The Daily Audio Bible
Today's audio is from the EHV. Switch to the EHV to read along with the audio.
โยนาธานเตือนดาวิด
20 ดาวิดก็หนีจากนาโยทในรามาห์ ไปหาโยนาธานและพูดว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรหรือ ข้าพเจ้าทำผิดอะไร และข้าพเจ้าทำอะไรที่เป็นบาปในสายตาของบิดาของท่าน ท่านจึงจะเอาชีวิตของข้าพเจ้า” 2 โยนาธานตอบว่า “ไม่มีวัน ท่านจะไม่ตาย ดูเถิด บิดาของเราไม่กระทำสิ่งใดโดยไม่เปิดเผยให้เรารู้ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ บิดาจะปกปิดเรื่องนี้กับเราไปทำไม ไม่เป็นเช่นนั้นแน่” 3 แต่ดาวิดสาบาน และพูดอีกว่า “บิดาของท่านทราบดีว่า ข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานของท่าน ซ้ำยังคิดด้วยว่า ‘อย่าให้โยนาธานทราบเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าเขาจะเศร้าใจ’ แต่เป็นความจริง ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด และตราบที่ท่านมีชีวิตอยู่ ความตายอยู่ใกล้ตัวข้าพเจ้าเพียงก้าวเดียว” 4 โยนาธานจึงบอกดาวิดว่า “อะไรที่ท่านต้องการ เราจะทำให้” 5 ดาวิดพูดกับโยนาธานว่า “ดูเถิด พรุ่งนี้เป็นวันเทศกาลข้างขึ้น และข้าพเจ้าควรจะต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับกษัตริย์ แต่ปล่อยให้ข้าพเจ้าไปเถิด จะได้ซ่อนตัวอยู่ในทุ่งนาจนกระทั่ง 3 วันนับจากนี้ในตอนเย็น 6 ถ้าหากว่าบิดาของท่านสังเกตเห็นว่าข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ด้วย ก็ช่วยบอกว่า ‘ดาวิดขออนุญาตลาข้าพเจ้า เพื่อรีบไปเบธเลเฮมเมืองของเขา เพราะว่าทั้งตระกูลมีงานถวายเครื่องสักการะประจำปีที่นั่น’ 7 ถ้าท่านตอบว่า ‘ดีแล้ว’ ผู้รับใช้ของท่านก็จะปลอดภัย แต่ถ้าท่านโกรธกริ้ว ก็ขอทราบไว้เถิดว่าท่านประสงค์จะทำร้าย 8 ฉะนั้นขอให้ท่านมีความกรุณาต่อผู้รับใช้ของท่าน เพราะท่านให้ผู้รับใช้ของท่านร่วมสาบานตนกับท่าน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า[a] แต่ถ้าหากว่าข้าพเจ้ามีความผิด ท่านก็ประหารข้าพเจ้าด้วยตัวท่านเอง ทำไมจึงจะนำตัวข้าพเจ้าไปมอบให้แก่บิดาของท่าน” 9 โยนาธานพูดว่า “ไม่มีวันจะเป็นอย่างนั้น ถ้าหากเราทราบว่า บิดาประสงค์จะทำร้ายท่าน แล้วเราจะไม่บอกท่านหรือ” 10 ดาวิดจึงพูดกับโยนาธานว่า “ถ้าบิดาของท่านตอบอย่างแข็งกร้าว แล้วใครจะบอกข้าพเจ้า” 11 โยนาธานตอบดาวิดว่า “มาเถิด ออกไปที่ทุ่งนากัน” ทั้งสองจึงออกไปที่ทุ่งนา
