Print Page Options Listen to Reading
Previous Prev Day Next DayNext

The Daily Audio Bible

This reading plan is provided by Brian Hardin from Daily Audio Bible.
Duration: 731 days

Today's audio is from the EHV. Switch to the EHV to read along with the audio.

New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
1 ซามูเอล 10-11

ซาอูลได้รับการเจิมให้เป็นกษัตริย์

10 ซามูเอลหยิบผอบน้ำมันเทลงบนศีรษะของซาอูล จูบแก้มเขาและกล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้เจิมท่านให้เป็นผู้นำ เพื่อปกครองผู้สืบมรดกของพระองค์แล้วมิใช่หรือ เมื่อท่านจากเราไปวันนี้ ท่านจะพบชาย 2 คนอยู่ใกล้ที่ฝังศพของราเชล[a] ที่เศลซาห์ตรงชายแดนของเบนยามิน เขาทั้งสองจะพูดกับท่านว่า ‘ลาที่ท่านออกตามหานั้นพบแล้ว เวลานี้บิดาของท่านเลิกคิดเรื่องลาแล้ว และกำลังกังวลเรื่องท่านอยู่ ท่านถามว่า “เราจะทำอย่างไรเรื่องบุตรของเรา”’ จากนั้น ท่านก็จะออกเดินทางจากที่นั่นต่อไป จนกระทั่งถึงต้นไม้ใหญ่ของทาโบร์ มีชาย 3 คนที่กำลังขึ้นไปนมัสการพระเจ้าที่เบธเอลจะพบท่านที่นั่น คนหนึ่งจะอุ้มแพะหนุ่ม 3 ตัว อีกคนจะถือขนมปัง 3 ก้อน ส่วนอีกคนจะถือเหล้าองุ่นถุงหนึ่ง พวกเขาจะทักทายท่าน และมอบขนมปัง 2 ก้อนแก่ท่าน และท่านจะรับไว้ หลังจากนั้น ท่านจะไปยังกิเบอัทเอโลฮิม ที่นั่นมีด่านทหารชั้นนอกของฟีลิสเตีย พอท่านจะถึงตัวเมือง ท่านจะพบขบวนผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ากำลังลงมาจากสถานบูชาบนภูเขาสูง มีพิณสิบสาย รำมะนา ขลุ่ย และพิณเล็ก เล่นเพลงอยู่เบื้องหน้า และท่านเหล่านั้นจะเผยคำกล่าวของพระเจ้า ท่านจะเปี่ยมด้วยอานุภาพแห่งพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า และท่านจะเผยคำกล่าวของพระเจ้าร่วมกับท่านเหล่านั้น และท่านจะเปลี่ยนเป็นคนละคน เมื่อหมายสำคัญเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว จงปฏิบัติตามแต่ท่านเห็นสมควร เพราะพระเจ้าสถิตกับท่าน จงลงไปล่วงหน้าเรายังกิลกาล เราจะลงมาหาท่านอย่างแน่นอน เพื่อมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย และมอบของถวายเพื่อสามัคคีธรรม แต่ท่านต้องรอ 7 วันจนกว่าเรามาหาท่าน และจะบอกท่านว่า ท่านควรจะทำอะไร”

ขณะที่ซาอูลหันหลังจะจากซามูเอลไป พระเจ้าเปลี่ยนความรู้สึกในใจของซาอูล และหมายสำคัญเหล่านั้นก็เกิดขึ้นในวันนั้น 10 เมื่อท่านทั้งสองมาถึงกิเบอาห์ ขบวนผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ามาพบกับท่าน แล้วท่านก็เปี่ยมด้วยอานุภาพแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า ท่านจึงเผยคำกล่าวของพระเจ้าร่วมกับพวกเขา 11 เมื่อคนที่เคยรู้จักท่านมาก่อน เห็นท่านเผยคำกล่าวร่วมกับบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า จึงถามกันและกันว่า “เกิดอะไรขึ้นกับบุตรของคีช ซาอูลเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าด้วยหรือ” 12 ชายชาวเมืองนั้นผู้หนึ่งตอบว่า “และบิดาของคนเหล่านี้เป็นใคร” ดังนั้นจึงเป็นภาษิตว่า “ซาอูลเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าด้วยหรือ” 13 หลังจากซาอูลหยุดเผยคำกล่าวของพระเจ้าแล้ว ท่านก็ไปยังสถานบูชาบนภูเขาสูง

14 ลุงของซาอูลถามท่านและผู้รับใช้ของท่านว่า “เจ้าไปไหนกันมา” ท่านตอบว่า “ไปตามหาลามา แต่เมื่อเราเห็นว่าจะตามหาไม่พบ เราจึงไปหาซามูเอล” 15 ลุงของซาอูลพูดว่า “บอกฉันซิว่า ซามูเอลพูดอะไรกับเจ้า” 16 ซาอูลตอบว่า “ท่านรับรองเราว่า พบลาแล้ว” แต่ท่านไม่ได้บอกลุงว่า ซามูเอลพูดอะไรบ้างเรื่องการเป็นกษัตริย์

ซาอูลได้รับแต่งตั้งเป็นกษัตริย์

17 ซามูเอลเรียกประชาชนให้มาอยู่ต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์ 18 และพูดกับชาวอิสราเอลว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ‘เราได้พาอิสราเอลขึ้นมาจากประเทศอียิปต์ และเราช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์ และจากอาณาจักรทั้งหลายที่บีบบังคับพวกเจ้า’ 19 แต่บัดนี้พวกท่านไม่เชื่อฟังพระเจ้าของท่าน พระองค์เป็นผู้ที่ช่วยพวกท่านให้พ้นจากความวิบัติและความทุกข์ทั้งปวง และท่านยังจะพูดอีกว่า ‘ไม่เอา แต่ขอแต่งตั้งกษัตริย์ให้ปกครองพวกเรา’ ฉะนั้นบัดนี้พวกท่านจงแสดงตัวต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า ตามเผ่าและตระกูลของพวกท่าน”

20 เมื่อซามูเอลให้ทุกเผ่าของอิสราเอลเข้ามาใกล้ และเผ่าเบนยามินได้รับเลือก 21 ท่านจึงให้เผ่าเบนยามินมาอยู่ข้างหน้าตามแต่ละตระกูล ตระกูลมัตรีได้รับเลือก ในที่สุดซาอูลบุตรของคีชได้รับเลือก แต่เมื่อมองหาท่านก็ไม่พบ 22 ดังนั้นเขาเหล่านั้นจึงถามพระผู้เป็นเจ้าอีกว่า “ชายคนนั้นมาที่นี่แล้วหรือยัง” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “เขามาแล้ว เขาซ่อนตัวอยู่ที่กองยุทธภัณฑ์” 23 เขาทั้งหลายจึงวิ่งไปพาตัวท่านออกมา และขณะที่ท่านยืนอยู่ท่ามกลางประชาชน ท่านสูงกว่าใครเพื่อน เพราะไม่มีใครสูงเกินบ่าท่าน 24 ซามูเอลพูดกับประชาชนทั้งปวงว่า “พวกท่านเห็นชายที่พระผู้เป็นเจ้าเลือกแล้วไหม ไม่มีผู้ใดในหมู่ประชาชนทั้งหลายที่เป็นเหมือนท่าน” แล้วประชาชนตะโกนร้องว่า “ขอกษัตริย์มีอายุยืนนาน”

25 ซามูเอลอธิบายสิทธิและภาระของกษัตริย์ให้ประชาชนทราบ แล้วท่านก็เขียนลงบนหนังสือม้วน และวางไว้ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า หลังจากนั้นซามูเอลอนุญาตให้ประชาชนกลับบ้านไปได้ 26 ซาอูลกลับไปบ้านของท่านที่กิเบอาห์ด้วย มีบรรดาชายผู้กล้าหาญที่พระเจ้าดลใจให้ติดตามไปด้วย 27 แต่มีคนเลวร้ายบางคนพูดว่า “ชายคนนี้สามารถช่วยพวกเราให้รอดได้อย่างไร” พวกเขาดูหมิ่นท่าน และไม่ได้นำของกำนัลมาให้ท่าน แต่ซาอูลก็ไม่ตอบโต้แต่อย่างใด

ซาอูลรบชนะชาวอัมโมน

11 นาหาชชาวอัมโมนขึ้นไป และใช้กำลังล้อมเมืองยาเบชกิเลอาด บรรดาชายชาวยาเบชจึงพูดกับนาหาชว่า “ทำพันธสัญญากับพวกเรา และเราจะยอมรับใช้ท่าน” แต่นาหาชชาวอัมโมนตอบว่า “เราจะทำพันธสัญญากับพวกเจ้า ก็ต่อเมื่อเราได้ควักตาขวาของเจ้าทุกคนออกเสียก่อน จะได้เป็นที่น่าอับอายต่ออิสราเอลทั้งปวง” บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของยาเบชพูดกับนาหาชว่า “ให้เวลาพวกเรา 7 วัน เราจะได้ให้ผู้ส่งข่าวไปให้ทั่วอิสราเอล ถ้าไม่มีใครมาช่วยชีวิตพวกเรา เราก็จะยอมจำนนต่อท่าน” เมื่อบรรดาผู้ส่งข่าวมายังกิเบอาห์เมืองของซาอูล และรายงานข้อตกลงกับประชาชน ทุกคนจึงส่งเสียงร้องไห้

พอดีกับเวลาที่ซาอูลกำลังต้อนฝูงโคกลับมาจากทุ่ง ท่านถามว่า “ประชาชนเป็นอะไรไป ทำไมจึงร้องไห้กัน” พวกเขาจึงบอกให้ท่านฟังเรื่องพวกผู้ชายของยาเบช ครั้นซาอูลได้ยินเรื่อง ท่านก็เปี่ยมด้วยอานุภาพแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า และท่านโกรธมาก ท่านเอาโคคู่หนึ่งมาตัดออกเป็นท่อนๆ และใช้ผู้ส่งข่าวส่งไปให้ทั่วอิสราเอล พร้อมกับประกาศว่า “จะเกิดเรื่องแบบนี้กับฝูงโคของทุกคนที่ไม่ติดตามซาอูลและซามูเอล” และประชาชนก็เกิดหวาดกลัวพระผู้เป็นเจ้า และต่างก็ร่วมใจกันออกมา เมื่อซาอูลตรวจพลที่เบเซก นับจำนวนชายชาวอิสราเอลได้ 300,000 คน และชายชาวยูดาห์ 30,000 คน พวกเขาบอกผู้ส่งข่าวที่มาว่า “จงไปบอกพวกผู้ชายของยาเบชกิเลอาดว่า ‘พรุ่งนี้ก่อนเที่ยงวัน จะมีคนมาช่วยชีวิตพวกท่าน’” เมื่อบรรดาผู้ส่งข่าวไปรายงานเรื่องนี้แก่พวกผู้ชายของยาเบช พวกเขาก็ยินดียิ่งนัก 10 พวกเขาบอกชาวอัมโมนว่า “พรุ่งนี้พวกเราจะยอมจำนนต่อท่าน และท่านจะทำอย่างไรกับเราก็ได้ตามที่ท่านเห็นว่าสมควร” 11 วันรุ่งขึ้นซาอูลแบ่งพลของท่านออกเป็น 3 กอง ช่วงเวลาก่อนฟ้าสาง พวกเขาบุกเข้าไปในค่ายของชาวอัมโมน และฆ่าฟันพวกเขาจนกระทั่งเที่ยงวัน พวกที่มีชีวิตรอดต่างหนีเตลิดเปิดเปิง ตัวใครตัวมัน

12 แล้วประชาชนพูดกับซามูเอลว่า “ใครเป็นคนที่พูดว่า ‘ซาอูลจะปกครองพวกเราอย่างนั้นหรือ’ นำชายพวกนั้นมาให้เรา และเราจะฆ่าให้ตาย” 13 แต่ซาอูลกล่าวว่า “วันนี้จะไม่มีการฆ่าใครตาย เพราะวันนี้พระผู้เป็นเจ้าได้ช่วยอิสราเอลให้รอดพ้นแล้ว” 14 และซามูเอลพูดกับประชาชนว่า “ไปกันเถิด ไปกิลกาลกัน และยืนยันความเป็นกษัตริย์ของซาอูล” 15 ดังนั้นประชาชนทั้งปวงจึงไปยังกิลกาล และยืนยัน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าว่าซาอูลเป็นกษัตริย์ พวกเขาได้มอบของถวายเพื่อสามัคคีธรรม ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า ซาอูลและชาวอิสราเอลทั้งปวงจึงได้มีงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่

ยอห์น 6:43-71

43 พระเยซูกล่าวตอบว่า “อย่ามัวแต่บ่นพึมพำกันอยู่ในหมู่ท่านเลย 44 ไม่มีผู้ใดที่มาหาเราได้นอกจากพระบิดาผู้ส่งเรามา เป็นผู้นำให้เขามาหาเรา และเราจะให้เขาฟื้นคืนชีวิตในวันสุดท้าย 45 มีบันทึกในหมวดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า ‘พระเจ้าจะสั่งสอนเขาทุกคน’[a] ทุกคนที่ได้ยินและเรียนรู้จากพระบิดาก็มาหาเรา 46 มิใช่ว่ามีใครเคยเห็นพระบิดา เว้นแต่ผู้ที่มาจากพระเจ้าเท่านั้นที่ได้เห็นพระบิดาแล้ว 47 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ผู้ที่เชื่อจึงมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ 48 เราคืออาหารแห่งชีวิต 49 บรรพบุรุษของท่านได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารและได้ตายไป 50 นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ คนที่กินก็จะไม่ตาย 51 เราคืออาหารที่มีชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ผู้ใดกินอาหารนี้ก็จะมีชีวิตอยู่ตลอดกาล และอาหารที่เราจะให้เพื่อชีวิตของโลกด้วยก็คือ เลือดเนื้อของเรา”

52 ในยามนี้ชาวยิวเริ่มโต้เถียงกันว่า “ชายผู้นี้สามารถให้เลือดเนื้อเรากินได้อย่างไร” 53 พระเยซูจึงกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อและดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่านเอง 54 ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราจะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ และเราจะให้ฟื้นคืนชีวิตในวันสุดท้าย 55 เพราะว่าเนื้อของเราคืออาหารแท้เช่นเดียวกับโลหิตของเราที่เป็นของดื่มแท้ 56 ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราก็ดำรงอยู่ในเรา และเราก็ดำรงอยู่ในผู้นั้น 57 พระบิดาผู้ดำรงชีวิตได้ส่งเรามา และเราดำรงชีวิตก็เพราะพระบิดา ดังนั้นผู้ที่กินเราจะมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะเรา 58 นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนอาหารที่บรรพบุรุษกินและตายไป ผู้ที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดกาล” 59 พระองค์กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ ขณะที่สั่งสอนในศาลาที่ประชุมที่เมืองคาเปอร์นาอุม

สาวกบางคนเลิกติดตามพระเยซู

60 เมื่อสาวกจำนวนมากของพระองค์ได้ยินจึงพูดว่า “ถ้อยคำเหล่านี้ยากที่จะเข้าใจ ใครจะยอมรับได้” 61 แต่พระเยซูทราบดีว่า พวกสาวกแอบบ่นพึมพำกันในเรื่องนี้อยู่ จึงกล่าวกับพวกเขาว่า “สิ่งนี้เป็นเหตุให้เจ้าต้องลำบากใจหรือ 62 ถ้าเจ้าเห็นบุตรมนุษย์ขึ้นไปยังที่ซึ่งท่านอยู่แต่ก่อน แล้วเจ้าจะว่าอย่างไร 63 พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิต ฝ่ายเนื้อหนังไม่ได้รับประโยชน์อันใด คำกล่าวที่เราได้บอกให้เจ้าฟังเป็นวิญญาณและชีวิต 64 แต่พวกเจ้าบางคนก็ไม่เชื่อ” พระเยซูทราบแต่แรกแล้วว่ามีใครบ้างที่ไม่เชื่อ และทราบดีว่าผู้ใดจะทรยศพระองค์ 65 พระองค์กล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้เราจึงบอกเจ้าว่า ไม่มีผู้ใดที่มาหาเราได้ นอกจากพระบิดาจะโปรดให้ผู้นั้นมา”

66 ด้วยเหตุนี้เองบรรดาสาวกจำนวนมากของพระองค์จึงได้ปลีกตัวออกไป และไม่ได้ติดตามพระองค์ต่อไปอีก 67 พระเยซูจึงกล่าวกับสาวกทั้งสิบสองว่า “เจ้าอยากจะจากเราไปด้วยหรือ” 68 ซีโมนเปโตรตอบว่า “พระองค์ท่าน เราจะไปหาใครได้ พระองค์มีคำกล่าวแห่งชีวิตอันเป็นนิรันดร์ 69 พวกเราเชื่อและทราบว่า พระองค์เป็นองค์ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า” 70 พระเยซูตอบพวกเขาว่า “เราเองเป็นผู้ที่เลือกพวกเจ้าทั้งสิบสองมิใช่หรือ แต่ถึงอย่างนั้นคนหนึ่งในพวกเจ้าก็เป็นพญามาร”[b] 71 พระองค์หมายถึงยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท เพราะว่าเขาเป็นผู้ที่จะทรยศพระองค์ และเป็นคนหนึ่งในสาวกทั้งสิบสอง

สดุดี 107

ภาค 5

บทที่ 107-150

ความเมตตานานาประการ

จงขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ประเสริฐ
    เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
ให้บรรดาผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าไถ่ไว้แล้วกล่าวเช่นนั้นเถิด
    คือคนที่พระองค์ไถ่มาจากอำนาจของศัตรู
และรวบรวมมาจากดินแดนทั้งหลาย
    จากตะวันออกและตะวันตก
    จากเหนือและใต้

พวกเขาพเนจรอยู่ในถิ่นทุรกันดารอันแร้นแค้น
    และไม่สามารถหาทางเข้าเมืองเพื่ออาศัยอยู่ได้
ทั้งหิวและกระหาย
    ชีวิตจิตใจอ่อนระอา
พวกเขาจึงร้องต่อพระผู้เป็นเจ้าในยามลำบาก
    พระองค์ก็ได้ช่วยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์
พระองค์นำพวกเขามุ่งตรงไป
    จนถึงเมืองเพื่ออาศัยอยู่
ให้พวกเขาขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าในความรักอันมั่นคงของพระองค์
    ในสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบรรดาบุตรของมนุษย์
เพราะพระองค์ทำให้ผู้กระหายได้รับจนพอใจ
    และมอบสิ่งดีๆ แก่ผู้หิวโหย

10 บ้างก็ตกอยู่ในความมืดมิด
    นักโทษรับทุกข์ทรมานเพราะถูกล่ามโซ่
11 เพราะพวกเขาฝ่าฝืนคำกล่าวของพระเจ้า
    และดูหมิ่นความตั้งใจขององค์ผู้สูงสุด
12 ใจของพวกเขาท้อแท้เพราะงานหนัก
    เมื่อล้มลงก็ไม่มีใครช่วย
13 พวกเขาจึงร้องต่อพระผู้เป็นเจ้าในยามลำบาก
    พระองค์ก็ได้ช่วยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์
14 ปลดปล่อยให้พ้นจากความมืดมิด
    และทำให้โซ่ที่ล่ามไว้ขาดออก
15 ให้พวกเขาขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าในความรักอันมั่นคงของพระองค์
    ในสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบรรดาบุตรของมนุษย์
16 เพราะพระองค์พังประตูทองสัมฤทธิ์ลง
    รวมทั้งที่ได้หักดาลประตู

17 พวกโง่เขลาที่ยังคงฝ่าฝืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    ก็ต้องทนทุกข์ต่อไปเพราะความชั่วของตนเอง
18 พวกเขาแขยงอาหารทุกชนิด
    และเขยิบเข้าไปใกล้ประตูแดนคนตาย
19 พวกเขาจึงร้องต่อพระผู้เป็นเจ้าในยามลำบาก
    พระองค์ก็ได้ช่วยให้พ้นจากความทุกข์
20 เมื่อพระองค์บัญชา โรคที่พวกเขาเป็นอยู่ก็หายขาด
    พระองค์ยังช่วยให้พ้นจากความพินาศอีกด้วย
21 ให้พวกเขาขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าในความรักอันมั่นคงของพระองค์
    ในสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบรรดาบุตรของมนุษย์
22 ให้พวกเขามอบของถวายแห่งการขอบคุณ
    และประกาศสิ่งที่พระองค์ได้กระทำด้วยเพลงแห่งความยินดี

23 บางคนออกเรือเดินทะเล
    ท่องไปในมหาสมุทรเพื่อทำการค้า
24 พวกนั้นได้เห็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากระทำ
    เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์ในท่ามกลางทะเลลึก
25 เพียงพระองค์กล่าว ก็เกิดลมอันแรงกล้า
    ซึ่งทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่
26 พวกคนในเรือถูกโยนลอยสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะดำดิ่งลงสู่ห้วงลึก
    ความกล้าของพวกเขามลายไปสิ้นเมื่ออันตรายย่างกรายเข้ามา
27 พวกเขาสะดุดและโซเซไปมาราวกับคนเมา
    ความชำนาญของพวกเขาไร้ประโยชน์
28 พวกเขาจึงร้องต่อพระผู้เป็นเจ้าในยามลำบาก
    พระองค์ก็ได้ช่วยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์
29 พระองค์ทำให้พายุสงบ
    และคลื่นสงบนิ่ง
30 ครั้นแล้วพวกเขาก็พากันดีใจเพราะคลื่นลมสงบลง
    และพระองค์นำไปยังท่าที่พวกเขาต้องการ
31 ให้พวกเขาขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าในความรักอันมั่นคงของพระองค์
    ในสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบรรดาบุตรของมนุษย์
32 ให้พวกเขายกย่องพระองค์ต่อหน้าที่ประชุมของชนชาติ
    และสรรเสริญพระองค์ในที่ประชุมของบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่

33 พระองค์ทำให้แม่น้ำกลายเป็นถิ่นทุรกันดาร
    แหล่งน้ำกลายเป็นดินที่แห้งแตกระแหง
34 ดินที่เคยอุดมกลับกลายเป็นดินเค็ม
    เพราะผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่นชั่วร้าย
35 พระองค์เปลี่ยนถิ่นทุรกันดารให้กลายเป็นแอ่งน้ำได้
    จากดินที่แห้งผากกลับเป็นแหล่งน้ำ
36 พระองค์ให้ผู้หิวกระหายตั้งถิ่นฐาน
    และพวกเขาก็สร้างเมืองขึ้นเพื่อพักอาศัย
37 พวกเขาหว่านเมล็ดในไร่นาและปลูกสวนองุ่น
    ซึ่งก็เก็บเกี่ยวได้ผลดี
38 ด้วยพระพรของพระองค์ เขาทั้งหลายจึงทวีจำนวนลูกหลานมากขึ้น
    และไม่ปล่อยให้ฝูงสัตว์ลดจำนวนลง

39 ครั้นเมื่อถูกลดจำนวนลงและอับอาย
    เพราะถูกบีบบังคับ เผชิญกับความวิบัติและความเศร้า
40 พระองค์ให้บรรดาผู้นำเป็นที่ถูกดูหมิ่น
    และทำให้พวกเขาพเนจรไปในถิ่นทุรกันดาร
41 แต่พระองค์ฉุดคนยากไร้ขึ้นจากความทุกข์ทรมาน
    และทำให้ครอบครัวของคนเหล่านั้นเพิ่มจำนวนมากขึ้นดั่งฝูงแกะ
42 บรรดาผู้มีความชอบธรรมเห็นแล้วก็ยินดี
    และคนชั่วทั้งปวงก็ปิดปาก

43 ผู้ใดเรืองปัญญาก็ให้เขาใส่ใจในสิ่งเหล่านี้
    ให้เขาระลึกถึงความรักอันมั่นคงของพระผู้เป็นเจ้า

สุภาษิต 15:1-3

15 คำตอบที่สุภาพอ่อนโยนช่วยให้พ้นจากความขุ่นเคือง
    ในขณะที่คำโต้แย้งแข็งกร้าวจะทำให้เกิดความโกรธ
สิ่งที่บรรดาผู้มีสติปัญญาพูดเป็นความรู้
    แต่ปากของคนโง่ส่งให้ความโง่พวยพุ่งออกมา
ตาของพระผู้เป็นเจ้ามองเห็นทุกหนทุกแห่ง
    พระองค์เฝ้าดูทั้งบรรดาคนชั่วและคนดี

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation