M’Cheyne Bible Reading Plan
กษัตริย์แห่งอาราดพ่ายแพ้
21 เมื่อกษัตริย์แห่งอาราดชาวคานาอันผู้อาศัยอยู่ในเนเกบได้ยินข่าวว่าอิสราเอลเคลื่อนเข้ามาตามเส้นทางสู่อาธาริม เขาก็มาโจมตีอิสราเอลและจับบางคนไปเป็นเชลย 2 อิสราเอลจึงถวายปฏิญาณต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “หากพระองค์ทรงช่วยให้พวกเรารบชนะคนเหล่านี้ พวกเราจะทำลายล้าง[a]เมืองต่างๆ ของพวกเขาให้ราบเป็นหน้ากลอง” 3 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสดับฟังคำทูลขอของอิสราเอล และทรงมอบชาวคานาอันไว้ในมือของพวกเขา พวกเขาทำลายล้างคนเหล่านั้นกับเมืองต่างๆ จนหมดสิ้น ที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า โฮรมาห์[b]
งูทองสัมฤทธิ์
4 พวกเขาเดินทางจากภูเขาโฮร์ไปตามทางที่จะไปทะเลแดงเพื่ออ้อมดินแดนเอโดม แต่ประชากรยิ่งรู้สึกท้อแท้มากขึ้น 5 พากันบ่นว่าพระเจ้าและโมเสสว่า “ทำไมท่านถึงได้พาเราออกจากอียิปต์มาตายในถิ่นกันดารนี้? ไม่มีขนมปัง! ไม่มีน้ำ! เราเกลียดมานาที่แสนจะน่าเบื่อ!”
6 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงส่งงูพิษมาในหมู่พวกเขา ชนอิสราเอลหลายคนถูกงูกัดตาย 7 ประชากรจึงมาหาโมเสสและร้องว่า “พวกข้าพเจ้าได้ทำบาปที่บ่นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ากับบ่นว่าท่าน โปรดอธิษฐานทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าให้นำงูออกไปเถิด” ดังนั้นโมเสสจึงอธิษฐานเผื่อประชากร
8 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงทำงูตัวหนึ่งติดไว้ที่ยอดเสา ผู้ใดถูกงูกัด จงมองดูงูนั้นแล้วจะรอดชีวิต” 9 โมเสสจึงทำงูจากทองสัมฤทธิ์ติดไว้ที่ยอดเสา และเมื่อผู้ที่ถูกงูกัดมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นก็มีชีวิตอยู่
เดินทางไปโมอับ
10 ชนอิสราเอลออกเดินทางมาตั้งค่ายอยู่ที่โอโบท 11 แล้วเดินทางต่อมายังอิเยอาบาริมในถิ่นกันดารตรงข้ามโมอับด้านตะวันออก 12 พวกเขาเดินทางต่อจากที่นั่น และมาตั้งค่ายพักที่หุบเขาเศเรด 13 แล้วเคลื่อนมาตั้งค่ายที่ริมแม่น้ำอารโนนในถิ่นกันดาร ซึ่งต่อเข้าไปในเขตแดนของชาวอาโมไรต์ แม่น้ำอารโนนเป็นเส้นพรมแดนระหว่างโมอับกับอาโมไรต์ 14 ด้วยเหตุนี้ในหนังสือสงครามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงระบุว่า
“…วาเฮบในเมืองสุฟาห์[c]และลำห้วย
อารโนน 15 และลาดเขาของลำห้วย
ซึ่งนำไปสู่ที่ตั้งของเมืองอาร์
เลียบไปตามเขตแดนของโมอับ”
16 จากที่นั่นอิสราเอลเดินทางต่อมายังเบเออร์ซึ่งเป็นบ่อน้ำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงเรียกชุมนุมประชากร เราจะให้น้ำแก่พวกเขา”
17 อิสราเอลจึงขับร้องเพลงนี้ว่า
“บ่อน้ำเอ๋ย จงให้น้ำพุ่งขึ้นมาเถิด
ให้เราขับขานลำนำน้ำ
18 บ่อซึ่งบรรดาผู้นำได้ขุดขึ้น
ฝีมือเจาะของเหล่าเจ้านาย
ด้วยคทาและไม้เท้าของท่านเหล่านั้น”
