Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
กันดารวิถี 22

บาลาคและบาลาอัม

22 แล้วประชากรอิสราเอลเดินทางมาถึงที่ราบโมอับ และตั้งค่ายพักริมแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามเมืองเยรีโค

ฝ่ายบาลาคบุตรศิปโปร์ได้เห็นการทั้งปวงซึ่งอิสราเอลทำแก่ชาวอาโมไรต์ และโมอับหวาดผวาเนื่องจากอิสราเอลมีกำลังคนมากมาย โมอับคร้ามกลัวชนอิสราเอลอย่างยิ่ง

ชาวโมอับจึงหารือกับบรรดาผู้นำมีเดียนว่า “ฝูงชนนี้จะมากลืนกินทุกอย่างเหมือนวัวกินหญ้า”

ดังนั้นบาลาคบุตรศิปโปร์ผู้เป็นกษัตริย์โมอับในเวลานั้น จึงส่งผู้สื่อสารไปเรียกตัวบาลาอัมบุตรเบโอร์ ซึ่งอยู่ที่เปโธร์บ้านเกิดเมืองนอนของเขาใกล้แม่น้ำยูเฟรติส กษัตริย์บาลาคกล่าวว่า

“ชนชาติหนึ่งออกมาจากอียิปต์ แห่กันมามืดฟ้ามัวดินและมาประชิดแดนข้าพเจ้าแล้ว โปรดมาแช่งคนเหล่านี้ให้เราด้วยเพราะพวกเขาแข็งแกร่งเกินกำลังของเรา เผื่อว่าเราจะได้ขับไล่พวกเขาออกจากดินแดน เพราะเราทราบมาว่าทุกคนที่ท่านอวยพรก็ได้รับพร ส่วนคนที่ท่านสาปแช่งก็ต้องคำสาป”

เหล่าผู้อาวุโสของโมอับและมีเดียนจึงจากไปและนำเงินค่าคำสาปไปด้วย เมื่อมาพบบาลาอัม ก็แจ้งตามที่บาลาคกล่าว

บาลาอัมกล่าวว่า “เชิญพักค้างคืนที่นี่ก่อน แล้วข้าพเจ้าจะนำคำตอบที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้” ดังนั้นพวกเจ้านายแห่งโมอับจึงพักอยู่ด้วย

พระเจ้าเสด็จมาหาบาลาอัมและตรัสถามว่า “คนเหล่านี้ที่อยู่กับเจ้าเป็นใคร?”

10 บาลาอัมทูลพระเจ้าว่า “บาลาคบุตรศิปโปร์กษัตริย์แห่งโมอับส่งข่าวมาว่า 11 ‘ชนชาติหนึ่งที่ออกมาจากอียิปต์อย่างมืดฟ้ามัวดิน บัดนี้ขอเชิญท่านไปสาปแช่งพวกเขาให้เรา เผื่อว่าเราจะสามารถสู้รบและขับไล่พวกเขาออกไปได้’ ”

12 แต่พระเจ้าตรัสกับบาลาอัมว่า “อย่าไปกับพวกนั้น เจ้าจะสาปแช่งคนเหล่านั้นไม่ได้เพราะพวกเขาได้รับพรแล้ว”

13 เช้าวันรุ่งขึ้นบาลาอัมลุกขึ้นและบอกเจ้านายที่บาลาคส่งมาว่า “กลับไปประเทศของพวกท่านเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปกับพวกท่าน”

14 ดังนั้นเจ้านายชาวโมอับจึงกลับไปรายงานบาลาคว่า “บาลาอัมไม่ยอมมากับพวกเรา”

15 บาลาคพยายามอีกครั้ง โดยส่งกองเกียรติยศยิ่งกว่าครั้งก่อนมา 16 พวกเขามาแจ้งบาลาอัมว่า

“บาลาคบุตรศิปโปร์กล่าวว่า อย่าให้มีสิ่งใดมาขัดขวางไม่ให้ท่านมาหาเรา 17 เพราะเราจะตอบแทนท่านอย่างงาม และทำตามทุกอย่างที่ท่านบอก มาแช่งชนชาตินี้ให้เราเถิด”

18 แต่บาลาอัมตอบว่า “แม้บาลาคจะยกปราสาทที่เต็มไปด้วยเงินและทองให้ ข้าพเจ้าก็ไม่อาจทำสิ่งใดนอกเหนือพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าได้ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ 19 เอาเถอะ เชิญค้างคืนที่นี่ก่อน ข้าพเจ้าจะดูว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะตรัสอะไรเพิ่มเติมบ้างหรือไม่”

20 คืนนั้นพระเจ้าเสด็จมาตรัสกับบาลาอัมว่า “ในเมื่อคนเหล่านี้มาเรียกเจ้า ก็จงไปกับเขา แต่จงทำตามที่เราสั่งเท่านั้น”

ลาของบาลาอัม

21 ครั้นรุ่งเช้าบาลาอัมก็ลุกขึ้นผูกอานลาไปกับพวกเจ้านายของโมอับ 22 แต่พระเจ้าทรงพระพิโรธบาลาอัม ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ามายืนดักอยู่กลางถนนเพื่อขัดขวางเขา บาลาอัมขี่ลาไปและมีคนรับใช้สองคนไปด้วย 23 เมื่อลาเห็นทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ายืนถือดาบอยู่กลางทาง ก็เบี่ยงออกนอกทางเข้าไปในทุ่งนา แต่บาลาอัมตีลาเพื่อบังคับให้มันกลับเข้าทางเดิม

24 จากนั้นทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ามายืนอยู่ตรงทางแคบระหว่างกำแพงรั้วสวนองุ่นสองฟาก 25 เมื่อลาเห็นทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็เบียดตัวชิดรั้วทำให้เท้าของบาลาอัมกระแทกกับกำแพงรั้ว เขาจึงตีลาอีก

26 แล้วทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าล่วงหน้าไปและยืนอยู่ตรงที่แคบซึ่งลาไม่สามารถจะหันไปทางไหนได้เลย 27 เมื่อลาเห็นทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็หมอบลงโดยที่บาลาอัมยังนั่งอยู่บนหลัง เขาจึงโกรธและเอาไม้เท้าตีลาอีก 28 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดปากลา ลาจึงพูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าทำอะไรท่านหรือจึงมาตีข้าพเจ้าถึงสามครั้ง?”

29 บาลาอัมตอบว่า “ก็เจ้าน่ะสิ ทำให้เรากลายเป็นอ้ายงั่ง! ถ้าเรามีดาบสักเล่มอยู่ในมือ เราจะฆ่าเจ้าเสียเดี๋ยวนี้”

30 ลากล่าวกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ลาของท่านซึ่งท่านขี่มาจนถึงตอนนี้หรือ? ข้าพเจ้าเคยทำกับท่านเช่นนี้มาก่อนหรือเปล่า?”

เขาตอบว่า “ไม่เคย”

31 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดตาของบาลาอัม เขาเห็นทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ายืนถือดาบอยู่กลางทาง เขาก็ทรุดกายและหมอบกราบซบหน้าลง

32 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงตีลาถึงสามครั้ง? เรามาขัดขวางเจ้าเพราะเจ้ากำลังผลีผลามออกไปนอกลู่นอกทาง[a] 33 ลาเห็นเรา แล้วก็หลบเลี่ยงไปถึงสามครั้ง ไม่เช่นนั้นเราคงประหารเจ้าแน่นอน และปล่อยให้ลารอดชีวิตไป”

34 บาลาอัมกล่าวกับทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าได้ทำบาปแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านยืนอยู่กลางทางเพื่อขัดขวางข้าพเจ้า ถ้าท่านไม่อยากให้ข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าก็จะกลับ”

35 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับบาลาอัมว่า “จงไปกับคนเหล่านี้เถิด แต่จงพูดตามที่เราสั่งเท่านั้น” ดังนั้นบาลาอัมจึงไปกับพวกเจ้านายที่บาลาคส่งมา

36 เมื่อบาลาคได้ยินว่าบาลาอัมกำลังมาก็ออกมาพบที่ชายแดน คือที่เมืองของชาวโมอับ ริมแม่น้ำอารโนน 37 บาลาคกล่าวกับบาลาอัมว่า “เราส่งคนไปเชิญท่านมาโดยด่วนไม่ใช่หรือ? เหตุใดท่านจึงไม่ยอมมา? เราไม่สามารถปูนบำเหน็จแก่ท่านหรือ?”

38 บาลาอัมตอบว่า “ข้าพเจ้ามาแล้วก็จริง แต่ไม่อาจพูดอะไรได้ ต้องพูดแต่สิ่งที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในปากของข้าพเจ้าเท่านั้น”

39 แล้วบาลาอัมก็ร่วมทางไปกับบาลาคถึงที่คีริยาทหุโซท 40 บาลาคเอาวัวและแกะถวายบูชา และยกบางส่วนให้บาลาอัมกับเหล่าเจ้านายที่มาด้วย 41 วันรุ่งขึ้นบาลาคพาบาลาอัมขึ้นไปบนบาโมทบาอัลซึ่งเขามองลงมาเห็นประชากรอิสราเอลบางส่วน

สดุดี 62-63

(ถึงหัวหน้านักร้อง ถึงเยดูธูน บทสดุดีของดาวิด)

62 จิตวิญญาณของข้าพเจ้าพักสงบในพระเจ้าแต่ผู้เดียว
ความรอดของข้าพเจ้ามาจากพระองค์
พระองค์แต่เพียงผู้เดียวทรงเป็นศิลาและความรอดของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่มีวันหวั่นไหว

พวกเจ้าจะรุมเล่นงานคนคนเดียวไปนานเท่าใด?
เจ้าทั้งหมดจะโค่นล้มเขา
ผู้เป็นเหมือนกำแพงเอียงกะเท่เร่และรั้วที่โยกเยกนี้หรือ?
พวกเขาจงใจปลดเขาลงจากตำแหน่งสูง
พวกเขาชื่นชมในการโป้ปด
ปากของพวกเขากล่าวอวยพร
แต่ในใจนั้นสาปแช่ง
เสลาห์

จิตวิญญาณของข้าเอ๋ย จงพักสงบในพระเจ้าแต่ผู้เดียว
ความหวังของข้าพเจ้ามาจากพระองค์
พระองค์แต่เพียงผู้เดียวทรงเป็นศิลาและความรอดของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว
ความรอดและเกียรติของข้าพเจ้าอยู่ที่พระเจ้า[a]
พระองค์ทรงเป็นพระศิลาอันทรงฤทธิ์ เป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า
ประชาชนเอ๋ย จงวางใจในพระองค์ตลอดเวลา
จงเทความในใจของท่านต่อพระองค์
เพราะพระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยของเรา
เสลาห์

คนต่ำต้อยเป็นเพียงลมหายใจวูบหนึ่ง
คนสูงศักดิ์เป็นเพียงมายา
เมื่อขึ้นชั่งดูก็ไม่มีค่าอะไร
ทั้งคู่เป็นเพียงลมหายใจเฮือกเดียว
10 อย่าพึ่งพาการบังคับขู่เข็ญ อย่าภาคภูมิใจในของที่ขโมยมา
แม้ทรัพย์สมบัติเพิ่มขึ้น ก็อย่าปักใจกับสิ่งเหล่านั้น

11 สิ่งหนึ่งที่พระเจ้าได้ตรัสแล้ว
สองสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ยิน
คือ “ข้าแต่พระเจ้า อำนาจเป็นของพระองค์
12 และข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยความรักเมตตา”
และ “พระองค์ทรงให้รางวัล
แต่ละคนตามการกระทำของเขา”

(บทสดุดีของดาวิด เมื่ออยู่ในถิ่นกันดารยูดาห์)

63 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าพระองค์แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง
จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์
ร่างกายของข้าพระองค์โหยหาพระองค์
ในดินแดนแห้งแล้งกันดาร
ในที่ซึ่งไม่มีน้ำ

ข้าพระองค์เคยเห็นพระองค์ในสถานนมัสการ
ได้เห็นฤทธานุภาพและพระเกียรติสิริของพระองค์
เพราะความรักของพระองค์ดียิ่งกว่าชีวิต
ริมฝีปากของข้าพระองค์จะยกย่องเทิดทูนพระองค์
ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ตราบเท่าที่ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่
จะชูมือขึ้นในพระนามของพระองค์
จิตวิญญาณของข้าพระองค์จะอิ่มเอมเหมือนได้รับอาหารชั้นเยี่ยม
ปากของข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์

ขณะอยู่บนที่นอน ข้าพระองค์คิดถึงพระองค์
ข้าพระองค์คิดคำนึงถึงพระองค์ตลอดคืน
เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือข้าพระองค์
ข้าพระองค์จึงร้องเพลงอยู่ในร่มปีกของพระองค์
จิตวิญญาณข้าพระองค์ยึดมั่นในพระองค์
พระหัตถ์ขวาของพระองค์ค้ำจุนข้าพระองค์ไว้

บรรดาผู้ที่คิดเอาชีวิตของข้าพระองค์จะถูกทำลาย
เขาจะจมดิ่งลงไปยังที่ลึกของแผ่นดินโลก
10 พวกเขาจะถูกเข่นฆ่าด้วยดาบ
และตกเป็นอาหารของสุนัขจิ้งจอก

11 แต่กษัตริย์จะชื่นชมยินดีในพระเจ้า
คนทั้งปวงที่ปฏิญาณโดยพระนามพระเจ้าจะสรรเสริญพระองค์
ส่วนคนโกหกจะปิดปากเงียบ

อิสยาห์ 11-12

กิ่งจากเจสซี

11 หน่อหนึ่งจะงอกขึ้นมาจากตอของเจสซี
กิ่งหนึ่งจะเกิดผล จากรากของเขา
พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทับอยู่เหนือผู้นั้น
คือองค์พระวิญญาณแห่งสติปัญญาและความเข้าใจ
พระวิญญาณแห่งคำปรึกษาและอานุภาพ
พระวิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า
และเขาผู้นั้นจะปีติยินดีในความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า

เขาจะไม่พิพากษาตามที่ได้เห็นภายนอก หรือตัดสินตามที่ได้ฟัง
แต่เขาจะพิพากษาคนขัดสนด้วยความชอบธรรม
และตัดสินอย่างยุติธรรมเพื่อคนยากจนในแผ่นดินโลก
เขาจะฟาดโลกด้วยคำพิพากษาจากริมฝีปากของเขา
เขาจะประหารคนชั่วด้วยลมจากปากของเขา
ความชอบธรรมจะเป็นเข็มขัดของเขา
และความซื่อสัตย์จะเป็นสายคาดเอวของเขา

สุนัขป่ากับลูกแกะจะอาศัยอยู่ด้วยกัน
เสือดาวจะนอนเคียงข้างแพะ
ลูกวัวกับสิงโตและลูกอ่อนของสัตว์อื่นๆ จะอยู่ด้วยกัน[a]
และเด็กเล็กๆ คนหนึ่งจะนำพวกมัน
แม่วัวจะกินหญ้าอยู่กับหมี
ลูกของมันทั้งสองจะนอนด้วยกัน
และสิงโตจะกินฟางเหมือนวัว
ทารกจะเล่นอยู่ใกล้รูงูเห่า
และเด็กเล็กๆ จะยื่นมือเข้าไปในรังของงูพิษ
พวกมันจะไม่ทำร้ายหรือทำลายกัน
ตลอดทั่วภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา
เพราะแผ่นดินโลกจะเต็มไปด้วยความรู้เรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้า
ดุจน้ำปกคลุมทะเล

10 ในวันนั้นรากของเจสซีจะตั้งเด่นดุจธงสำหรับมวลประชาชาติ ชาติต่างๆ จะรวมพลกันมาหาเขา และที่พำนักของเขาจะสง่างาม 11 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงยื่นพระหัตถ์ออกเป็นครั้งที่สอง เพื่อรับประชากรของพระองค์ที่เหลืออยู่นั้นกลับมาจากอัสซีเรีย อียิปต์บน[b]และอียิปต์ล่าง จากคูช[c]เอลาม บาบิโลน[d] ฮามัท และดินแดนชายฝั่งทะเลที่ห่างไกล

12 พระองค์จะทรงชูธงขึ้นเพื่อประชาชาติทั้งหลาย
และรวบรวมเชลยอิสราเอล
กับชนยูดาห์ที่กระจัดกระจายไป
กลับคืนมาจากสี่มุมโลก
13 ความอิจฉาของเอฟราอิมจะสิ้นไป
และศัตรูทั้งหลาย[e]ของยูดาห์จะหมดสิ้น
เอฟราอิมจะเลิกอิจฉายูดาห์
และยูดาห์เลิกเป็นศัตรูกับเอฟราอิม
14 พวกเขาจะรุกไล่ลงมาตามลาดเขาฟีลิสเตียทางฟากตะวันตก
ร่วมกันปล้นชนชาตินั้นไปทางตะวันออก
พวกเขาจะเล่นงานเอโดมและโมอับ
ชาวอัมโมนจะยอมอยู่ใต้อำนาจพวกเขา
15 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้น้ำทะเลในอ่าวของอียิปต์แห้ง
พระองค์จะทรงโบกพระหัตถ์เหนือแม่น้ำยูเฟรติสด้วยกระแสลมแรงจัด
จะทรงแยกมันออกเป็นลำธารเจ็ดสาย
เพื่อผู้คนจะเดินลุยข้ามไปได้
16 จะมีทางหลวงสำหรับคนหยิบมือที่เหลือของพระองค์
ที่รอดมาจากอัสซีเรีย
เหมือนที่มีทางหลวงสำหรับอิสราเอล
เมื่อพวกเขาออกมาจากอียิปต์

บทเพลงสรรเสริญ

12 ในวันนั้น ท่านจะพูดว่า

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์
ถึงแม้พระองค์ทรงพระพิโรธข้าพระองค์
พระพิโรธของพระองค์ก็ได้หันไป
และพระองค์ทรงปลอบโยนข้าพระองค์
แน่นอน พระเจ้าทรงเป็นความรอดของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะวางใจและไม่กลัว
องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพลังและบทเพลงของข้าพเจ้า
พระองค์ได้ทรงมาเป็นความรอดของข้าพเจ้า”
ท่านจะตักน้ำจากบ่อแห่งความรอด
ด้วยความยินดี

ในวันนั้นท่านจะกล่าวว่า

“จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า จงร้องทูลออกพระนามของพระองค์
จงแจ้งให้หมู่ประชาชาติทราบถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ
และประกาศว่าพระนามของพระองค์เป็นที่เทิดทูน
จงร้องเพลงสดุดีองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ประเสริฐ
จงประกาศให้ทั่วทั้งโลกทราบถึงเรื่องนี้
ชาวศิโยนเอ๋ย จงโห่ร้องและร้องเพลงด้วยความชื่นชมยินดี
เพราะองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลผู้ประทับท่ามกลางพวกท่านนั้นยิ่งใหญ่นัก”

ยากอบ 5

ตักเตือนคนมั่งมีผู้รังแกคนจน

ท่านทั้งหลายที่ร่ำรวยจงฟังเถิด จงร่ำไห้คร่ำครวญเนื่องด้วยทุกข์เข็ญที่จะเกิดกับท่าน ทรัพย์สมบัติของท่านก็ผุพังไปแล้วและแมลงได้กัดกินเสื้อผ้าของท่าน เงินและทองของท่านขึ้นสนิม สนิมนั้นเป็นพยานปรักปรำและกัดกินเลือด เนื้อท่านดั่งไฟ ท่านกักตุนทรัพย์สมบัติไว้ในวาระสุดท้าย ดูเถิด! ค่าจ้างที่ท่านโกงคนงานเกี่ยวข้าวในนาของท่านนั้นกำลังร้องกล่าวโทษท่านอยู่ เสียงร้องทุกข์ของผู้เก็บเกี่ยวได้ขึ้นถึงพระกรรณขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์แล้ว ท่านได้ใช้ชีวิตในโลกอย่างหรูหราและปรนเปรอตนเองตามใจชอบ ท่านขุนตนเองไว้รอวันประหาร[a] ท่านตัดสินลงโทษและเข่นฆ่าคนที่ไม่มีความผิดผู้ไม่ได้ต่อต้านท่าน

อดทนในความทุกข์ยาก

เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงอดทนตราบจนองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จงดูชาวนารอคอยพืชผลล้ำค่าจากแผ่นดิน ดูเถิดว่าเขาอดทนรอคอยฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดูขนาดไหน ท่านทั้งหลายก็เช่นกันจงอดทนและยืนหยัดอย่างมั่นคง เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้จะเสด็จมาแล้ว พี่น้องทั้งหลายอย่าบ่นว่ากันเพื่อจะไม่ถูกตัดสินโทษ องค์ผู้พิพากษาทรงยืนอยู่ที่ประตูแล้ว!

10 พี่น้องทั้งหลายจงยึดถือเหล่าผู้เผยพระวจนะในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นแบบอย่างในการอดทนเมื่อเผชิญความทุกข์ยาก 11 ดังที่ท่านทราบกันอยู่ เราถือว่าผู้ที่อดทนบากบั่นก็เป็นสุข ท่านก็ได้ยินถึงความอดทนบากบั่นของโยบและได้เห็นว่าในที่สุดองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้เกิดอะไรขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณา

12 พี่น้องทั้งหลาย เหนือสิ่งอื่นใดอย่าสาบาน ไม่ว่าอ้างสวรรค์ อ้างพิภพโลก หรืออ้างสิ่งอื่นใด ใช่ก็ว่า “ใช่” ไม่ก็ว่า “ไม่” มิฉะนั้นท่านจะถูกตัดสินลงโทษ

คำอธิษฐานด้วยความเชื่อ

13 ถ้าผู้ใดในพวกท่านเดือดร้อนผู้นั้นควรจะอธิษฐาน ถ้าผู้ใดมีความสุขให้ผู้นั้นร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า 14 ถ้าผู้ใดในพวกท่านเจ็บป่วยผู้นั้นควรเชิญบรรดาผู้ปกครองคริสตจักรมาอธิษฐานเผื่อและเจิมด้วยน้ำมันในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า 15 คำอธิษฐานด้วยความเชื่อจะทำให้ผู้ป่วยหายดี องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงรักษาเขา ถ้าเขาทำบาปพระองค์ก็จะทรงอภัยให้เขา 16 ฉะนั้นจงสารภาพบาปของท่านต่อกันและอธิษฐานเผื่อกันและกัน เพื่อท่านจะได้รับการรักษาให้หาย คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมทรงอานุภาพและเกิดผล

17 เอลียาห์ก็เป็นมนุษย์เหมือนเราทั้งหลาย เขาทุ่มเทอธิษฐานขออย่าให้ฝนตก ฝนก็ไม่ตกรดแผ่นดินตลอดสามปีครึ่ง 18 เขาอธิษฐานอีก แล้วฟ้าก็ให้ฝนและแผ่นดินให้พืชผล

19 พี่น้องทั้งหลายหากใครในพวกท่านหลงไปจากความจริงและมีบางคนนำเขากลับมา 20 จงจำไว้ว่าผู้ที่พาคนบาปหันจากทางผิดของเขา จะช่วยเขาพ้นจากความตาย และความผิดบาปมากมายจะได้รับการลบล้างโดยการให้อภัย

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.