12 โยนาธานพูดกับดาวิดว่า “ให้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลเป็นพยาน ในวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ประมาณเวลานี้ เราจะหยั่งดูให้รู้แน่ว่าบิดาของเราประสงค์ดีต่อดาวิด แล้วเราจะส่งคนไปบอกให้ท่านรู้อย่างแน่นอน 13 แต่ถ้าบิดาของเราประสงค์จะทำร้ายท่าน ก็ให้พระผู้เป็นเจ้ากระทำต่อโยนาธานเช่นนั้น หรือมากกว่านั้นถ้าหากว่าเราไม่บอกให้ท่านรู้ เพื่อให้ท่านหนีไปและได้รับความปลอดภัย ขอให้พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่าน เหมือนกับที่พระองค์สถิตกับบิดาของเรา 14 ถ้าหากว่าเรายังมีชีวิตอยู่ ก็ขอท่านแสดงความรักอันมั่นคงของพระผู้เป็นเจ้าต่อเรา เราจะได้ไม่ตาย 15 ถึงแม้พระผู้เป็นเจ้าตัดขาดทุกคนในหมู่ศัตรูของท่านให้พ้นไปเสียจากโลก ก็ขอท่านอย่าตัดขาดความรักอันมั่นคงของท่านจากพงศ์พันธุ์ของเราไปตลอดกาลเลย”[b] 16 โยนาธานสาบานกับพงศ์พันธุ์ของดาวิดว่า “ขอให้พระผู้เป็นเจ้าลงโทษศัตรูของดาวิด” 17 และโยนาธานให้ดาวิดสาบานด้วยความรักที่มีต่อท่านอีก เพราะว่าท่านรักดาวิดประหนึ่งชีวิตของตน
18 แล้วโยนาธานพูดกับดาวิดว่า “พรุ่งนี้เป็นวันเทศกาลข้างขึ้น และจะเป็นที่สังเกตได้ว่าท่านไม่อยู่ เพราะที่นั่งของท่านจะว่าง 19 วันมะรืนเวลาใกล้เย็น จงไปยังที่ที่ท่านเคยซ่อนตัวเมื่อตอนเริ่มเกิดเรื่อง และรออยู่ที่ข้างๆ กองหิน 20 เราจะยิงลูกธนู 3 ลูกไปที่ข้างกองหิน ทำทีว่าเรายิงไปที่เป้า 21 ดูเถิด เราจะสั่งให้เด็กหนุ่มไปโดยพูดว่า ‘จงไปหาลูกธนู’ ถ้าเราพูดกับเขาว่า ‘ดูนั่น ลูกธนูอยู่ที่ข้างนี้ของเจ้า เอามันมาที่นี่’ และท่านก็ออกมาได้ เพราะตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด ท่านก็ปลอดภัยแน่ ไม่มีอันตรายใดๆ 22 แต่ถ้าเราพูดกับเด็กหนุ่มว่า ‘ดูนั่น ลูกธนูอยู่ข้างหน้าเจ้า’ ท่านก็จงไปเสีย เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าให้ท่านจากไป 23 และเรื่องที่ท่านกับเราคุยกันนั้น จำไว้ว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นพยานระหว่างท่านกับเราตลอดไป”
24 ดังนั้นดาวิดจึงซ่อนตัวอยู่ในทุ่งนา เมื่อถึงวันเทศกาลข้างขึ้น กษัตริย์นั่งลงรับประทานอาหาร 25 กษัตริย์นั่งบนที่นั่งของท่านที่ข้างผนังเหมือนเคย โยนาธานนั่งตรงที่ฝั่งตรงข้าม[c] และอับเนอร์นั่งที่ข้างๆ ซาอูล แต่ที่นั่งของดาวิดนั้นว่างอยู่
26 แต่ซาอูลยังไม่ได้กล่าวสิ่งใดในวันนั้น เพราะท่านนึกในใจว่า “ได้เกิดอะไรขึ้นกับดาวิด เขามีมลทิน เขาต้องมีมลทินแน่”[d] 27 แต่ในวันที่สอง คือรุ่งขึ้นจากวันเทศกาลข้างขึ้น ที่ของดาวิดก็ว่างอีก ซาอูลพูดกับโยนาธานบุตรของท่านว่า “ทำไมลูกชายของเจสซียังไม่มารับประทานอาหารเลย ทั้งเมื่อวานและวันนี้” 28 โยนาธานตอบซาอูลว่า “ดาวิดขออนุญาตลาข้าพเจ้า เพื่อไปยังเบธเลเฮม 29 เขาพูดว่า ‘ให้ข้าพเจ้าไปเถิด เพราะตระกูลของเราถวายเครื่องสักการะที่ในเมือง และพี่ข้าพเจ้าสั่งข้าพเจ้าให้ไปที่นั่น หากว่าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน ก็ให้ข้าพเจ้าไปหาพวกพี่ๆ เถิด’ ด้วยเหตุผลดังกล่าว เขาจึงไม่ได้มานั่งร่วมโต๊ะกับกษัตริย์”
30 ครั้นแล้วซาอูลก็โกรธกริ้วโยนาธาน ท่านจึงกล่าวว่า “เจ้าเป็นลูกไม่รักดีเหมือนกับแม่ของเจ้า เจ้าคิดว่าเราไม่รู้หรือยังไง ว่าเจ้าได้เข้าข้างลูกของเจสซีเพื่อนำความอับอายมาให้ตัวเจ้าเอง และให้แม่ของเจ้าด้วย 31 ตราบที่ลูกของเจสซีมีชีวิตอยู่บนโลกฉันใด ทั้งตัวเจ้าและอาณาจักรของเจ้าจะไม่มีวันตั้งอยู่ได้ ฉะนั้นจงให้คนไปตามตัวเขามาหาเรา เพราะเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน” 32 โยนาธานตอบซาอูลบิดาของท่านว่า “ทำไมเขาจึงต้องถูกฆ่าตาย เขาทำอะไร” 33 แต่แล้วซาอูลก็พุ่งหอกไปที่โยนาธานเพื่อจะฆ่าท่าน ดังนั้นโยนาธานจึงทราบว่าบิดาของท่านได้ตั้งใจจะฆ่าดาวิด 34 โยนาธานโกรธมากและลุกขึ้นจากโต๊ะ ท่านไม่รับประทานอาหารในวันที่สองของเดือนนั้น เพราะท่านทุกข์ใจเรื่องดาวิดที่บิดากระทำต่อดาวิดอย่างน่าอับอาย
35 ในเวลาเช้า โยนาธานออกไปในทุ่งนาตามนัดที่ให้กับดาวิด และมีเด็กไปด้วยหนึ่งคน 36 ท่านบอกเด็กของท่านว่า “จงวิ่งไปค้นหาลูกธนูที่เรายิง” ขณะที่เด็กกำลังวิ่งไป ท่านยิงธนูลูกหนึ่งเลยเด็กไปอีก 37 เมื่อเด็กมาถึงจุดที่ลูกธนูที่โยนาธานยิง โยนาธานตะโกนถามเด็กว่า “ลูกธนูอยู่ข้างหน้าเจ้าไม่ใช่หรือ” 38 และโยนาธานตะโกนบอกเด็กว่า “รีบไปโดยเร็ว อย่าอยู่ที่นี่” เด็กของโยนาธานจึงเก็บลูกธนูแล้วกลับมาหาเจ้านายของตน 39 แต่เด็กไม่ทราบอะไรทั้งสิ้น โยนาธานและดาวิดเท่านั้นที่ทราบเรื่อง 40 และโยนาธานให้เด็กแบกอาวุธของท่านและบอกว่า “ไปได้แล้ว แบกอาวุธเข้าไปในเมือง” 41 ทันทีที่เด็กกลับไปแล้ว ดาวิดก็ลุกขึ้นจากข้างกองหิน ก้มหน้าลง และคำนับ 3 ครั้ง แล้วทั้งสองก็จูบแก้มและร้องไห้กัน ดาวิดร้องไห้มากยิ่งกว่า 42 ครั้นแล้วโยนาธานก็พูดกับดาวิดว่า “จงไปอย่างสันติสุขเถิด เพราะเราต่างก็ได้สาบานตนในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าแล้วว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าเป็นพยานระหว่างเราและท่าน และระหว่างผู้สืบเชื้อสายของเราและของท่านไปตลอดกาล’” แล้วดาวิดก็จากไป ส่วนโยนาธานก็เข้าไปในเมือง
ดาวิดกับขนมปังบริสุทธิ์
21 ดาวิดไปหาอาหิเมเลคปุโรหิตที่เมืองโนบ อาหิเมเลคตัวสั่นมาพบกับดาวิด และถามว่า “ทำไมท่านจึงมาคนเดียว ไม่มีใครมาด้วยหรือ” 2 ดาวิดตอบอาหิเมเลคปุโรหิตว่า “กษัตริย์บัญชาให้ข้าพเจ้าทำสิ่งหนึ่งและสั่งด้วยว่า ‘อย่าให้ใครทราบเรื่องนี้ว่า เราสั่งให้เจ้าทำอะไร’ ข้าพเจ้านัดพบกับพวกทหารที่ที่แห่งหนึ่ง 3 เอาล่ะ ท่านพอมีอาหารติดตัวมาบ้างไหม ขอขนมปังสัก 5 ก้อน หรืออะไรก็ได้ที่มีอยู่ที่นี่” 4 ปุโรหิตตอบดาวิดว่า “เราไม่มีขนมปังธรรมดาติดตัวมา แต่มีขนมปังอันบริสุทธิ์[e] ถ้าหากว่าพวกทหารของท่านได้ละเว้นจากผู้หญิง” 5 ดาวิดตอบปุโรหิตว่า “พวกเราอยู่ห่างจากผู้หญิงเสมอเวลาเราออกเดินทางปฏิบัติงาน กายของพวกทหารก็บริสุทธิ์แม้จะเป็นเวลาเดินทางตามปกติ แล้วในวันนี้กายพวกเขาจะบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเพียงไร” 6 ดังนั้นปุโรหิตจึงให้ขนมปังอันบริสุทธิ์แก่ดาวิด[f]เพราะไม่มีขนมปังชนิดอื่น นอกจากขนมปังอันบริสุทธิ์ที่หยิบมาจากเบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และจะมีขนมปังอบใหม่ๆ มาถวายแทนในวันเดียวกันนั้น
7 ในวันนั้นข้ารับใช้คนหนึ่งของซาอูลบังเอิญอยู่ที่นั่น เพราะถูกกักตัวไว้ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า เขาชื่อโดเอกชาวเอโดม เป็นหัวหน้าคนเลี้ยงดูฝูงแกะของซาอูล
8 ดาวิดถามอาหิเมเลคว่า “ท่านไม่มีดาบหรือหอกบ้างหรือ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เอาดาบหรืออาวุธติดตัวมาด้วย เพราะงานของกษัตริย์ที่บัญชาให้ทำเร่งด่วน” 9 ปุโรหิตตอบว่า “ดาบของโกลิอัทชาวฟีลิสเตียที่ท่านฆ่าตายในหุบเขาเอลาห์นั้นยังอยู่ที่นี่ ห่อเก็บไว้ในผ้าอยู่ข้างหลังชุดคลุม ถ้าท่านจะเอาดาบเล่มนั้น ก็เอาไปได้ เพราะที่นี่ไม่มีอะไรอีกแล้วนอกจากดาบเล่มนั้น” ดาวิดตอบว่า “ไม่มีดาบไหนเหมือนดาบเล่มนั้น เอามาให้ข้าพเจ้าเถิด”
ดาวิดหนีไปยังเมืองกัท
10 วันนั้นดาวิดหนีไปจากซาอูล ไปหาอาคีชกษัตริย์แห่งกัท 11 พวกข้ารับใช้ของอาคีชพูดกับท่านว่า “นี่ดาวิดกษัตริย์ของแผ่นดินนั้นมิใช่หรือ ที่มีคนร้องรำทำเพลงถึงว่า
‘ซาอูลได้ฆ่าคนนับพันคน
และดาวิดฆ่าคนนับหมื่น’”
12 ดาวิดขบคิดถึงคำพูดนั้นอยู่ในใจ และกลัวอาคีชกษัตริย์แห่งกัท 13 เขาจึงแสร้งเสียสติ[g]ต่อหน้าคนเหล่านั้น และขณะที่เขาถูกเหนี่ยวรั้งอยู่ในมือพวกเขา ดาวิดก็ทำทีว่าเป็นคนบ้า ขูดขีดที่ประตูเมือง ปล่อยให้น้ำลายไหลลงบนเครา 14 อาคีชจึงพูดกับพวกข้ารับใช้ว่า “ดูสิ พวกเจ้าก็เห็นว่าคนนั้นเป็นบ้า แล้วทำไมจึงพาเขามาหาเรา 15 เราขาดคนบ้าหรือ พวกเจ้าจึงได้พาเจ้าคนนี้มาทำตัวเหมือนคนบ้าขวางหน้าเรา จะต้องให้คนนี้เข้ามาในบ้านเราหรือ”
ชายตาบอดแต่กำเนิดมองเห็น
9 ขณะที่พระองค์เดินผ่านไป ก็ได้พบชายตาบอดแต่กำเนิดคนหนึ่ง 2 บรรดาสาวกถามพระองค์ว่า “รับบี ใครเป็นผู้ทำบาป ชายผู้นี้หรือบิดามารดา เขาจึงเกิดมาตาบอด” 3 พระเยซูตอบว่า “ไม่ใช่ทั้งชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขาที่ทำบาป แต่ที่เป็นไปเช่นนี้เพื่อว่า งานของพระเจ้าจะได้ปรากฏให้เห็นในตัวเขา 4 เราต้องปฏิบัติงานของพระองค์ผู้ส่งเรามาตราบที่ยังวันอยู่ เวลากลางคืนกำลังจะมาถึงซึ่งไม่มีผู้ใดทำงานได้ 5 ขณะที่เรายังอยู่ในโลก เราคือความสว่างของโลก” 6 เมื่อพระองค์กล่าวเช่นนั้นแล้วก็บ้วนน้ำลายลงบนพื้นดินเพื่อผสมให้เป็นโคลน แล้วทาที่ตาทั้งสองของคนตาบอด 7 พระองค์กล่าวกับเขาว่า “จงไปล้างตาในสระสิโลอัมเถิด” (สิโลอัมแปลว่า ถูกส่งไป) เขาจึงไปล้างโคลนออก เมื่อกลับมาก็มองเห็นได้
8 เพื่อนบ้านและพวกที่เคยเห็นเขาเป็นขอทานมาก่อนก็พูดว่า “นี่เป็นคนที่เคยนั่งขอทานอยู่ไม่ใช่หรือ” 9 บางคนพูดว่า “ใช่ เขานั่นแหละ” บ้างก็ยังพูดว่า “ไม่ใช่ แต่เขาเหมือนกับคนนั้น” ชายตาบอดเองพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนนั้น” 10 พวกเขาจึงกล่าวกับชายตาบอดว่า “ตาของเจ้าหายบอดได้อย่างไร” 11 เขาตอบว่า “คนที่ชื่อเยซูได้ทำโคลนทาที่ตาข้าพเจ้าและบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงไปที่สิโลอัมและล้างตาเถิด’ ข้าพเจ้าก็ไปล้างออกแล้วก็มองเห็นได้” 12 พวกเขาพูดกับชายนั้นว่า “ท่านผู้นั้นอยู่ที่ไหน” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบ”
13 พวกเขาพาคนที่เคยตาบอดมาหาพวกฟาริสี 14 วันที่พระเยซูทำโคลนและให้ตาของเขาหายบอดเป็นวันสะบาโต 15 พวกฟาริสีถามเขาอีกว่าตาของเขาหายบอดได้อย่างไร และเขาก็บอกว่า “ท่านใช้โคลนทาที่ตาทั้งสองของข้าพเจ้า และเมื่อข้าพเจ้าล้างออก ข้าพเจ้าก็มองเห็น” 16 ดังนั้นฟาริสีบางคนจึงได้พูดว่า “ชายผู้นี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะว่าเขาไม่ได้ถือกฎวันสะบาโต” แต่ในขณะที่บางคนกลับพูดว่า “คนบาปจะกระทำปรากฏการณ์อัศจรรย์เช่นนี้ได้อย่างไร” พวกฟาริสีจึงแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันเอง 17 แล้วพวกเขาก็หันมาพูดกับคนตาบอดอีกว่า “เจ้ามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับชายผู้นี้ ในเมื่อเขาทำให้เจ้ามองเห็น” ชายที่เคยตาบอดจึงพูดว่า “ท่านเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า”
18 ชาวยิวไม่เชื่อเรื่องที่ว่า เขาเคยตาบอดและกลับมองเห็นได้ จนกระทั่งเรียกบิดามารดาของคนที่ตาหายบอดคนนั้นมา 19 และซักไซ้คนทั้งสองว่า “นี่เป็นบุตรของเจ้าที่ว่าตาบอดแต่กำเนิดหรือ แล้วบัดนี้เขาเห็นได้อย่างไร” 20 บิดามารดาของเขาตอบว่า “เราทราบว่าเขาเป็นบุตรของเราและตาบอดแต่กำเนิด 21 แต่บัดนี้เขามองเห็นได้อย่างไรนั้นเราไม่ทราบ หรือใครทำให้ตาหายบอดเราก็ไม่ทราบ ถามเขาเถิด เขาโตพอที่จะพูดเองได้” 22 บิดามารดาของเขาพูดเช่นนั้นเพราะกลัวชาวยิว ด้วยเหตุว่าชาวยิวได้ตกลงกันไว้ว่า ถ้าผู้ใดยอมรับว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ ผู้นั้นก็จะถูกขับไล่ออกจากศาลาที่ประชุม 23 ด้วยเหตุนี้เองบิดามารดาของเขาจึงพูดว่า “เขาโตแล้ว ถามเขาเถิด”
24 ดังนั้นเขาเหล่านั้นจึงเรียกคนที่เคยตาบอดมาเป็นครั้งที่สอง และพูดกับเขาว่า “จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด พวกเราทราบว่าชายผู้นี้เป็นคนบาป” 25 เขากลับตอบว่า “ท่านเป็นคนบาปหรือไม่นั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าทราบคือ ข้าพเจ้าเคยตาบอด และบัดนี้ข้าพเจ้ามองเห็น” 26 คนเหล่านั้นพูดกับเขาว่า “เขาทำอะไรกับเจ้า เขาทำให้เจ้ามองเห็นได้อย่างไร” 27 ชายที่เคยตาบอดตอบว่า “ข้าพเจ้าบอกท่านแล้ว ท่านก็ไม่ฟัง ทำไมท่านจึงอยากได้ยินอีกเล่า ท่านอยากเป็นสาวกด้วยหรือ” 28 ผู้คนจึงถากถางเขาว่า “ที่แท้เจ้าก็เป็นสาวกของเขา แต่พวกเราเป็นสาวกของโมเสส 29 พวกเราทราบว่าพระเจ้าได้พูดกับโมเสส แต่สำหรับชายผู้นี้เราไม่ทราบว่าเขามาจากไหน” 30 ชายคนนั้นตอบว่า “น่าประหลาดที่ท่านไม่ทราบว่าท่านผู้นั้นมาจากไหน และท่านผู้นั้นยังได้ทำให้ข้าพเจ้ามองเห็น 31 เราทราบว่าพระเจ้าไม่ได้ฟังคนบาป แต่ถ้าผู้ใดเกรงกลัวพระเจ้า และทำตามความประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ฟังผู้นั้น 32 ตั้งแต่แรกเริ่มมา ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินว่า มีคนทำให้ตาของคนที่บอดแต่กำเนิดเห็นได้ 33 ถ้าชายผู้นี้ไม่ได้มาจากพระเจ้าแล้ว ก็คงไม่สามารถทำอะไรได้เลย” 34 คนพวกนั้นจึงแย้งว่า “เจ้าเกิดอยู่ในบาปโดยสิ้นเชิง แล้วยังจะมาสอนเราอีกหรือ” จากนั้นพวกเขาก็ขับไล่คนตาบอดนั้นไป
ตาบอดฝ่ายวิญญาณ
35 พระเยซูได้ยินว่าพวกเขาได้ขับไล่ชายตาบอดออกไป เมื่อพระองค์พบเขาจึงถามว่า “เจ้าเชื่อในบุตรมนุษย์หรือไม่” 36 เขาตอบว่า “นายท่าน ผู้ใดเป็นบุตรมนุษย์ ข้าพเจ้าจะได้เชื่อ” 37 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เจ้าได้เห็นท่านแล้ว และท่านเป็นผู้ที่กำลังพูดอยู่กับเจ้า” 38 เขาจึงพูดว่า “พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าเชื่อ” และเขาก็กราบนมัสการพระองค์ 39 พระเยซูกล่าวว่า “เรามายังโลกนี้เพื่อการกล่าวโทษ สำหรับบรรดาคนที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และบรรดาคนที่มองเห็นกลับตาบอด” 40 พวกฟาริสีที่อยู่กับพระองค์ได้ยินดังนั้น จึงพูดกับพระองค์ว่า “พวกเราตาบอดด้วยหรือ” 41 พระเยซูกล่าวว่า “ถ้าพวกท่านตาบอด ท่านก็จะไม่มีบาป แต่ในเมื่อท่านพูดว่า ‘พวกเรามองเห็น’ บาปของท่านก็ยังดำรงอยู่
สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าในพระคุณของพระองค์
1 สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
โอ บรรดาผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญเถิด
สรรเสริญพระนามของพระผู้เป็นเจ้า
2 ให้พระนามของพระผู้เป็นเจ้าได้รับพระพร
ตั้งแต่บัดนี้ไปจนชั่วนิรันดร์กาล
3 นับแต่ยามที่ดวงอาทิตย์ขึ้น จนถึงยามที่ดวงอาทิตย์ลาลับไป
ให้พระนามของพระผู้เป็นเจ้าได้รับการสรรเสริญเถิด
4 พระผู้เป็นเจ้าถูกเชิดชูเหนือประชาชาติทั้งปวง
และพระบารมีของพระองค์อยู่เหนือฟ้าสวรรค์
5 มีใครบ้างที่เป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา
พระองค์สถิตบนบัลลังก์ ณ เบื้องบน
6 พระองค์ก้มลงดูฟ้าสวรรค์
และแผ่นดินโลก
7 พระองค์หยิบยกคนสิ้นไร้ไม้ตอกขึ้นจากผงธุลี
และหยิบยกคนยากไร้ขึ้นจากกองขี้เถ้า
8 ให้พวกเขานั่งในตำแหน่งเทียบกับบรรดาเจ้าขุนมูลนาย
ในระดับบรรดาเจ้าขุนมูลนายของชนชาติของพระองค์
9 พระองค์โปรดให้หญิงที่เป็นหมันได้อยู่อาศัยในเรือน
เป็นแม่ผู้มีใจยินดีของลูกๆ
จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
เพลงเทศกาลปัสกา
1 เมื่ออิสราเอลออกพ้นจากประเทศอียิปต์
ครอบครัวของยาโคบไปจากชนต่างชาติต่างภาษา
2 ยูดาห์กลายเป็นสถานที่บริสุทธิ์ของพระองค์
อิสราเอลอยู่ในการปกครองของพระองค์
3 ทะเลแห้งเหือดลง
แม่น้ำจอร์แดนหยุดไหล[a]
4 ภูเขาลิงโลดราวกับแกะตัวผู้
เนินเขาลิงโลดราวกับลูกแกะ
5 ทะเลเอ๋ย เจ้าเป็นอะไรไป เจ้าจึงได้เหือดแห้ง
และจอร์แดน เหตุใดเจ้าจึงหยุดไหล
6 ภูเขา เหตุใดเจ้าจึงลิงโลดราวกับแกะตัวผู้
เนินเขาลิงโลดราวกับลูกแกะ
7 โอ แผ่นดินโลกเอ๋ย จงหวั่นไหว ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า
ณ เบื้องหน้าพระเจ้าของยาโคบ
8 ผู้บันดาลให้ก้อนหินเป็นสระน้ำ
และหินเหล็กไฟเป็นน้ำพุ
15 วันเวลาของผู้มีความทุกข์ย่ำแย่อยู่เสมอ
ในขณะที่ใจร่าเริงก็เสมือนได้อยู่ร่วมในงานเลี้ยงฉลองเรื่อยไป
16 การมีอยู่เพียงน้อยนิดและรู้จักเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้ายังจะดีกว่า
การมีทรัพย์สมบัติมหาศาลแต่อยู่ในความวุ่นวายสับสน
17 อยู่ในที่มีผักรับประทานและมีความรักอยู่ด้วย
ยังดีกว่ามีเนื้อนุ่มๆ รับประทานในที่มีความเกลียดชัง
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation