม่อาจหาข้อพิสูจน์รับรองคำกล่าวหาทั้งปวงที่ฟ้องร้องข้าพเจ้าอยู่นี้ 14 อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยอมรับว่าข้าพเจ้านมัสการพระเจ้าของบรรพบุรุษในฐานะสาวกของ ‘ทางนั้น’ ซึ่งพวกเขาเรียกว่านิกายหนึ่ง ข้าพเจ้าเชื่อทุกสิ่งที่สอดคล้องกับบทบัญญัติและทุกสิ่งที่ได้เขียนไว้ในหนังสือผู้เผยพระวจนะ 15 และข้าพเจ้าเองมีความหวังในพระเจ้าเช่นเดียวกับคนเหล่านี้ว่าทั้งคนชอบธรรมและคนชั่วจะเป็นขึ้นจากตาย 16 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพากเพียรทุกวิถีทางที่จะรักษาจิตสำนึกอันดีงามทั้งต่อหน้าพระเจ้าและต่อหน้ามนุษย์
17 “หลังจากหายหน้าไปหลายปีข้าพเจ้ามายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อนำความช่วยเหลือผู้ยากไร้มาให้พี่น้องร่วมชาติและเพื่อถวายเครื่องบูชา 18 เมื่อพวกเขาพบข้าพเจ้าทำสิ่งนี้อยู่ที่ลานพระวิหารข้าพเจ้าได้ชำระตัวให้สะอาดตามระเบียบพิธีแล้ว ไม่มีฝูงชนอยู่กับข้าพเจ้าเลย อีกทั้งข้าพเจ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวุ่นวายใดๆ 19 แต่มีชาวยิวบางคนจากแคว้นเอเชียซึ่งควรจะอยู่ที่นี่ต่อหน้าใต้เท้าถ้าเขามีข้อหาใดๆ ที่จะฟ้องร้องข้าพเจ้า 20 หรือคนเหล่านี้ที่อยู่ที่นี่ควรจะระบุความผิดใดที่พบในตัวข้าพเจ้าเมื่อครั้งข้าพเจ้ายืนอยู่ต่อหน้าสภาแซนเฮดริน 21 นอกจากเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ข้าพเจ้าได้ตะโกนเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาว่า ‘ที่ข้าพเจ้าต้องถูกดำเนินคดีต่อหน้าท่านในวันนี้ก็เพราะข้าพเจ้าเชื่อในการเป็นขึ้นจากตาย’ ”
22 ฝ่ายเฟลิกส์ซึ่งคุ้นเคยดีกับเรื่อง “ทางนั้น” จึงสั่งเลื่อนการพิจารณาคดีและกล่าวว่า “เราจะตัดสินคดีของท่านเมื่อนายพันลีเซียสมาถึง” 23 เฟลิกส์สั่งนายร้อยให้คุมตัวเปาโลไว้แต่ผ่อนผันให้มีอิสระบางประการและอนุญาตให้เพื่อนฝูงดูแลช่วยเหลือเขาในสิ่งที่จำเป็น
24 หลังจากนั้นหลายวันเฟลิกส์มาพร้อมกับดรูสิลลาภรรยาของเขาซึ่งเป็นชาวยิว เขาได้เรียกตัวเปาโลมาพบและฟังเปาโลพูดถึงความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 25 ขณะเปาโลบรรยายถึงความชอบธรรม การควบคุมตน และการพิพากษาที่จะมาถึง เฟลิกส์ก็กลัวและกล่าวว่า “พอแค่นี้ก่อน! ท่านไปได้ ไว้มีโอกาสเราจะเรียกท่านมาอีก” 26 ขณะเดียวกันเฟลิกส์ก็หวังว่าเปาโลจะให้สินบนจึงเรียกตัวเขามาสนทนาบ่อยๆ
27 สองปีผ่านไปปอรสิอัส เฟสทัสมารับตำแหน่งแทนเฟลิกส์ แต่เฟลิกส์อยากเอาใจพวกยิวจึงทิ้งเปาโลไว้ในคุก
พระดำรัสเตือนเศเดคียาห์
34 ขณะที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนและกองทัพของพระองค์กับมวลอาณาจักรและประชาชนในจักรวรรดิที่ทรงปกครองกำลังสู้รบกับเยรูซาเล็มและหัวเมืองต่างๆ โดยรอบ ก็มีพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ความว่า 2 “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงไปบอกกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เรากำลังจะยกเมืองนี้ให้กษัตริย์บาบิโลน และเขาจะเผามันเสีย 3 เจ้าจะหนีไม่พ้นมือเขา แต่จะถูกจับกุมตัวไปให้เขาอย่างแน่นอน เจ้าจะเห็นกษัตริย์บาบิโลนกับตา และเขาจะพูดกับเจ้าซึ่งๆ หน้าและเจ้าจะไปยังบาบิโลน
4 “ ‘แต่จงฟังพระสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด กษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์เอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเกี่ยวกับเจ้าดังนี้ว่า เจ้าจะไม่ตายเพราะสงคราม 5 เจ้าจะตายอย่างสงบสุข และประชาชนจะเผาเครื่องหอมเป็นเกียรติแก่เจ้าเหมือนที่ได้ทำแก่บรรพบุรุษของเจ้าซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ก่อนเจ้า เขาจะร่ำไห้อาลัยเจ้าว่า “โอ้ อนิจจา กษัตริย์ของเรา!” เราเองได้สัญญาไว้ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น’ ”
6 แล้วผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์จึงทูลทุกอย่างต่อกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ในเยรูซาเล็ม 7 ขณะที่กองทัพบาบิโลนกำลังสู้รบกับเยรูซาเล็มและสู้รบกับลาคิชและอาเซคาห์ซึ่งเป็นหัวเมืองป้อมปราการที่ยังคงต่อสู้อยู่ในยูดาห์
เสรีภาพสำหรับทาส
8 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์หลังจากที่กษัตริย์เศเดคียาห์ทรงทำสัญญากับประชาชนในเยรูซาเล็มว่าจะประกาศให้เสรีภาพแก่ทาสทั้งปวง 9 ให้ทุกคนปล่อยทาสฮีบรู ไม่ว่าชายหรือหญิง อย่าให้ผู้ใดทำให้ชาวยิวซึ่งเป็นพี่น้องร่วมชาติตกเป็นทาส 10 ดังนั้นบรรดาข้าราชบริพารและประชาชนทั้งปวงที่เข้าร่วมในพันธสัญญานี้จึงเห็นพ้องต้องกันที่จะปลดปล่อยทาสชายหญิงของตนให้พ้นจากข้อผูกมัดทุกประการ 11 แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนใจ และจับทาสที่ปล่อยเป็นไทแล้วกลับมาเป็นทาสอีก
12 ฉะนั้นจึงมีพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ว่า 13 “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เราได้ทำพันธสัญญากับบรรพบุรุษของพวกเจ้าเมื่อเรานำคนเหล่านั้นออกมาจากอียิปต์ซึ่งเป็นดินแดนทาส เราสั่งไว้ว่า 14 ‘ทุกปีที่เจ็ดพวกเจ้าทุกคนต้องปลดปล่อยพี่น้องชาวฮีบรูซึ่งขายตัวเองเป็นทาสของเจ้า หลังจากที่เขารับใช้เจ้ามาตลอดหกปีแล้ว พวกเจ้าต้องปล่อยเขาเป็นไท’[a] แต่บรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลายไม่ยอมใส่ใจ ไม่ยอมฟังคำของเรา 15 เมื่อเร็วๆ นี้ เจ้าสำนึกผิดและทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา เจ้าแต่ละคนประกาศให้เสรีภาพแก่พี่น้องร่วมชาติของตน เจ้าถึงกับทำสัญญาต่อหน้าเราในวิหารซึ่งใช้นามของเรา 16 แต่บัดนี้เจ้ากลับคำและลบหลู่นามของเรา พวกเจ้าแต่ละคนบังคับทาสชายหญิงซึ่งเจ้าได้ปลดปล่อยให้เป็นอิสระและให้ไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบนั้น กลับมาเป็นทาสของเจ้าอีก
17 “ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าไม่ได้เชื่อฟังเรา ไม่ได้ประกาศให้อิสรภาพแก่พี่น้องร่วมชาติของเจ้า ดังนั้นเราขอประกาศให้ ‘เสรีภาพ’ แก่เจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ‘เสรีภาพ’ที่จะล้มตายด้วยสงคราม โรคระบาด และการกันดารอาหาร เราจะทำให้เจ้าเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์แก่มวลอาณาจักรในโลกนี้ 18 ผู้ที่ละเมิดพันธสัญญาของเรา และไม่ทำตามข้อกำหนดของพันธสัญญาซึ่งให้ไว้ต่อหน้าเรา เราจะปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนวัวที่ถูกผ่าออกเป็นสองท่อนและเดินผ่ากลาง 19 บรรดาผู้นำของยูดาห์และเยรูซาเล็ม ข้าราชสำนัก ปุโรหิต และประชากรทั้งปวง ที่เดินผ่ากลางสองท่อนของวัวนั้น 20 เราจะมอบพวกเขาให้แก่ศัตรูผู้หมายเอาชีวิตของพวกเขา ซากศพของพวกเขาจะตกเป็นเหยื่อของสัตว์ป่าและนกในอากาศ
21 “เราจะมอบกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์และข้าราชบริพารของเขาแก่ศัตรูผู้ที่มุ่งเอาชีวิตเขาแก่กองทัพกษัตริย์บาบิโลน ซึ่งได้ถอนทัพไปจากพวกเจ้า 22 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่าเราจะออกคำสั่งและเราจะนำพวกเขากลับมากรุงนี้อีก พวกเขาจะมาต่อสู้ เอาชนะและเผาเมืองเสีย เราจะทำให้หัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์ถูกทิ้งร้าง ไม่มีใครอาศัยอยู่”
(ถึงหัวหน้านักร้อง บรรเลงขลุ่ย บทสดุดีของดาวิด)
5 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดสดับฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์
ขอทรงสนพระทัยการคร่ำครวญของข้าพระองค์
2 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ กษัตริย์ของข้าพระองค์
โปรดฟังคำร้องทูลขอความช่วยเหลือ
เพราะข้าพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์
3 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ในยามเช้าพระองค์ทรงได้ยินเสียงข้าพระองค์
ในยามเช้าข้าพระองค์นำคำร้องทูลมาต่อหน้าพระองค์
และจดจ่อรอคอยคำตอบจากพระองค์
4 เพราะพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าที่พอพระทัยในสิ่งชั่วร้าย
คนชั่วไม่อาจอยู่ร่วมกับพระองค์ได้
5 คนหยิ่งจองหองไม่อาจยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ได้
พระองค์ทรงเกลียดชังทุกคนที่ทำผิด
6 พระองค์ทรงทำลายล้างพวกคนโกหก
ส่วนคนที่กระหายเลือดและคนคดโกงนั้น
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชิงชัง
7 แต่ข้าพระองค์จะเข้ามายังพระนิเวศของพระองค์
โดยความรักเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
ข้าพระองค์จะกราบนมัสการพระองค์ด้วยความยำเกรง
ตรงต่อพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
8 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เนื่องด้วยศัตรูของข้าพระองค์
ขอทรงนำข้าพระองค์ไปในทางชอบธรรมของพระองค์
ขอให้ข้าพระองค์เดินในวิถีของพระองค์อย่างราบรื่น
9 เพราะไม่มีสักคำจากปากของพวกเขาที่เชื่อถือได้
ในใจของพวกเขามีแต่การทำลายล้าง
ลำคอของพวกเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่
พวกเขาใช้ลิ้นกล่าวปลิ้นปล้อน
10 ข้าแต่พระเจ้า! ขอทรงประกาศว่าพวกเขาผิด
ขอให้พวกเขาล่มจมด้วยกลอุบายของตัวเอง
ขอทรงขับไล่พวกเขาเพราะบาปทั้งหลายของพวกเขา
เพราะพวกเขาได้กบฏต่อพระองค์
11 แต่ขอให้ทุกคนที่ลี้ภัยในพระองค์เปรมปรีดิ์
ให้พวกเขาร้องเพลงรื่นเริงยินดีอยู่เสมอ
ขอทรงปกป้องคุ้มครองพวกเขา
เพื่อบรรดาผู้ที่รักพระนามของพระองค์จะชื่นชมยินดีในพระองค์
12 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า แน่ทีเดียว พระองค์ทรงอวยพรคนชอบธรรม
ความโปรดปรานของพระองค์เป็นดั่งโล่โอบล้อมพวกเขาไว้
(ถึงหัวหน้านักร้อง บรรเลงเครื่องสาย ตามทำนองเชมินิท[a] บทสดุดีของดาวิด)
6 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงโปรดอย่ากำราบข้าพระองค์ขณะที่พระองค์ทรงกริ้ว
หรือลงวินัยข้าพระองค์ขณะที่ทรงพระพิโรธ
2 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงกรุณาข้าพระองค์เถิด เพราะข้าพระองค์อ่อนระโหยโรยแรง
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงโปรดรักษาข้าพระองค์ เพราะกระดูกของข้าพระองค์ปวดร้าวแสนสาหัส
3 จิตวิญญาณของข้าพระองค์ทุกข์ระทมนัก
อีกนานสักเท่าใด ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า อีกนานสักเท่าใด?
4 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงหันมาช่วยกู้ข้าพระองค์ด้วยเถิด
ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดพ้นเพราะความรักมั่นคงของพระองค์
5 ไม่มีใครที่ตายไปแล้วจะระลึกถึงพระองค์ได้
ผู้ใดเล่าจะสรรเสริญพระองค์จากหลุมฝังศพได้?
6 ข้าพระองค์คร่ำครวญจนอ่อนล้า
ข้าพระองค์ร่ำไห้ตลอดทั้งคืนจนน้ำตาท่วมที่นอน
และหมอนของข้าพระองค์ชุ่มด้วยน้ำตา
7 ดวงตาของข้าพระองค์หม่นหมองไปเพราะความทุกข์โศก
ช้ำไปเพราะบรรดาศัตรูของข้าพระองค์
8 พวกเจ้าทุกคนที่ทำชั่ว จงไปให้พ้นข้าพเจ้า
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินเสียงร่ำไห้ของข้าพเจ้าแล้ว
9 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินเสียงร้องทูลขอความเมตตาของข้าพเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยอมรับคำอธิษฐานของข้าพเจ้า
10 บรรดาศัตรูของข้าพเจ้าจะมีแต่ความอับอายและความหวาดกลัว
พวกเขาจะหันกลับไปและได้รับความอัปยศอดสูทันที
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.