แล้วพวกเขาก็ออกจากถิ่นกันดารเดินทางไปมัทธานาห์ 19 ผ่านมัทธานาห์ นาหะลีเอลและบาโมท 20 จนมาถึงหุบเขาในโมอับ มียอดเขาปิสกาห์ซึ่งมองลงมาเห็นถิ่นกันดาร
พิชิตกษัตริย์สิโหนและโอก
21 อิสราเอลส่งทูตเข้าพบกษัตริย์สิโหนของชาวอาโมไรต์เพื่อแจ้งว่า
22 “โปรดอนุญาตให้เราผ่านแดน เราจะไม่ออกนอกทางหลวงจนกว่าจะผ่านดินแดนของท่านไปแล้ว จะไม่รุกล้ำที่นาหรือสวนองุ่นของท่าน จะไม่ดื่มน้ำจากบ่อของท่าน”
23 แต่สิโหนไม่ยอมให้อิสราเอลผ่านแดน ทั้งยังยกทัพทั้งหมดมาสู้กับอิสราเอลในถิ่นกันดารโดยรบกันที่ยาฮาส 24 อิสราเอลจึงสังหารสิโหนและครอบครองดินแดนของเขา ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนจดแม่น้ำยับบอก ไปประชิดพรมแดนของพวกอัมโมน เนื่องจากชายแดนของพวกเขามีแนวป้องกันเข้มแข็ง 25 อิสราเอลได้ยึดครองเมืองทั้งหมดของชาวอาโมไรต์ รวมทั้งเฮชโบนและถิ่นที่อาศัยโดยรอบ 26 เฮชโบนเป็นนครของสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมไรต์ ซึ่งได้รบกับกษัตริย์ของชนโมอับคนก่อน และยึดครองดินแดนทั้งหมดของเขามาจนจดแม่น้ำอารโนน
27 ด้วยเหตุนี้เหล่ากวีจึงขับขานว่า
“เชิญมาเฮชโบน และสร้างมันขึ้นใหม่
มากู้นครของสิโหนเถิด
28 “ไฟออกมาจากเฮชโบน
เปลวไฟกล้าจากนครแห่งสิโหน
เผาผลาญเมืองอาร์แห่งโมอับ
พลเมืองของที่สูงแห่งอารโนน
29 วิบัติแก่เจ้า โมอับเอ๋ย!
เจ้าถูกทำลายแล้ว ประชากรของพระเคโมชเอ๋ย!
เคโมชปล่อยให้บรรดาบุตรชายของตนต้องลี้ภัย
และบุตรสาวของตนต้องตกเป็นเชลย
เป็นเชลยของสิโหนกษัตริย์แห่งชาวอาโมไรต์
30 “แต่เราได้โค่นล้มพวกเขา
เฮชโบนถูกทำลายจนถึงดีโบน
เราล้มล้างพวกเขาไปไกลถึงโนฟาห์
ซึ่งขยายไปจนจดเมเดบา”
31 ดังนั้นอิสราเอลจึงตั้งถิ่นฐานในดินแดนของชาวอาโมไรต์
32 หลังจากโมเสสได้ส่งคนไปสำรวจเมืองยาเซอร์ ชนอิสราเอลก็ยึดถิ่นฐานโดยรอบได้ และขับไล่ชาวอาโมไรต์ซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นออกไป 33 แล้วพวกเขาวกไปตามเส้นทางสู่บาชาน และกษัตริย์โอกแห่งบาชานยกทัพมาเผชิญหน้ากันที่เอเดรอี
34 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราได้มอบเขาและกองทัพทั้งหมดตลอดจนดินแดนของเขาให้เจ้าแล้ว จงพิชิตเขาเหมือนที่ได้พิชิตสิโหนกษัตริย์ชาวอาโมไรต์ผู้ครองเฮชโบน”
35 อิสราเอลก็สังหารโอก บุตรหลาน และกองทัพทั้งหมดของเขา ไม่มีผู้รอดชีวิตแม้สักคนเดียว แล้วอิสราเอลก็เข้าครอบครองดินแดนนั้น
(สดด.108:6-13)
(ถึงหัวหน้านักร้อง ทำนอง “ลิลลี่แห่งพันธสัญญา” มิคทาม[a]ของดาวิด เพื่อสอน เมื่อดาวิดสู้กับอารัมนาหะราอิม[b] กับอารัมโซบาห์[c] และเมื่อโยอาบฆ่าชาวเอโดม 12,000 คน ที่หุบเขาเกลือ)
60 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ทรงละทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว และทลายที่มั่นของเหล่าข้าพระองค์
พระองค์ได้ทรงพระพิโรธ บัดนี้ ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับสู่สภาพดี!
2 พระองค์ได้ทรงเขย่าแผ่นดินและทำให้แยกออก
ขอทรงประสานรอยร้าว เพราะขณะนี้แผ่นดินกำลังสั่นสะเทือน
3 พระองค์ได้ทรงให้ประชากรของพระองค์เผชิญช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง
พระองค์ประทานเหล้าองุ่นที่ทำให้เหล่าข้าพระองค์ซวนเซ
4 แต่สำหรับผู้ที่ยำเกรงพระองค์นั้น พระองค์ทรงโปรดชูธงขึ้น
คลี่ออกต้านธนู
เสลาห์
5 ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์
เพื่อบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงรักจะรอดพ้น
6 พระเจ้าตรัสจากสถานนมัสการของพระองค์ว่า
“ในชัยชนะ เราจะแบ่งเชเคม
และกำหนดเขตหุบเขาสุคคท
7 กิเลอาดเป็นของเรา มนัสเสห์เป็นของเรา
เอฟราอิมคือหมวกเกราะของเรา
ยูดาห์คือคทาของเรา
8 โมอับเป็นอ่างชำระของเรา
เราเหวี่ยงรองเท้าของเราลงบนเอโดม
และเราจะโห่ร้องด้วยความมีชัยเหนือฟีลิสเตีย”
9 ใครจะพาข้าพระองค์ไปยังเมืองป้อมปราการ?
ใครจะนำข้าพระองค์ไปยังเอโดม?
10 พระองค์ไม่ใช่หรือ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ผู้ได้ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลาย
และไม่ทรงร่วมทัพกับเหล่าข้าพระองค์อีกต่อไป?
11 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายต่อสู้ข้าศึก
เพราะความช่วยเหลือของมนุษย์นั้นไร้ค่า
12 โดยพระเจ้าเราจะมีชัยชนะ
พระองค์จะทรงเหยียบย่ำศัตรูของเรา
(ถึงหัวหน้านักร้อง บรรเลงเครื่องสายของดาวิด)
61 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสดับเสียงร้องทูลของข้าพระองค์
ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์
2 ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์จากสุดปลายแผ่นดินโลก
ข้าพระองค์ร้องทูลยามจิตใจอ่อนระโหย
ขอทรงนำข้าพระองค์มายังศิลาซึ่งสูงกว่าข้าพระองค์
3 เพราะพระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์
ทรงเป็นหอคอยที่มั่นคงต่อต้านศัตรู
4 ข้าพระองค์ปรารถนาจะอาศัยในพลับพลาของพระองค์เป็นนิตย์
ขอลี้ภัยใต้ร่มปีกของพระองค์
เสลาห์
5 ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงได้ยินคำปฏิญาณของข้าพระองค์แล้ว
พระองค์ได้ประทานมรดกสำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระนามของพระองค์ให้แก่ข้าพระองค์
6 ขอทรงเพิ่มพูนอายุขัยของกษัตริย์
ให้ยืนยาวหลายชั่วอายุ
7 เพื่อกษัตริย์จะครองบัลลังก์ต่อหน้าพระเจ้าตลอดไป
ขอทรงให้ความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์ปกป้ององค์กษัตริย์ไว้
8 แล้วข้าพระองค์จะสรรเสริญพระนามของพระองค์เสมอไป
และทำตามคำปฏิญาณทุกวัน
พระเจ้าพิพากษาอัสซีเรีย
5 “วิบัติแก่ชาวอัสซีเรีย ผู้เป็นไม้เรียวแห่งความโกรธของเรา
ผู้ถือกระบองแห่งความกริ้วของเรา!
6 เราส่งอัสซีเรียไปปราบชนชาติอธรรม
ไปเล่นงานชนชาติที่ยั่วโทสะเรา
ให้ไปปล้นและริบทรัพย์สิน
และเหยียบย่ำเขาดั่งย่ำโคลนในถนน
7 แต่เขาไม่ได้ตั้งใจเช่นนั้น
ไม่ได้คิดตามนั้น
เป้าหมายของเขาคือล้างผลาญ
ทำลายชนชาติต่างๆ ให้ดับสูญ
8 เขากล่าวว่า ‘แม่ทัพของเราล้วนแต่เป็นกษัตริย์ไม่ใช่หรือ?
9 คาลโนไม่ได้เหมือนคารเคมิชหรอกหรือ?
ฮามัทก็เหมือนอารปัดไม่ใช่หรือ?
และสะมาเรียก็เหมือนดามัสกัสไม่ใช่หรือ?
10 เช่นเดียวกับที่เรายึดบรรดาอาณาจักรที่เต็มไปด้วยรูปเคารพ
อาณาจักรซึ่งมีรูปเคารพมากกว่าของเยรูซาเล็มและสะมาเรีย
11 เราจะไม่จัดการกับเยรูซาเล็มและรูปเคารพต่างๆ
เหมือนที่เราทำกับสะมาเรียและรูปเคารพของพวกเขาหรือ?’”
12 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดการกับภูเขาศิโยนและเยรูซาเล็มเรียบร้อยแล้ว พระองค์จะตรัสว่า “เราจะลงโทษกษัตริย์อัสซีเรียเพราะใจที่เย่อหยิ่งอหังการและท่าทีที่ยโสโอหังของเขา 13 เพราะเขาโอ้อวดว่า
“ ‘เราทำการนี้ด้วยกำลังแห่งน้ำมือของเรา
และด้วยสติปัญญาของเรา เพราะเรามีความเข้าใจ
เรารื้อพรมแดนของประชาชาติต่างๆ
ปล้นทรัพย์สมบัติของเขา
เราปราบบรรดากษัตริย์ของพวกเขาเฉกเช่นผู้พิชิต[a]
14 มือของเราฉกชิงทรัพย์สมบัติของประชาชาติต่างๆ
เหมือนคนเอื้อมไปเก็บรังนก
เรารวบรวมประเทศทั้งปวง
เหมือนคนเก็บไข่ที่ถูกทิ้งไว้
ไม่มีหน้าไหนกล้าขยับปีก
หรือปริปากร้อง’ ”
15 ขวานจะยกตนขึ้นข่มผู้ใช้มันหรือ?
เลื่อยจะอวดเบ่งทับถมผู้เลื่อยหรือ?
เฉกเช่นไม้ตะพดจะแกว่งใส่ผู้ใช้มันหรือ?
หรือไม้กระบองกวัดแกว่งเข้าใส่ผู้ที่ถือมันหรือ?
16 ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
จะทรงส่งโรคระบาดมาล้างผลาญเหนือนักรบแข็งแกร่งของเขา
จะมีไฟไหม้ลุกโชติช่วง
ภายใต้ความจองหองพองขนของพวกเขา
17 พระผู้เป็นแสงสว่างแห่งอิสราเอลจะกลายเป็นไฟ
องค์บริสุทธิ์ของพวกเขาจะเป็นเปลวเพลิง
ซึ่งเผาผลาญต้นหนามน้อยใหญ่ของเขา
วอดสิ้นภายในวันเดียว
18 ป่าอันมโหฬารและท้องทุ่งอันอุดมสมบูรณ์ของเขา
จะถูกทำลายไปสิ้น
เหมือนคนป่วยที่ชีวิตถูกกัดกร่อนไป
19 ต้นไม้ในป่าของเขาจะเหลืออยู่น้อยนิด
ขนาดเด็กก็ยังเขียนตัวเลขจำนวนนั้นได้
ชนหยิบมือที่เหลือของอิสราเอล
20 ในวันนั้นชนหยิบมือที่เหลือของอิสราเอล
คือวงศ์วานของยาโคบซึ่งรอดชีวิต
จะไม่พึ่งผู้นั้นซึ่งปราบพวกตนลง
แต่จะพึ่งพิงพระยาห์เวห์องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลอย่างแท้จริง
21 ชนหยิบมือที่เหลืออยู่จะกลับมา
ชนหยิบมือที่เหลือของยาโคบจะกลับมาหาพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์
22 โอ อิสราเอลเอ๋ย ถึงแม้ประชากรของเจ้าจะมากมายเหมือนทรายชายทะเล
ก็จะมีคนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่จะกลับมา
หายนะครั้งนี้ถูกกำหนดไว้แล้ว
อย่างเหลือล้นและชอบธรรม
23 องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์นี่แหละ
จะใช้หายนะซึ่งกำหนดไว้แล้วลงทัณฑ์ดินแดนทั้งหมด
24 ฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า
“ประชากรของเราในศิโยนเอ๋ย
อย่ากลัวชาวอัสซีเรีย
ซึ่งเอาไม้เรียวเฆี่ยนเจ้า
เอาไม้กระบองฟาดเจ้าเหมือนที่อียิปต์ได้ทำ
25 โทสะของเราที่พลุ่งขึ้นต่อเจ้าจะยุติลงในไม่ช้านี้
และความโกรธของเราจะหันไปทำลายล้างพวกเขา”
26 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์จะใช้แส้ฟาดพวกเขา
เหมือนเมื่อทรงปราบชาวมีเดียนที่ศิลาแห่งโอเรบ
จะทรงยกไม้เท้าขึ้นฟาดแม่น้ำทั้งหลาย
เหมือนที่ทรงกระทำในอียิปต์
27 ในวันนั้นภาระที่พวกเขาวางไว้จะถูกยกออกจากบ่าของพวกเจ้า
แอกของพวกเขาจะพ้นจากคอของพวกเจ้า
แอกนั้นจะถูกหัก
เพราะพวกเจ้าเติบโตขึ้นจนอ้วนพี[b]
28 พวกเขาเข้ามาทางเมืองอัยยาท
ผ่านมิโกรนและสะสมเสบียงและอาวุธที่มิคมาช
29 พวกเขาผ่านด่านมาและพูดกันว่า
“เราจะตั้งค่ายพักแรมที่เกบา”
รามาห์สะทกสะท้าน
กิเบอาห์ของซาอูลเตลิดหนี
30 ร้องออกมาเถิด ธิดาแห่งกัลลิม[c]เอ๋ย!
ไลชาห์เอ๋ย จงฟังเถิด!
อานาโธทที่น่าสงสารเอ๋ย!
31 มัดเมนาห์เตลิดหนี
ชาวเกบิมหลบเข้าที่ซ่อน
32 ในวันนี้พวกเขาจะหยุดอยู่ที่โนบ
จะชูหมัดหราบนภูเขาของธิดาแห่งศิโยน[d]
ที่ภูเขาแห่งเยรูซาเล็ม
33 ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
จะทรงโค่นกิ่งทั้งหลายด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่
ต้นไม้สูงตระหง่านจะถูกโค่น
ต้นที่สูงผงาดถูกโค่นราบ
34 พระองค์จะทรงใช้ขวานฟันป่าทึบ
เลบานอนจะล้มลงต่อหน้าองค์ทรงฤทธิ์
จงยอมจำนนต่อพระเจ้า
4 อะไรคือต้นเหตุของการต่อสู้และการทะเลาะวิวาทในหมู่พวกท่าน? สิ่งเหล่านี้มาจากตัณหาซึ่งขับเคี่ยวกันภายในท่านไม่ใช่หรือ? 2 ท่านอยากได้แต่ไม่ได้ ท่านฆ่าและละโมบของผู้อื่น ท่านไม่ได้สิ่งที่ตนต้องการก็วิวาทและต่อสู้กัน ท่านไม่มีเพราะไม่ได้ทูลขอพระเจ้า 3 เมื่อท่านทูลขอท่านไม่ได้รับเพราะท่านขอด้วยแรงจูงใจผิดๆ เพื่อจะนำไปปรนเปรอตนเอง
4 พวกไม่ซื่อต่อพระเจ้า ท่านไม่รู้หรือว่าการเป็นมิตรกับโลกคือการเกลียดชังพระเจ้า? ผู้ใดเลือกที่จะเป็นมิตรกับโลกก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า 5 ท่านคิดหรือว่าพระคัมภีร์กล่าวอย่างไร้เหตุผลที่ว่า จิตวิญญาณซึ่งพระเจ้าทรงให้อยู่ในเรานั้นอยากให้เราเป็นของพระเจ้าเท่านั้น?[a] 6 แต่พระองค์ประทานพระคุณแก่เรามากยิ่งกว่านั้นอีก ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์จึงกล่าวว่า
“พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง
แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ”[b]
7 ดังนั้นแล้วท่านจงยอมจำนนต่อพระเจ้า จงยืนหยัดต่อสู้กับมารและมันจะหนีไปจากท่าน 8 จงเข้ามาใกล้พระเจ้า แล้วพระองค์จะเสด็จมาใกล้ท่าน คนบาปทั้งหลายจงล้างมือให้สะอาด คนสองใจจงชำระใจให้บริสุทธิ์ 9 จงเศร้าเสียใจ คร่ำครวญและร้องไห้ จงเปลี่ยนจากหัวเราะเป็นร้องไห้ จากชื่นชมยินดีเป็นเศร้าหมอง 10 ท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์จะทรงยกชูท่านขึ้น 11 พี่น้องทั้งหลายอย่าใส่ร้ายกัน ผู้ใดกล่าวร้ายหรือตัดสินพี่น้องก็กล่าวร้ายและตัดสินบทบัญญัติ เมื่อท่านตัดสินบทบัญญัติ ท่านก็ไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัตินั้นแต่ตั้งตนเป็นผู้ตัดสิน 12 มีผู้ประทานบทบัญญัติและผู้พิพากษาเพียงผู้เดียวคือ พระองค์ผู้ทรงสามารถช่วยให้รอดและทำลายก็ได้ แต่ท่านคือใครเล่าที่จะตัดสินเพื่อนบ้านของท่าน?
การอวดถึงพรุ่งนี้
13 ฟังเถิดท่านที่พูดว่า “ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้เราจะไปเมืองนั้นเมืองนี้ จะอยู่ที่นั่นหนึ่งปี ทำมาค้าขายได้กำไร” 14 ท่านไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ชีวิตของท่านเป็นเช่นไร? ท่านเป็นเหมือนหมอกซึ่งปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่แล้วก็เลือนหาย 15 แทนที่จะกล่าวเช่นนั้นท่านควรพูดว่า “ถ้าเป็นพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเราจะมีชีวิตอยู่ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้” 16 แต่เท่าที่เป็นอยู่ท่านทั้งหลายคุยโวโอ้อวด การโอ้อวดเช่นนี้ล้วนเป็นความชั่ว 17 ดังนั้นแล้วผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งดีที่ควรทำแต่ไม่ทำก็บาป
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.