Print Page Options Listen to Reading
Previous Prev Day Next DayNext

The Daily Audio Bible

This reading plan is provided by Brian Hardin from Daily Audio Bible.
Duration: 731 days

Today's audio is from the CSB. Switch to the CSB to read along with the audio.

New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ผู้วินิจฉัย 13-14

กำเนิดของแซมสัน

13 ชาวอิสราเอลกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าอีก ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงมอบพวกเขาไว้ในมือของชาวฟีลิสเตียเป็นเวลา 40 ปี

มีชายชาวโศราห์คนหนึ่งจากเผ่าชาวดาน ชื่อมาโนอาห์ ภรรยาของเขาเป็นหมันไม่มีบุตร ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่นาง และกล่าวว่า “ดูเถิด เจ้าเป็นหมันและยังไม่ได้ให้กำเนิดบุตรเลย แต่เจ้าจะตั้งครรภ์และได้บุตรชาย ฉะนั้นจงระวังว่าเจ้าไม่ดื่มเหล้าองุ่นหรือสุรา และอย่ารับประทานสิ่งใดที่มีมลทิน เพราะว่า ดูเถิด เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย อย่าให้มีดโกนแตะศีรษะของเขา เพราะเด็กคนนั้นจะเป็นชาวนาศีร์ถวายตัวแด่พระเจ้าตั้งแต่เกิด และเขาจะเป็นผู้เริ่มต้นช่วยชาวอิสราเอลให้รอดปลอดภัยจากมือของชาวฟีลิสเตีย” เมื่อนางไปบอกสามีว่า “คนของพระเจ้ามาเยี่ยมฉัน ลักษณะของท่านที่ปรากฏเหมือนกับลักษณะของทูตสวรรค์ของพระเจ้า และน่าเกรงขามมาก ฉันไม่ได้ถามท่านว่าท่านมาจากไหน และท่านก็ไม่ได้บอกว่าท่านชื่ออะไร แต่ท่านกล่าวกับฉันว่า ‘ดูเถิด เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรเป็นชาย ดังนั้นอย่าดื่มเหล้าองุ่นหรือสุรา และอย่ารับประทานสิ่งใดที่มีมลทิน เพราะเด็กคนนั้นจะเป็นชาวนาศีร์ถวายตัวแด่พระเจ้า ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งวันตาย’”

แล้วมาโนอาห์ก็อธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้คนของพระเจ้า คนที่พระองค์ใช้มา มาปรากฏแก่เราทั้งสองอีก และสอนว่าเราควรจะทำอย่างไรกับเด็กที่จะมาเกิด” พระเจ้าฟังเสียงของมาโนอาห์ และทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็มาเยี่ยมนางอีกขณะที่นางนั่งอยู่ในทุ่งนา แต่มาโนอาห์ผู้เป็นสามีไม่ได้อยู่ด้วย 10 ดังนั้นนางจึงรีบวิ่งไปบอกสามีว่า “ดูเถิด คนที่มาเยี่ยมฉันเมื่อวันก่อนได้มาปรากฏแก่ฉันอีก” 11 มาโนอาห์จึงลุกขึ้นตามภรรยาไป และเมื่อพบท่านผู้นั้นแล้วก็พูดว่า “ท่านเป็นคนที่พูดกับหญิงคนนี้หรือ” ท่านกล่าวว่า “เราเป็นผู้นั้น” 12 และมาโนอาห์พูดว่า “เมื่อสิ่งที่ท่านพูดเกิดขึ้นจริง ชีวิตของเด็กคนนี้จะเป็นเช่นไร และเขาได้รับมอบหมายให้ทำสิ่งใด” 13 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับมาโนอาห์ว่า “ทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับหญิงคนนี้แล้ว นางจงระมัดระวังให้ดี 14 นางอย่ารับประทานสิ่งใดที่มาจากเถาองุ่น อย่าให้นางดื่มเหล้าองุ่นหรือสุรา หรือรับประทานสิ่งใดที่มีมลทิน ทุกสิ่งที่เราได้สั่งนางแล้ว ก็จงให้นางปฏิบัติตามเถิด”

15 มาโนอาห์พูดกับทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าว่า “ขอให้เราทั้งสองรั้งตัวท่านไว้ จะได้ไปเตรียมแพะหนุ่มตัวหนึ่งให้ท่าน” 16 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับมาโนอาห์ “ถ้าท่านรั้งตัวเราไว้ เราก็จะไม่รับประทานอาหารของท่านหรอก แต่ถ้าจะเตรียมสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย ก็จงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าเถิด” (ด้วยว่ามาโนอาห์ไม่ทราบว่าท่านเป็นทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า) 17 แล้วมาโนอาห์พูดกับทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าว่า “ท่านชื่ออะไร เราจะได้ให้เกียรติแก่ท่าน เวลาสิ่งที่ท่านพูดเกิดขึ้นจริง” 18 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ทำไมท่านจึงถามชื่อของเรา มันเกินกว่าที่ท่านจะเข้าใจ” 19 ดังนั้นมาโนอาห์จึงเอาแพะหนุ่มกับเครื่องธัญญบูชามาและถวายบนศิลาแด่พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์กระทำสิ่งมหัศจรรย์ ขณะที่มาโนอาห์กับภรรยาเฝ้ามองอยู่ 20 เมื่อเปลวไฟจากแท่นบูชาพลุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็กลับขึ้นไปพร้อมกับเปลวไฟของแท่นบูชา มาโนอาห์และภรรยากำลังมองดูอยู่ แล้วทั้งสองก็ได้ฟุบหน้าลงที่พื้น

21 เมื่อทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ปรากฏแก่มาโนอาห์และภรรยาอีกเลย แล้วมาโนอาห์จึงทราบว่าท่านเป็นทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า 22 มาโนอาห์พูดกับภรรยาว่า “เราต้องตายแน่ เพราะเราได้เห็นพระเจ้า” 23 แต่ภรรยาของเขาพูดว่า “ถ้าพระผู้เป็นเจ้าตั้งใจจะเอาชีวิตเรา พระองค์คงไม่รับสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเครื่องธัญญบูชาจากมือของเราหรอก หรือแสดงให้เราเห็นสิ่งเหล่านั้น หรือให้เรารับทราบอะไรหรอก” 24 แล้วหญิงนั้นให้กำเนิดบุตรชาย และตั้งชื่อเขาว่า แซมสัน เด็กนั้นเติบโตขึ้น และพระผู้เป็นเจ้าอวยพรเขา 25 และพระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าเริ่มดลใจเขาที่มาหะเนห์ดานซึ่งอยู่ระหว่างโศราห์กับเอชทาโอล

การสมรสของแซมสัน

14 แซมสันได้ลงไปยังเมืองทิมนาห์ และเขาเห็นผู้หญิงชาวฟีลิสเตียคนหนึ่ง เขาจึงขึ้นไปบอกบิดามารดาของเขาว่า “ลูกเห็นผู้หญิงชาวฟีลิสเตียคนหนึ่งที่ทิมนาห์ ช่วยไปขอเธอมาเป็นภรรยาให้ลูกในเวลานี้เถิด” แต่บิดามารดาพูดกับเขาว่า “ไม่มีหญิงใดในกลุ่มญาติของเจ้า หรือในหมู่คนของพวกเราเองหรืออย่างไร เจ้าถึงต้องไปหาภรรยาจากชาวฟีลิสเตียที่ไม่เข้าสุหนัต” แต่แซมสันพูดกับบิดาของตนว่า “ไปขอเธอมาให้ลูกเถิด เพราะเธอต้องตาต้องใจลูก”

บิดามารดาของเขาไม่ทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้เกิดเรื่องนี้ เพราะพระองค์ใช้โอกาสที่จะให้เขาต่อสู้ชาวฟีลิสเตีย ในเวลานั้นชาวฟีลิสเตียเป็นใหญ่เหนืออิสราเอล

จากนั้นแซมสันก็ลงไปยังทิมนาห์กับบิดามารดาของเขา เมื่อมาถึงสวนองุ่นในทิมนาห์ ดูเถิดสิงโตหนุ่มตัวหนึ่งเดินคำรามตรงมายังแซมสัน และพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าก็สถิตกับแซมสัน และแม้ว่าเขาไม่มีอะไรในมือ เขาก็ยังฉีกตัวสิงโตออกเป็นชิ้นๆ ได้ราวกับฉีกเนื้อแพะหนุ่ม แต่เขาไม่ได้บอกให้บิดามารดาฟังว่าเขาได้ทำอะไรไป แล้วเขาลงไปพูดกับหญิงคนนั้น และเธอก็ต้องตาต้องใจเขา

อยู่มาวันหนึ่งแซมสันกลับไปรับตัวเธอ ขณะที่ไป เขาหันไปดูซากสิงโต ดูเถิด มีฝูงผึ้งอยู่ในตัวสิงโต และมีน้ำผึ้งด้วย เขาใช้มือทั้งสองควักน้ำผึ้งกิน และเดินต่อไป ซ้ำยังเอาไปให้บิดามารดากินด้วย แต่เขาไม่ได้บอกว่าเขาควักน้ำผึ้งได้จากซากสิงโต

10 บิดาของเขาลงไปหาหญิงคนนั้น และแซมสันก็เตรียมงานเลี้ยงที่นั่นตามที่บรรดาเจ้าบ่าวนิยมทำกัน 11 ทันทีที่ประชาชนเห็นแซมสัน พวกเขาก็ให้คนมาเป็นเพื่อนด้วย 30 คน 12 แซมสันพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “ให้เราทายปริศนากับท่านข้อหนึ่งเถิด ถ้าท่านไขได้ว่าคืออะไร ภายใน 7 วันที่มีงานเลี้ยง เราจะให้เสื้อป่าน 30 ตัวกับเสื้อใหม่อีก 30 ตัว 13 แต่ถ้าหากว่าท่านไขปริศนาไม่ได้ว่าคืออะไร ท่านก็จะต้องให้เสื้อป่าน 30 ตัวกับเสื้อใหม่ 30 ตัวแก่เรา” พวกเขาจึงตอบว่า “เปิดปริศนาเถิด พวกเราจะได้ฟังกัน”

14 เขาจึงกล่าวว่า

“มีของที่กินได้ที่ออกมาจากตัวที่กิน
    สิ่งที่หวานออกมาจากตัวที่แข็งแรง”

สามวันผ่านไป พวกเขายังไม่สามารถไขปริศนาได้

15 ในวันที่สี่ พวกเขาพูดกับภรรยาของแซมสันว่า “จงหว่านล้อมสามีของเจ้าเพื่อพวกเราจะได้รู้ว่าคำตอบของปริศนาคืออะไร มิฉะนั้นแล้ว พวกเราจะเผาตัวเจ้าและคนในครอบครัวของบิดาของเจ้าให้ตายหมด เจ้าเชิญเรามาเพื่อทำให้พวกเราหมดตัวหรือ” 16 ภรรยาของแซมสันจึงไปร้องไห้ใส่แซมสันว่า “ท่านเกลียดชังเรา ท่านไม่รักเรา ท่านตั้งปริศนาให้คนของเราทาย และท่านยังไม่ได้บอกเราเลยว่า คำตอบคืออะไร” เขาตอบนางว่า “ดูเถิด เราไม่ได้บอกพ่อแม่ของเราเอง จะให้เราบอกเจ้าหรือ” 17 นางร้องไห้ต่อหน้าแซมสันทั้ง 7 วันที่มีงานเลี้ยง และในวันที่เจ็ดเขาก็บอกนาง เพราะนางรบเร้าเขามาก แล้วนางก็ไปบอกคำตอบให้คนของนางทราบ

18 พวกผู้ชายของเมืองนั้นจึงบอกแซมสันในวันที่เจ็ดก่อนดวงอาทิตย์ตกว่า

“อะไรหวานกว่าน้ำผึ้ง
    อะไรแข็งแรงกว่าสิงโต”

เขาพูดกับคนพวกนั้นว่า

“ถ้าท่านไม่ได้ไถนากับโคสาวของเรา
    ท่านก็จะไขปริศนาของเราไม่ได้”

19 และพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าก็สถิตกับแซมสันด้วยอานุภาพ เขาก็ลงไปที่อัชเคโลน และฆ่าชาย 30 คน ยึดของที่ริบมาได้ และให้เสื้อใหม่แก่พวกที่ไขปริศนา เขากลับไปบ้านของบิดาด้วยความโกรธเป็นอย่างมาก 20 และภรรยาของแซมสันถูกยกให้เป็นของเพื่อนแซมสัน คือคนที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว

ยอห์น 1:29-51

ลูกแกะของพระเจ้า

29 วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเดินตรงมาหาท่าน จึงกล่าวว่า “ดูสิ ลูกแกะของพระเจ้า เป็นผู้ที่รับเอาบาปของโลกไป 30 นี่คือผู้ที่ข้าพเจ้าพูดถึงว่า ‘ผู้มาภายหลังข้าพเจ้าคือผู้ที่เหนือยิ่งกว่าข้าพเจ้า เพราะพระองค์ดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’ 31 ข้าพเจ้าเองแม้ไม่รู้จักพระองค์มาก่อน แต่เหตุที่ข้าพเจ้ามาให้บัพติศมาด้วยน้ำ ก็เพื่อให้พระองค์ได้เป็นที่ประจักษ์แก่พวกชนชาติอิสราเอล” 32 แล้วยอห์นก็กล่าวยืนยันว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณลงมาจากสวรรค์ในรูปลักษณ์ของนกพิราบ และสถิตกับพระองค์ 33 ข้าพเจ้าเองแม้ไม่รู้จักพระองค์มาก่อน แต่ผู้ที่ส่งข้าพเจ้ามาเพื่อให้บัพติศมาด้วยน้ำได้บอกข้าพเจ้าไว้ว่า ‘เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณลงมาสถิตกับผู้ใด ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’[a] 34 ข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว และขอยืนยันว่า ผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

สาวกกลุ่มแรกของพระเยซู

35 ในวันรุ่งขึ้น ยอห์นยืนอยู่ที่นั่นอีกกับสาวก 2 คน 36 เมื่อท่านเห็นพระเยซูเดินผ่านไป ท่านกล่าวว่า “ดูสิ ลูกแกะของพระเจ้า” 37 เมื่อสาวกทั้งสองได้ยิน ก็ติดตามพระเยซูไป 38 พระเยซูหันมาพบว่า พวกเขาเดินตามมา จึงถามว่า “เจ้าแสวงหาอะไร” เขาตอบว่า “รับบี” (ซึ่งแปลว่า อาจารย์) “ท่านพักอยู่ที่ไหน” 39 พระองค์ตอบว่า “มาเถิด แล้วเจ้าจะได้เห็นเอง” ดังนั้นสาวกทั้งสองจึงได้ตามไปและเห็นว่า พระองค์พักอยู่ที่ไหน ในวันนั้นเขาก็ได้พักอยู่กับพระองค์ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 10 โมงเช้า[b] 40 หนึ่งในสองคนที่ได้ยินยอห์นพูดและได้ติดตามพระองค์ไป คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร 41 อันดรูว์จึงไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อนเพื่อบอกเขาว่า “เราได้พบพระเมสสิยาห์ (ซึ่งแปลว่า พระคริสต์) แล้ว” 42 ครั้นแล้ว ก็พาซีโมนมาหาพระเยซู พระเยซูมองเขาและกล่าวว่า “เจ้าคือซีโมนบุตรของยอห์น เจ้าจะได้รับชื่อว่า เคฟาส” (ซึ่งแปลว่า เปโตร)

ฟีลิปและนาธานาเอลติดตามพระเยซู

43 วันรุ่งขึ้นพระเยซูตั้งใจจะไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์พบฟีลิปจึงกล่าวขึ้นว่า “จงตามเรามาเถิด” 44 ฟีลิปมาจากเมืองเบธไซดา เช่นเดียวกับอันดรูว์และเปโตร 45 ฟีลิปพบนาธานาเอลและบอกเขาว่า “เราได้พบผู้ที่โมเสสเขียนถึงในหมวดกฎบัญญัติ และที่บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเขียนถึงด้วย คือพระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธผู้เป็นบุตรของโยเซฟ” 46 นาธานาเอลถามว่า “สิ่งดีอันใดจะมาจากเมืองนาซาเร็ธได้หรือ” ฟีลิปบอกเขาว่า “มาดูสิ” 47 เมื่อพระเยซูเห็นนาธานาเอลเดินเข้ามาใกล้ พระองค์จึงกล่าวว่า “คนนี้เป็นชาวอิสราเอลแท้ หามีเล่ห์เหลี่ยมไม่” 48 นาธานาเอลจึงถามว่า “ท่านรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร” พระเยซูตอบว่า “เราเห็นเจ้าเวลาเจ้าอยู่ใต้ต้นมะเดื่อก่อนที่ฟีลิปจะไปเรียกเสียอีก” 49 นาธานาเอลตอบพระองค์ว่า “รับบี พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล” 50 พระเยซูกล่าวว่า “เจ้าเชื่อเพราะเราบอกว่า เราเห็นเจ้าอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ เจ้าจะเห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้” 51 พระองค์กล่าวต่อไปอีกว่า “เราขอบอกความจริงกับพวกเจ้าว่า เจ้าจะเห็นสวรรค์เปิด และบรรดาทูตสวรรค์[c]ของพระเจ้าจะขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์[d]

สดุดี 102

คำอธิษฐานของผู้มีทุกข์

คำอธิษฐานของผู้ทนทุกข์ทรมาน เวลารู้สึกอ่อนล้า และร้องไห้ฟูมฟายกับพระผู้เป็นเจ้า

โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้า
    ให้เสียงร้องขอความช่วยเหลือของข้าพเจ้าดังไปถึงพระองค์ด้วยเถิด
พระองค์อย่าได้ซ่อนหน้าไปจากข้าพเจ้า
    ในยามข้าพเจ้าลำบาก
โปรดเงี่ยหูฟังข้าพเจ้า
    ตอบข้าพเจ้าโดยเร็ว ในวันที่ข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระองค์

วันเวลาของข้าพเจ้าเลือนหายไปดั่งควันไฟ
    และกระดูกข้าพเจ้าร้อนผ่าวดั่งไฟในเตา
หัวใจข้าพเจ้าแห้งโรยราดั่งต้นหญ้า และเหี่ยวเฉาไป
    แม้กระทั่งอาหาร ข้าพเจ้าก็ลืมรับประทาน
ข้าพเจ้าร้องคร่ำครวญเสียงดัง
    ตัวข้าพเจ้ามีแต่หนังหุ้มกระดูก
ข้าพเจ้าเป็นเหมือนนกกระทุงในที่กันดาร
    เหมือนนกเค้าแมวในที่ร้าง
ข้าพเจ้าไม่อาจหลับลงได้
    ข้าพเจ้าเป็นดั่งนกที่เดียวดายเกาะอยู่บนยอดหลังคา
พวกศัตรูของข้าพเจ้าเหยียดหยามข้าพเจ้าตลอดวันเวลา
    เขาเยาะเย้ยและใช้ชื่อของข้าพเจ้าเป็นคำสาปแช่ง
ข้าพเจ้ากินขี้เถ้าต่างอาหาร
    และมีน้ำตาประสมอยู่ในเครื่องดื่ม
10 เป็นเพราะพระองค์ขัดเคืองและกริ้วเป็นที่สุด
    พระองค์จึงยกตัวข้าพเจ้าขึ้นและโยนทิ้งเสีย
11 วันเวลาของข้าพเจ้าเป็นเหมือนเงาในยามใกล้ค่ำ
    ข้าพเจ้าแห้งโรยราดั่งต้นหญ้า

12 โอ พระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์สถิตบนบัลลังก์เป็นนิตย์
    พระองค์จะเป็นที่ระลึกถึงทุกชั่วอายุคน
13 พระองค์จะลุกขึ้นและเมตตาศิโยน
    เพราะถึงเวลาจะโปรดปรานนาง
    อันเป็นเวลาที่เหมาะควรแล้ว
14 เพราะบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์เห็นคุณค่าศิลาของนาง
    และสงสารนางแม้จะป่นปี้จนเป็นผงธุลี
15 บรรดาประชาชาติจะยำเกรงพระนามของพระผู้เป็นเจ้า
    และกษัตริย์ทั้งปวงในแผ่นดินโลกจะเกรงพระบารมีของพระองค์
16 เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะสร้างศิโยนขึ้นใหม่
    พระองค์จะปรากฏด้วยพระบารมีของพระองค์
17 พระองค์จะตอบคำอธิษฐานของผู้ที่ถูกทอดทิ้ง
    และไม่เฉยเมยต่อคำอ้อนวอนของพวกเขา

18 ให้สิ่งนี้ถูกบันทึกไว้สำหรับยุคต่อไป
    เพื่อว่าชนชาติที่ยังไม่ได้ก่อเกิดขึ้นมาจะได้สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
19 เมื่อพระผู้เป็นเจ้ามองลงจากสถานที่บริสุทธิ์ของพระองค์
    พระองค์มองดูแผ่นดินโลกจากฟ้าสวรรค์
20 เพื่อฟังเสียงคร่ำครวญของเหล่านักโทษ
    เพื่อปลดปล่อยผู้ต้องโทษถึงแก่ชีวิตให้เป็นอิสระ
21 เพื่อให้พวกเขาประกาศพระนามของพระผู้เป็นเจ้าในศิโยน
    และสรรเสริญพระองค์ในเยรูซาเล็ม
22 เวลาบรรดาชนชาติและอาณาจักรร่วมกันชุมนุม
    เพื่อนมัสการพระผู้เป็นเจ้า

23 พระองค์ทำให้กำลังของข้าพเจ้าถดถอยลงในขณะยังเป็นหนุ่ม
    พระองค์ทำให้ข้าพเจ้ามีอายุสั้นลง
24 ข้าพเจ้าพูดว่า “โอ พระเจ้าของข้าพเจ้า
    อย่ารับตัวข้าพเจ้าไปในเวลาที่มีอายุเพียงครึ่งของชีวิตเท่านั้น
    พระองค์ดำรงอยู่ทุกชั่วอายุคน
25 ในกาลก่อนพระองค์ได้วางฐานรากของแผ่นดินโลก
    และฟ้าสวรรค์เป็นผลงานจากฝีมือของพระองค์
26 สิ่งเหล่านี้จะพินาศ แต่พระองค์จะยังดำรงอยู่
    ทุกสิ่งจะผุพังไปเหมือนกับเครื่องนุ่งห่ม
พระองค์จะเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เหมือนเปลี่ยนเสื้อคลุม
    และมันก็จะล่วงผ่านไป
27 แต่พระองค์คงอยู่เช่นเดิม
    และชีวิตของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุด[a]
28 บรรดาลูกหลานของผู้รับใช้ของพระองค์จะอาศัยอยู่ต่อไป
    ผู้สืบเชื้อสายของพวกเขาจะปลอดภัย ณ เบื้องหน้าพระองค์”

สุภาษิต 14:15-16

15 คนเขลาเชื่อทุกสิ่ง
    ในขณะที่คนฉลาดรอบคอบจะตรึกตรองก่อนในทุกเรื่อง
16 ผู้มีสติปัญญาระวังระไว และหันไปเสียจากความชั่ว
    แต่คนโง่มักจะเป็นคนหุนหันพลันแล่นและประมาท

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation