Print Page Options Listen to Reading
Previous Prev Day Next DayNext

The Daily Audio Bible

This reading plan is provided by Brian Hardin from Daily Audio Bible.
Duration: 731 days

Today's audio is from the NET. Switch to the NET to read along with the audio.

New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
1 ซามูเอล 5-7

ชาวฟีลิสเตียและหีบ

เมื่อชาวฟีลิสเตียยึดหีบของพระเจ้าไป พวกเขานำหีบจากเมืองเอเบนเอเซอร์ไปยังเมืองอัชโดด แล้วชาวฟีลิสเตียเอาหีบของพระเจ้าไปไว้ในวิหารเทพเจ้าดาโกน[a] และวางไว้ข้างเทวรูปดาโกน เมื่อชาวเมืองอัชโดดลุกขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น ดูเถิด รูปปั้นเทวรูปดาโกนล้มหน้าคะมำอยู่กับพื้นที่เบื้องหน้าหีบของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจึงตั้งเทวรูปขึ้นไว้ที่เดิม แต่เมื่อพวกเขาลุกขึ้นรุ่งเช้าวันต่อไป ดูเถิด เทวรูปดาโกนล้มหน้าคะมำอยู่กับพื้นที่เบื้องหน้าหีบของพระผู้เป็นเจ้า หัวและมือทั้งสองของเทวรูปดาโกนหักตกอยู่ที่ธรณีประตู เหลืออยู่ก็แต่เพียงลำตัวของดาโกน เนื่องด้วยเหตุนี้พวกปุโรหิตของเทพเจ้าดาโกน และทุกคนที่เข้าไปในวิหารของดาโกนจึงไม่เหยียบธรณีประตูของดาโกนที่เมืองอัชโดดมาจนถึงทุกวันนี้

พระผู้เป็นเจ้าลงโทษชาวเมืองอัชโดดอย่างหนัก พระองค์ทำให้ชาวเมืองพินาศและรับความทุกข์ทรมานด้วยโรคเนื้องอก ทั้งในเมืองอัชโดดและบริเวณใกล้เคียง เมื่อคนในเมืองอัชโดดเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงพูดกันว่า “หีบของพระเจ้าของอิสราเอลจะต้องไม่อยู่กับพวกเรา เพราะพระองค์กำลังลงโทษพวกเราและเทพเจ้าดาโกนของเราอย่างหนัก” พวกเขาจึงให้คนไปเรียกประชุมบรรดาเจ้าครองเมืองของชาวฟีลิสเตีย และถามว่า “พวกเราจะทำอย่างไรกับหีบของพระเจ้าของอิสราเอล” พวกเขาตอบว่า “ให้คนย้ายหีบของพระเจ้าของอิสราเอลไปไว้ที่เมืองกัท” ดังนั้นพวกเขาจึงนำหีบของพระเจ้าของอิสราเอลไปไว้ที่นั่น แต่หลังจากที่พวกเขาได้ย้ายหีบไป พระผู้เป็นเจ้าก็ลงโทษเมืองนั้น ทำให้ผู้คนสับสนอลหม่านมาก และพระองค์ทำให้ผู้คนในเมือง ทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่จำนวนมากเป็นโรคเนื้องอก 10 ดังนั้นพวกเขาจึงส่งหีบของพระเจ้าไปยังเมืองเอโครน และทันทีที่หีบของพระเจ้ามาถึงเอโครน ชาวเอโครนร้องขึ้นว่า “พวกเขาเอาหีบของพระเจ้าของอิสราเอลมา เพื่อฆ่าเราและคนของเราด้วย” 11 ฉะนั้นพวกเขาจึงให้คนไปเรียกประชุมบรรดาเจ้าครองเมืองของชาวฟีลิสเตีย และพูดว่า “ส่งหีบของพระเจ้าของอิสราเอลไปให้พ้น ให้หีบกลับไปที่เดิม เพื่อหีบนั้นจะได้ไม่มาฆ่าเราและผู้คนของเรา” เพราะคนทั่วทั้งเมืองตื่นตระหนกจากความตายมาก พระเจ้าลงโทษที่นั่นอย่างหนัก 12 ส่วนคนที่ไม่ตายก็ถูกรังควานด้วยโรคเนื้องอก และเสียงร้องของเมืองนั้นขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์

หีบกลับไปยังอิสราเอล

หีบของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในดินแดนของชาวฟีลิสเตียเป็นเวลา 7 เดือน และชาวฟีลิสเตียเรียกให้บรรดาปุโรหิตและผู้ทำนายมา และกล่าวว่า “พวกเราจะทำอย่างไรกับหีบของพระผู้เป็นเจ้า บอกเราด้วยว่า เราควรจะส่งคืนไปที่เดิมพร้อมกับอะไร” พวกเขาตอบว่า “ถ้าท่านส่งหีบของพระเจ้าของอิสราเอลกลับไป ก็อย่าส่งไปเปล่าๆ แต่ให้ส่งคืนไปพร้อมกับของถวายเพื่อไถ่โทษ แล้วพวกท่านจะหายจากโรค และท่านจะได้เห็นว่าเพราะเหตุใดพระองค์จึงไม่หยุดลงโทษพวกท่าน” พวกเขาพูดว่า “เราจะส่งอะไรให้พระองค์ เพื่อเป็นของถวายเพื่อไถ่โทษ” พวกเขาตอบว่า “เนื้องอกทองคำ 5 ก้อนกับหนูทองคำ 5 ตัว อย่างละหนึ่งสำหรับเจ้าครองเมืองของฟีลิสเตียแต่ละคน เพราะภัยพิบัติเดียวกันเกิดขึ้นกับท่านทุกคนและกับเจ้าครองเมืองของท่านด้วย ฉะนั้นท่านต้องทำรูปจำลองเนื้องอกและรูปหนูที่ทำความหายนะให้กับแผ่นดิน และจงถวายพระบารมีแด่พระเจ้าของอิสราเอล บางทีพระองค์จะเพลามือจากการลงโทษพวกท่าน เทพเจ้าของท่าน และแผ่นดินของท่านลงบ้าง ทำไมท่านจึงทำใจแข็งกระด้างเหมือนที่ชาวอียิปต์และฟาโรห์กระทำ หลังจากที่พระองค์กระทำต่อพวกเขาอย่างสาหัสแล้ว พวกเขาไม่ได้ปล่อยให้ประชาชนออกไป และพวกเขาก็ได้จากไปมิใช่หรือ ฉะนั้นแล้ว จงเตรียมเกวียนใหม่เล่มหนึ่งให้พร้อม เอาแม่โค 2 ตัว ที่ยังไม่เคยเทียมแอกมาก่อน เอาโค 2 ตัวนี้เทียมเข้ากับเกวียน ส่วนลูกของมันก็แยกให้กลับเข้าคอกไป จงวางหีบของพระผู้เป็นเจ้าไว้บนเกวียน และในหีบอีกใบ ก็วางไว้ข้างๆ กัน ในหีบใบนั้นจงใส่ของที่ทำจากทองคำที่จะส่งไปมอบแด่พระองค์เป็นของถวายเพื่อไถ่โทษ เสร็จแล้วส่งเกวียนไป ให้เคลื่อนไปเอง แต่จงคอยดู ถ้าหากว่าเกวียนขึ้นไปตามทิศทางแผ่นดินของมันเอง คือไปยังเบธเชเมช แล้วก็จะรู้ว่าเป็นพระองค์ ที่ทำให้พวกเรารับอันตรายครั้งนี้ แต่ถ้าไม่ เราก็จะรู้ว่าไม่ใช่พระองค์ที่ลงโทษพวกเรา แต่เพราะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ”

10 พวกผู้ชายก็กระทำตามนั้น คือเอาแม่โค 2 ตัวเทียมเกวียน และขังลูกโคไว้ที่คอก 11 วางหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าไว้บนเกวียน และอีกหีบบรรจุด้วยหนูทองคำกับรูปจำลองเนื้องอก 12 ฝ่ายแม่โคก็เดินตรงไปทางเบธเชเมช เดินไปตามทางถนน ขณะที่ไปก็ได้ส่งเสียงร้องไปด้วย ไม่เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา ส่วนพวกเจ้าครองเมืองของชาวฟีลิสเตียก็เดินตามไปดู ไกลจนถึงชายแดนของเบธเชเมช 13 ขณะนั้นชาวเมืองเบธเชเมชกำลังเก็บเกี่ยวสาลีอยู่ในหุบเขา เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นดู ก็เห็นหีบของพระเจ้า และยินดีที่เห็น 14 เกวียนเข้าไปในทุ่งนาของโยชูวาชาวเบธเชเมช และหยุดอยู่ใกล้หินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่นั่น คนแถวนั้นจึงผ่าไม้เกวียน และมอบแม่โคเป็นสัตว์ที่เผาเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า 15 และชาวเลวีก็ยกหีบของพระผู้เป็นเจ้า และหีบอีกใบบรรจุด้วยรูปจำลองทองคำที่อยู่ข้างๆ วางไว้บนหินก้อนใหญ่ก้อนนั้น และชาวเบธเชเมชมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย และถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้าในวันนั้น 16 เมื่อเจ้าครองเมืองทั้งห้าของฟีลิสเตียเห็นทุกอย่างแล้ว พวกเขาก็กลับไปเอโครนในวันนั้น

17 เนื้องอกทองคำที่ชาวฟีลิสเตียส่งให้เป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าเพื่อไถ่โทษ สำหรับเมืองละ 1 ก้อนตามรายชื่อเมืองคือ อัชโดด กาซา อัชเคโลน กัท และเอโครน 18 และมีหนูทองคำตามจำนวนเมืองของชาวฟีลิสเตียที่เป็นของเจ้าครองเมืองทั้งห้า เป็นทั้งเมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง และหมู่บ้านที่ไม่มีกำแพงกั้น หินก้อนใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างหีบของพระผู้เป็นเจ้า ในทุ่งนาของโยชูวาชาวเบธเชเมช ก็เป็นพยานมาจนถึงทุกวันนี้

19 พระเจ้าประหารชาวเบธเชเมชบางคน เพราะพวกเขามองหีบของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ประหาร 70 คน ประชาชนก็ร้องคร่ำครวญ เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ประหารคนจำนวนมาก 20 แล้วชาวเบธเชเมชพูดว่า “ใครจะสามารถยืน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้บริสุทธิ์องค์นี้ได้ และหีบจากพวกเราจะขึ้นไปอยู่กับผู้ใด” 21 ดังนั้นพวกเขาจึงให้พวกผู้ส่งข่าวไปยังชาวเมืองคีริยาทเยอาริม กล่าวว่า “ชาวฟีลิสเตียได้คืนหีบของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ลงมาเอาหีบขึ้นไปอยู่กับพวกท่านเถิด”

ชาวคีริยาทเยอาริมก็ลงมารับเอาหีบของพระผู้เป็นเจ้าขึ้นไปยังเรือนของอาบีนาดับบนเนินเขา และทำพิธีให้เอเลอาซาร์บุตรของเขาบริสุทธิ์ เพื่อมีหน้าที่รับผิดชอบหีบของพระผู้เป็นเจ้า นับจากวันที่หีบพำนักอยู่ที่คีริยาทเยอาริม เวลาล่วงไปนานประมาณได้ 20 ปี และพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงก็ร้องคร่ำครวญถึงพระผู้เป็นเจ้า

ซามูเอลวินิจฉัยอิสราเอล

ซามูเอลพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงว่า “ถ้าหากว่าพวกท่านหันกลับมาหาพระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ ก็จงกำจัดเทพเจ้าต่างชาติทั้งหลายและเทพเจ้าอัชโทเรทไปเสียจากพวกท่าน และหันจิตใจของท่านเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า และรับใช้พระองค์เท่านั้น แล้วพระองค์จะช่วยท่านให้รอดปลอดภัยจากชาวฟีลิสเตีย” ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงกำจัดเทพเจ้าบาอัลและเทพเจ้าอัชโทเรท และรับใช้แต่เพียงพระผู้เป็นเจ้า

ซามูเอลกล่าวว่า “จงเรียกประชุมอิสราเอลทั้งปวงที่เมืองมิสปาห์ และเราจะอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าให้พวกท่าน” เขาทั้งหลายจึงประชุมกันที่เมืองมิสปาห์ และตักน้ำมาเทออกถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า ในวันนั้นพวกเขาอดอาหารและพูดที่นั่นว่า “พวกเราได้กระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า” และซามูเอลวินิจฉัยอิสราเอลที่เมืองมิสปาห์ ครั้นชาวฟีลิสเตียทราบว่าชาวอิสราเอลประชุมกันที่เมืองมิสปาห์ บรรดาเจ้าครองเมืองของชาวฟีลิสเตียจึงขึ้นมาโจมตีอิสราเอล เมื่อชาวอิสราเอลทราบดังนั้น พวกเขาจึงตกใจกลัวพวกฟีลิสเตีย พวกเขาจึงพูดกับซามูเอลว่า “โปรดวิงวอนขอพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราให้พวกเราต่อไปด้วยเถิด พระองค์จะได้ช่วยพวกเราให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวฟีลิสเตีย” ซามูเอลจึงถวายลูกแกะที่ยังไม่หย่านมเพื่อเป็นสัตว์ที่เผาเป็นของถวายทั้งตัวแด่พระผู้เป็นเจ้า ซามูเอลวิงวอนขอพระผู้เป็นเจ้าเพื่ออิสราเอล และพระผู้เป็นเจ้าก็ตอบท่าน 10 ในขณะที่ซามูเอลกำลังมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย พวกฟีลิสเตียก็เข้าประชิดตัวอิสราเอลเพื่อจะทำสงคราม แต่ในวันนั้นพระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้ฟ้าร้องสนั่นครั่นครืนใส่พวกฟีลิสเตีย ทำให้พวกเขาหวาดกลัวและเตลิดหนีไปต่อหน้าอิสราเอล 11 พวกผู้ชายของอิสราเอลรีบออกไปจากเมืองมิสปาห์ และไล่ตามฆ่าฟันพวกชาวฟีลิสเตียไปตลอดทาง ไกลจนถึงเมืองเบธคาร์

12 แล้วซามูเอลก็เอาศิลาก้อนหนึ่งมาตั้งไว้ระหว่างเมืองมิสปาห์และเมืองเชน และตั้งชื่อศิลาว่า เอเบนเอเซอร์ พลางพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้ช่วยพวกเราจนบัดนี้” 13 ดังนั้นชาวฟีลิสเตียจึงพ่ายแพ้และไม่ได้บุกรุกพรมแดนอิสราเอลอีก มือของพระผู้เป็นเจ้าต่อต้านชาวฟีลิสเตียตลอดทั้งชีวิตของซามูเอล 14 เมืองต่างๆ จากเมืองเอโครนจนถึงเมืองกัท ที่ชาวฟีลิสเตียได้ยึดไปจากอิสราเอลก็กลับคืนมาเป็นของอิสราเอล และอิสราเอลได้ช่วยพรมแดนใกล้เมืองเหล่านั้นให้พ้นจากอำนาจของชาวฟีลิสเตีย ดังนั้นจึงมีความสงบสุขระหว่างอิสราเอลและชาวอาโมร์[b]

15 ซามูเอลเป็นผู้วินิจฉัยให้แก่อิสราเอลต่อไปจนชั่วชีวิตของท่าน 16 ท่านจะไปวินิจฉัยอิสราเอลตั้งแต่เมืองเบธเอลถึงเมืองกิลกาลและมิสปาห์ จนครบวงจรทุกๆ ปี 17 และท่านจะกลับไปยังเมืองรามาห์เสมอ เพราะเป็นบ้านเกิดของท่าน และก็ได้วินิจฉัยอิสราเอลที่นั่นด้วย และท่านได้สร้างแท่นบูชามอบแด่พระผู้เป็นเจ้าไว้ที่นั่น

ยอห์น 6:1-21

มหาชนกับขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัว

หลังจากนั้นพระเยซูได้เดินทางไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบกาลิลี ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าทะเลสาบทิเบเรียส ผู้คนจำนวนมากติดตามพระองค์ไป เพราะพวกเขาได้เห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ซึ่งพระองค์กระทำต่อบรรดาคนป่วย แล้วพระเยซูขึ้นไปนั่งบนภูเขากับบรรดาสาวกของพระองค์ ในเวลานั้นใกล้ถึงเทศกาลปัสกาของชาวยิวแล้ว เมื่อพระเยซูเงยหน้าขึ้นก็พบว่าผู้คนจำนวนมากได้พากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงกล่าวกับฟีลิปว่า “เราจะซื้ออาหารที่ไหนให้คนเหล่านี้รับประทานได้” คำถามนี้พระองค์ได้ถามเพื่อเป็นการลองใจเขาดู เพราะจริงๆ แล้วพระองค์ทราบแล้วว่าจะทำอย่างไร ฟีลิปตอบพระองค์ว่า “200 เหรียญเดนาริอัน[a]ก็ไม่พอซื้ออาหารให้ทุกคนรับประทานคนละเล็กละน้อยได้” อันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งได้พูดกับพระองค์ว่า “เด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปังลูกเดือย 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว เพียงเท่านั้นจะพอสำหรับคนมากอย่างนี้หรือ” 10 พระเยซูกล่าวว่า “ให้ทุกคนนั่งลง” 5,000 คนก็นั่งบนบริเวณที่มีหญ้าซึ่งกว้างขวางเพียงพอ 11 พระเยซูหยิบขนมปัง และเมื่อขอบคุณพระเจ้าแล้ว พระองค์ก็แจกขนมปังและปลาแก่คนที่นั่งลง ได้มากพอตามที่ต้องการกัน 12 เมื่อคนรับประทานกันจนอิ่มแล้ว พระองค์จึงกล่าวกับบรรดาสาวกว่า “จงรวบรวมอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้เสียของ” 13 พวกเขาจึงรวบรวมขนมปังใส่ในตะกร้าได้ 12 ใบเต็มๆ เป็นอาหารที่คนรับประทานเหลือจากขนมปังลูกเดือย 5 ก้อน 14 ฉะนั้นเมื่อผู้คนเห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ที่พระองค์ได้กระทำ จึงพูดว่า “นี่เป็นผู้เผยคำกล่าวที่แท้จริงของพระเจ้าซึ่งได้รับมอบหมายให้มาในโลก” 15 พระเยซูทราบว่า เขาเหล่านั้นตั้งใจที่จะใช้กำลังจับกุมพระองค์ไปเพื่อให้เป็นกษัตริย์ จึงได้ปลีกตัวออกไปยังภูเขาแต่เพียงลำพังอีก

พระเยซูเดินบนผิวน้ำในทะเลสาบ

16 ครั้นถึงเวลาเย็นพวกสาวกของพระองค์ก็เดินลงไปยังทะเลสาบ 17 แล้วลงเรือข้ามทะเลสาบไปยังเมืองคาเปอร์นาอุม จนมืดแล้วพระเยซูก็ยังไม่ได้กลับมาหาพวกเขา 18 ลมพายุได้ทำให้เกิดคลื่นลมแรงในทะเลสาบ 19 เมื่อพวกสาวกตีกรรเชียงไปได้ห้าหกกิโลเมตร ก็เห็นพระเยซูเดินบนผิวน้ำเข้าไปใกล้เรือ พวกเขาพากันตกใจกลัวยิ่งนัก 20 แต่พระองค์กล่าวกับเขาว่า “นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” 21 พวกเขาจะรับพระองค์ขึ้นเรือ แต่พริบตาเดียวเท่านั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขาจะไปกัน

สดุดี 106:13-31

13 ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็ลืมสิ่งที่พระองค์กระทำ
    และไม่รอฟังคำปรึกษาของพระองค์
14 พวกเขาเกิดความอยากยิ่งนักขณะที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร
    และลองดีกับพระเจ้าในที่ร้างอันแร้นแค้น
15 พระองค์ให้สิ่งที่พวกเขาขอ
    แต่ก็ให้โรคระบาดอันร้ายแรงเกิดขึ้นกับพวกเขาด้วย

16 พวกเขาอิจฉาโมเสสในค่ายที่พัก
    และอิจฉาอาโรนคนบริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า
17 แผ่นดินแยกออกจากกันและกลืนดาธาน
    และฝังอะบีรามกับพรรคพวกจนมิด[a]
18 ไฟเผาผลาญคนทั้งกลุ่ม
    เปลวไฟเผาไหม้คนชั่วเหล่านั้น
19 พวกเขาปั้นรูปลูกโคขึ้นที่โฮเรบ
    และบูชารูปเคารพที่ได้หลอมไว้
20 พวกเขาเอาพระบารมีของพระเจ้า
    แลกกับรูปปั้นของโคที่กินหญ้า
21 พวกเขาลืมพระเจ้าผู้ช่วยให้รอดพ้นของเขา
    ผู้กระทำสิ่งอันยิ่งใหญ่ในอียิปต์
22 สิ่งมหัศจรรย์ในดินแดนของฮาม
    สิ่งอันน่าเกรงขามที่ทะเลแดง
23 แล้วพระองค์กล่าวว่า พระองค์จะทำลายพวกเขา
    แต่โมเสสผู้ที่พระองค์เลือกไว้
ไปยืนทัดทานพระองค์
    เพื่อให้พระองค์หันจากความเกรี้ยวโกรธและไม่ทำลายพวกเขา

24 ต่อมาภายหลัง พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าไปในแผ่นดินอันน่าอยู่
    และไม่เชื่อในสัญญาของพระองค์
25 พวกเขาต่างบ่นพึมพำอยู่ในกระโจมที่พักของตน
    และไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า
26 ฉะนั้น พระองค์ยกมือขึ้นปฏิญาณกับพวกเขาว่า
    พระองค์จะปล่อยให้พวกเขาตายในถิ่นทุรกันดาร
27 และจะทำให้ผู้สืบเชื้อสายของพวกเขากระจัดกระจายไปในบรรดาประชาชาติ
    ให้กระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดิน

28 พวกเขาเทียมแอกกับเทพเจ้าบาอัลแห่งเปโอร์[b]
    และกินของที่นำไปบูชาสิ่งไม่มีชีวิต
29 การกระทำของพวกเขาถือเป็นการยั่วโทสะ
    และโรคระบาดเกิดขึ้นท่ามกลางพวกเขา
30 ครั้นแล้วฟีเนหัสช่วยเป็นคนกลางจัดการเรื่อง
    และโรคระบาดก็หยุด
31 เขาถูกนับว่ามีความชอบธรรม
    ตลอดทุกยุคทุกสมัยจนนิรันดร์กาล

สุภาษิต 14:32-33

32 คนเลวจะถูกทำลายด้วยความประพฤติชั่วของตน
    แต่ผู้มีความชอบธรรมมีที่พึ่งในความซื่อตรง
33 สติปัญญาฝังอยู่ในใจของผู้มีความหยั่งรู้
    แต่ส่วนลึกของคนโง่หาเป็นเช่นนั้นไม่

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation