M’Cheyne Bible Reading Plan
32 ฟ้าสวรรค์เอ๋ย ฟังเถิดที่ข้าพเจ้าจะกล่าว
แผ่นดินโลกเอ๋ย จงสดับวาจาจากปากของข้าพเจ้า
2 ขอให้คำสอนของข้าพเจ้าพรั่งพรูลงมาดั่งฝน
และให้ถ้อยคำของข้าพเจ้าหยาดหยดมาดุจน้ำค้าง
เหมือนสายฝนโปรยปรายลงบนหญ้าอ่อน
เหมือนฝนชุ่มรินรดพืชพันธุ์เขียวสด
3 ข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระยาห์เวห์
ขอสดุดีความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าของเรา!
4 พระองค์ทรงเป็นพระศิลา พระราชกิจของพระองค์สมบูรณ์พร้อม
และวิถีทางของพระองค์ล้วนยุติธรรม
ทรงเป็นพระเจ้าผู้ซื่อสัตย์ผู้ไม่ทำสิ่งที่ผิดใดๆ เลย
พระองค์ทรงชอบธรรมและยุติธรรม
5 พวกเขาทำตัวเสื่อมทรามต่อพระองค์
น่าอับอายขายหน้าเกินกว่าจะเป็นลูกของพระเจ้าต่อไป
พวกเขาเป็นคนรุ่นที่วิปริตและกลับกลอก[a]
6 ท่านตอบสนองต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นนี้หรือ
ประชากรที่โง่เขลาเบาปัญญา?
พระเจ้าไม่ใช่พระบิดาพระผู้สร้างของท่าน[b]
ผู้ทรงก่อร่างสร้างท่านขึ้นมาหรือ?
7 จงระลึกถึงวันคืนเก่าก่อน
คิดถึงชั่วอายุตั้งแต่อดีตนานมา
ถามบิดาของท่านดูเถิด เขาจะบอกท่านได้
ถามบรรดาผู้อาวุโสเถิด พวกเขาจะอธิบายให้ฟัง
8 เมื่อองค์ผู้สูงสุดประทานกรรมสิทธิ์แก่ชนชาติต่างๆ
เมื่อทรงแยกมวลมนุษยชาติ
พระองค์ทรงกำหนดเขตชนชาติทั้งหลาย
ตามจำนวนบุตรของอิสราเอล[c]
9 ส่วนขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือประชากรของพระองค์
ยาโคบคือส่วนกรรมสิทธิ์ของพระองค์
10 พระองค์ทรงพบเขาในถิ่นกันดารอันเริศร้าง
และเต็มไปด้วยเสียงโหยหวน
พระองค์ทรงปกป้องและดูแลเขา
พระองค์ทรงพิทักษ์เขาดั่งแก้วพระเนตรของพระองค์
11 เหมือนนกอินทรีตะกุยรังของมัน
และบินร่อนอยู่เหนือลูกอ่อน
กางปีกออกรองรับ
ประคับประคองพาลูกบินไป
12 องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เดียวทรงนำเขาไป
ไม่มีพระต่างด้าวอยู่กับเขา
13 พระองค์ทรงทำให้เขาทะยานไปตามเบื้องสูงแห่งแผ่นดิน
และทรงเลี้ยงดูเขาด้วยผลผลิตจากท้องทุ่ง
ทรงบำรุงเลี้ยงเขาด้วยน้ำผึ้งจากศิลา
และด้วยน้ำมันจากหินผา
14 ด้วยน้ำนมและนมข้นจากฝูงสัตว์
และด้วยแพะแกะอ้วนพี
กับแกะผู้ชั้นเยี่ยมแห่งบาชาน
และข้าวสาลีที่ดีที่สุด
เขาดื่มน้ำองุ่นสีแดงก่ำที่มีฟอง
15 เยชูรุน[d] อ้วนพีขึ้นก็พยศ
ครั้นอิ่มหนำก็อ้วนใหญ่ ขนเป็นมันปลาบ
เขาทอดทิ้งพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขา
ปฏิเสธพระศิลาพระผู้ช่วยให้รอดของตน
16 พวกเขายั่วยุให้พระองค์อิจฉาด้วยพระต่างด้าวทั้งปวงของเขา
และยั่วยุพระพิโรธของพระองค์ด้วยรูปเคารพอันน่าชิงชังทั้งหลาย
17 พวกเขาเซ่นสังเวยแก่ภูตผีปีศาจซึ่งไม่ใช่พระเจ้า
เป็นพระซึ่งเขาไม่เคยรู้จัก
พระซึ่งเพิ่งปรากฏ
พระซึ่งบรรพบุรุษของท่านไม่เกรงกลัว
18 ท่านได้ทอดทิ้งพระศิลาผู้ให้กำเนิดท่าน
ท่านลืมพระเจ้าผู้ทรงให้ท่านเกิดมา
19 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นเช่นนี้และทรงละทิ้งเขา
เพราะว่าบุตรชายบุตรสาวของพระองค์ทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธ
20 พระองค์ตรัสว่า “เราจะซ่อนหน้าจากพวกเขา
และดูว่าบั้นปลายของเขาจะเป็นเช่นใด
เพราะเขาเป็นคนรุ่นที่นอกลู่นอกรอย
ลูกหลานผู้ไม่ซื่อสัตย์
21 เขาทำให้เราอิจฉาสิ่งที่ไม่ใช่พระ
และยั่วโทสะเราด้วยรูปเคารพอันไร้ค่า
เราจะทำให้เขาอิจฉาผู้ที่ไม่ใช่ชนชาติ
เราจะยั่วโทสะเขาด้วยประชาชาติที่ไม่มีความเข้าใจ
22 เพราะโทสะของเราจุดเปลวไฟ
ซึ่งเผาถึงก้นบึ้งของแดนมรณา
ไฟนั้นจะเผาผลาญโลกและพืชผลทั้งปวง
และบันดาลให้ภูเขาทั้งหลายลุกเป็นไฟ
23 “เราจะสุมหายนะลงเหนือพวกเขา
และยิงธนูเข้าใส่พวกเขา
24 เราจะส่งการกันดารอาหารมาต่อสู้พวกเขา
ส่งโรคระบาดอันล้างผลาญและภัยพิบัติร้ายแรงมาเล่นงานพวกเขา
เราจะส่งเขี้ยวเล็บของสัตว์ป่ามาทำร้ายพวกเขา
ส่งพิษของงูร้ายซึ่งเลื้อยมาในผงคลี
25 ตามท้องถนนมีคมดาบปลิดชีวิตลูกหลานของพวกเขา
ภายในบ้านมีความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ชายหนุ่มและหญิงสาวจะพินาศ
ทั้งทารกและคนสูงอายุ
26 เราพูดแล้วว่าเราจะกระจายพวกเขาออกไป
และลบพวกเขาให้เลือนหายไปจากความทรงจำของมนุษยชาติ
27 แต่เราหวั่นคำถากถางของศัตรู
เกรงว่าปฏิปักษ์จะเข้าใจผิด
และพูดว่า ‘มือของเราพิชิตชัยชนะ
องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงทำอะไรเลย’ ”
28 พวกเขาเป็นชนชาติที่ไร้ความคิด
ขาดความฉลาดหลักแหลม
29 ถ้าเพียงแต่พวกเขาฉลาดและเข้าใจ
และมองออกว่าบั้นปลายของตนจะเป็นเช่นใด!
30 คนคนเดียวจะไล่คนเป็นพันได้อย่างไร?
หรือสองคนทำให้คนเป็นหมื่นหนีเตลิดได้อย่างไร?
ถ้าไม่ใช่เพราะพระศิลาของพวกเขาได้ขายพวกเขาเสียแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบพวกเขาไว้แล้ว
31 เพราะศิลาของชนชาติอื่นๆ ไม่เหมือนพระศิลาของเรา
แม้ศัตรูของเราก็ยอมรับเช่นนั้น
32 เทือกเถาของพวกเขามาจากเทือกเถาแห่งโสโดม
และจากท้องทุ่งแห่งโกโมราห์
ผลองุ่นของพวกเขาเต็มไปด้วยยาพิษ
พวงองุ่นของพวกเขามีแต่ความขมขื่น
33 เหล้าองุ่นของพวกเขาคือพิษงูร้าย
เป็นพิษร้ายของงูเห่า
34 “เราเก็บงำเรื่องนี้
และประทับตราเก็บไว้ในคลังของเราไม่ใช่หรือ?
35 การแก้แค้นเป็นหน้าที่ของเราเอง เราจะคืนสนอง
เมื่อถึงเวลาเท้าของพวกเขาจะลื่นไถล
วันแห่งหายนะของพวกเขาใกล้เข้ามาแล้ว
และความย่อยยับจะถาโถมเข้าใส่พวกเขา”
36 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์
และทรงสงสารเอ็นดูผู้รับใช้ของพระองค์
เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพละกำลังของพวกเขาเสื่อมลง
และไม่มีใครหลงเหลืออยู่ ไม่ว่าทาสหรือไท
37 พระองค์จะตรัสว่า “พระทั้งหลายของพวกเขาไปไหนเสียเล่า
ศิลาที่พวกเขาลี้ภัยไปไหนเสียแล้ว
38 ไหนล่ะพระที่กินไขมันของเครื่องบูชา
และดื่มเหล้าองุ่นของเครื่องดื่มบูชาของพวกเขา?
ให้พระเหล่านั้นลุกขึ้นมาช่วยพวกเจ้าสิ!
ให้พระเหล่านั้นมาให้ที่พักพิงแก่พวกเจ้าสิ!
39 “จงดูเถิด เราเองนี่แหละคือผู้นั้น!
ไม่มีพระอื่นใดนอกจากเรา
เราทำให้ตายและเราให้ชีวิต
เราทำให้บาดเจ็บและเราจะรักษาให้หาย
และไม่มีผู้ใดช่วยให้พ้นมือของเราไปได้
40 เราชูมือขึ้นฟ้าและประกาศว่า
เราดำรงอยู่นิรันดร์ฉันใด
41 เมื่อเราลับดาบอันวาววับของเรา
และเมื่อเรากุมการพิพากษาไว้ในมือ
เราจะแก้แค้นศัตรูของเรา
และตอบแทนผู้ที่เกลียดชังเราฉันนั้น
42 เราจะทำให้ลูกศรของเราดื่มเลือดจนเมามาย
ส่วนดาบของเราจะกินเนื้อ
คือเลือดเนื้อของผู้ถูกสังหารและเชลย
ศีรษะของบรรดาผู้นำของศัตรู”
43 ประชาชาติทั้งหลายเอ๋ย จงชื่นชมยินดีร่วมกับประชากรของพระองค์เถิด[e][f]
เพราะพระองค์จะทรงแก้แค้นให้แก่โลหิตของผู้รับใช้ของพระองค์
พระองค์จะล้างแค้นศัตรูของพระองค์
และลบมลทินบาปให้แก่ดินแดนและประชากรของพระองค์
44 โมเสสมากับโยชูวา[g]บุตรนูน กล่าวเนื้อเพลงทั้งบทนี้ให้ประชาชนฟัง 45 เมื่อโมเสสท่องข้อความให้อิสราเอลทั้งปวงฟังจบแล้ว 46 ก็กล่าวแก่พวกเขาว่า “จงจำใส่ใจทุกถ้อยคำที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่านอย่างหนักแน่นในวันนี้ เพื่อท่านจะกำชับบุตรหลานให้ใส่ใจปฏิบัติตามทุกถ้อยคำในบทบัญญัตินี้ 47 บทบัญญัตินี้ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำที่พูดไปเปล่าๆ แต่เป็นชีวิตของท่าน โดยบทบัญญัตินี้ท่านจะมีชีวิตอยู่ยาวนานในดินแดนซึ่งท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปครอบครอง”
โมเสสจะสิ้นชีวิตบนภูเขาเนโบ
48 ในวันเดียวกันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 49 “จงขึ้นไปบนภูเขาเนโบในเทือกเขาอาบาริม ในโมอับตรงข้ามเมืองเยรีโค และมองดูคานาอัน ดินแดนซึ่งเรายกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ชนอิสราเอล 50 บนภูเขาที่เจ้าขึ้นไปนั้น เจ้าจะตายไปอยู่ร่วมกับญาติพี่น้องของเจ้า เช่นเดียวกับอาโรนพี่ชายของเจ้าซึ่งตายที่ภูเขาโฮร์และถูกรวบไปอยู่กับญาติพี่น้องของเขา 51 เพราะเจ้าทั้งสองไม่ได้ให้เกียรติเราต่อหน้าชนอิสราเอลที่สายน้ำแห่งเมรีบาห์คาเดชในถิ่นกันดารศิน และไม่ได้เชิดชูความบริสุทธิ์ของเราในหมู่ชนอิสราเอล 52 ฉะนั้นเจ้าจะเห็นดินแดนนั้นแต่ไกล เจ้าจะไม่ได้เข้าไปในดินแดนซึ่งเราจะยกให้ประชากรอิสราเอล”
อายิน
121 ข้าพระองค์ทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม
ขออย่าทรงทิ้งข้าพระองค์ไว้กับผู้กดขี่ข่มเหง
122 ขอทรงค้ำประกันความผาสุกร่มเย็นแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยเถิด
อย่าให้คนเย่อหยิ่งข่มเหงข้าพระองค์ได้
123 ดวงตาของข้าพระองค์อ่อนล้าเพราะรอคอยความรอดจากพระองค์
ใฝ่หาคำมั่นสัญญาอันชอบธรรมของพระองค์
124 ขอทรงปฏิบัติต่อผู้รับใช้ตามความรักมั่นคงของพระองค์
และสอนกฎหมายของพระองค์แก่ข้าพระองค์
125 ข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ขอโปรดประทานความฉลาดหลักแหลม
เพื่อข้าพระองค์จะได้เข้าใจกฎเกณฑ์ของพระองค์
126 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจัดการ
เพราะบทบัญญัติของพระองค์ถูกละเมิดฝ่าฝืน
127 เพราะว่าข้าพระองค์รักพระบัญชาของพระองค์
ยิ่งกว่าทองคำ ยิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์
128 และเพราะข้าพระองค์เห็นว่าข้อบังคับของพระองค์ล้วนแต่ถูกต้อง
ข้าพระองค์จึงเกลียดทางที่ผิดทุกทาง
เพ
129 กฎเกณฑ์ของพระองค์ล้ำเลิศ
ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเชื่อฟัง
130 การเปิดเผยพระวจนะของพระองค์ให้ความสว่าง
ทำให้คนรู้น้อยมีความเข้าใจ
131 ข้าพระองค์อ้าปากหอบ
โหยหาพระบัญชาของพระองค์
132 ขอทรงหันมาเมตตาข้าพระองค์
ดังที่ทรงกระทำเสมอมาต่อบรรดาผู้ที่รักพระนามของพระองค์
133 ขอทรงนำย่างก้าวของข้าพระองค์ไปตามพระวจนะของพระองค์
ขออย่าให้บาปใดๆ ครอบงำข้าพระองค์
134 ขอทรงไถ่ข้าพระองค์จากการกดขี่ข่มเหงของมนุษย์
เพื่อข้าพระองค์จะได้เชื่อฟังข้อบังคับของพระองค์
135 ขอทรงให้พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงอยู่เหนือผู้รับใช้ของพระองค์
และสอนกฎหมายของพระองค์แก่ข้าพระองค์
136 น้ำตาของข้าพระองค์ไหลรินเป็นสาย
เพราะผู้คนไม่เชื่อฟังบทบัญญัติของพระองค์
สาเดห์
137 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงชอบธรรม
และบทบัญญัติของพระองค์ถูกต้อง
138 กฎเกณฑ์ที่ทรงวางไว้นั้นชอบธรรม
น่าเชื่อถือยิ่งนัก
139 จิตใจของข้าพระองค์ร้อนรุ่มนัก
เพราะศัตรูไม่แยแสพระวจนะของพระองค์
140 พระสัญญาของพระองค์ผ่านการพิสูจน์มาอย่างถี่ถ้วน
และผู้รับใช้ของพระองค์รักพระสัญญานั้น
141 แม้ข้าพระองค์ต่ำต้อยและถูกดูแคลน
ข้าพระองค์ก็ไม่ลืมข้อบังคับของพระองค์
142 ความชอบธรรมของพระองค์ดำรงนิรันดร์
และบทบัญญัติของพระองค์เป็นความจริง
143 แม้ความทุกข์และความโศกเศร้าถาโถมเข้าใส่ข้าพระองค์
แต่พระบัญชาของพระองค์ทำให้ข้าพระองค์ปีติยินดี
144 กฎเกณฑ์ของพระองค์ถูกต้องเสมอ
ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์เข้าใจเพื่อข้าพระองค์จะมีชีวิตอยู่
บาป การสารภาพ และการไถ่
59 แน่ทีเดียว พระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สั้นเกินกว่าจะช่วยให้รอด
ทั้งพระกรรณของพระองค์ก็ไม่ได้ตึงเกินกว่าจะได้ยิน
2 แต่ความชั่วช้าของเจ้าต่างหาก
ที่ได้แยกเจ้าออกจากพระเจ้าของเจ้า
บาปของเจ้าทำให้พระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์จากเจ้า
พระองค์จึงไม่สดับฟัง
3 มือของเจ้าเกรอะกรังไปด้วยเลือด
นิ้วของเจ้าเปรอะเปื้อนความผิด
ริมฝีปากของเจ้าพูดโกหก
ลิ้นของเจ้าพึมพำสิ่งชั่วร้าย
4 ไม่มีใครเรียกร้องให้มีความยุติธรรม
ไม่มีใครดำเนินคดีด้วยความสัตย์สุจริต
พวกเขาวางใจในการโต้แย้งอันไร้สาระและพูดโกหก
ก่อความเดือดร้อนและให้กำเนิดความชั่วร้าย
5 เขาฟักไข่งูพิษ
และทอใยแมงมุม
ใครกินไข่ของเขาก็จะตาย
และเมื่อไข่ฟองไหนแตก งูพิษก็เลื้อยออกมา
6 ใยแมงมุมที่พวกเขาทอขึ้นมาก็ใช้ประโยชน์เป็นเสื้อผ้าไม่ได้
เขาไม่สามารถปกคลุมตัวเองด้วยสิ่งที่ตนทำขึ้น
การกระทำของเขาชั่วร้าย
มือของเขาพร้อมที่จะก่อความรุนแรง
7 เท้าของเขาถลันเข้าหาบาป
และพวกเขารีบเร่งจะเอาชีวิตผู้บริสุทธิ์
ความคิดคำนึงของเขาล้วนแล้วแต่ชั่ว
วิถีทางของเขามีการทำลายล้างผลาญ
8 เขาไม่รู้จักทางแห่งสันติภาพ
ไม่มีความยุติธรรมในหนทางของเขา
เขาผันแปรมันให้เป็นถนนที่คดเคี้ยว
ไม่มีใครที่ดำเนินในทางนั้นจะรู้จักสันติสุข
9 ฉะนั้นความยุติธรรมจึงห่างไกลจากพวกเรา
และความชอบธรรมไม่ได้มาถึงเรา
เรามองหาความสว่าง ก็พบแต่ความมืดมน
เรามองหาความสดใส แต่เราก็เดินอยู่ในเงามืดมิด
10 เราคลำสะเปะสะปะไปตามกำแพงเหมือนคนตาบอด
คลำหาทางเหมือนคนไม่มีตา
กลางวันแสกๆ เราก็ล้มลุกคลุกคลานเหมือนยามสนธยา
เราจึงเป็นเหมือนคนตายในหมู่คนเข้มแข็ง
11 เราทุกคนครางเหมือนหมี
โอดครวญเสียงเศร้าสร้อยเหมือนนกพิราบ
เรามองหาความยุติธรรมแต่ไม่พบเลย
มองหาการช่วยกู้แต่ก็อยู่ไกลลิบ
12 เพราะการละเมิดของเรามากมายนักในสายพระเนตรของพระองค์
บาปทั้งหลายของเราฟ้องร้องเรา
การละเมิดของเราอยู่กับเราเสมอ
และเรายอมรับความชั่วช้าของเรา
13 เรากบฏทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
หันหลังให้พระเจ้าของเรา
เราก่อการกดขี่ข่มเหงและการกบฏ
กล่าวคำโกหกซึ่งเราคิดไว้ในใจ
14 ดังนั้นความยุติธรรมจึงถดถอย
ความชอบธรรมหลีกห่าง
ความจริงสะดุดกลางถนน
ความซื่อสัตย์ไม่อาจเข้ามาได้
15 หาความจริงไม่พบเลยไม่ว่าที่ไหน
ผู้ที่หลีกหนีจากความชั่วกลับตกเป็นเหยื่อ
องค์พระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรแล้วก็ไม่พอพระทัย
เนื่องจากไม่มีความยุติธรรมเลย
16 พระองค์ทรงเห็นว่าไม่มีใครเลย
และตกพระทัยที่ไม่มีใครก้าวเข้ามาช่วย
ดังนั้นพระกรของพระองค์เองจึงนำความรอดมา
และความชอบธรรมของพระองค์ก็ค้ำจุนพระองค์ไว้
17 พระองค์ทรงสวมความชอบธรรมเป็นเสื้อเกราะ
และทรงสวมหมวกเหล็กแห่งความรอดไว้บนพระเศียร
ทรงฉลองพระองค์ด้วยเสื้อคลุมแห่งการแก้แค้น
และทรงห่มความกระตือรือร้นเหมือนห่มเสื้อคลุม
18 พระองค์จะทรงตอบแทนศัตรูทั้งหลายของพระองค์ด้วยพระพิโรธ
และจะทรงแก้แค้นบรรดาปฏิปักษ์ของพระองค์ให้สาสมกับการกระทำของพวกเขา
พระองค์จะทรงตอบแทนเกาะแก่งต่างๆ ตามที่มันสมควรจะได้รับ
19 ผู้คนจากตะวันตกจะยำเกรงพระนามของพระยาห์เวห์
และจากที่พระอาทิตย์ขึ้น พวกเขาจะยกย่องพระเกียรติสิริของพระองค์
เพราะพระองค์จะเสด็จมาเหมือนกระแสน้ำเชี่ยว
ซึ่งขับเคลื่อนด้วยลมปราณขององค์พระผู้เป็นเจ้า[a]
20 “พระผู้ไถ่จะเสด็จมายังศิโยน
มายังคนในวงศ์วานยาโคบที่กลับใจจากบาปของพวกเขา”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
21 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ส่วนเรา นี่เป็นพันธสัญญาของเรากับพวกเขา จิตวิญญาณของเราซึ่งอยู่กับเจ้าและถ้อยคำของเราซึ่งเราใส่ไว้ในปากของเจ้าจะไม่พรากไปจากปากของเจ้า หรือจากปากลูกๆ ของเจ้า หรือจากปากลูกหลานของพวกเขานับแต่บัดนี้จวบจนนิรันดร์” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น
ตัดสินผู้อื่น(A)
7 “อย่าตัดสิน มิฉะนั้นท่านเองจะถูกตัดสินด้วย 2 เพราะท่านตัดสินผู้อื่นอย่างไร ท่านจะถูกตัดสินอย่างนั้น ท่านตวงให้ไปด้วยทะนานอันใด ท่านก็จะได้รับเท่ากับทะนานอันนั้น
3 “เหตุใดท่านมองดูผงขี้เลื่อยในตาของพี่น้อง แต่ไม่ใส่ใจกับไม้ทั้งท่อนในตาของท่านเอง? 4 ท่านพูดกับพี่น้องได้อย่างไรว่า ‘ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของท่านเถิด’ ในเมื่อตลอดเวลานั้นท่านเองมีไม้ทั้งท่อนอยู่ในตา? 5 เจ้าคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาเจ้าเองก่อน แล้วเจ้าจะเห็นชัดเพื่อจะเขี่ยผงออกจากตาของพี่น้องได้
6 “อย่าให้ของบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้สุกร มิฉะนั้นมันจะเหยียบย่ำไว้ใต้เท้า แล้วหันมาฉีกท่านเป็นชิ้นๆ
จงขอ จงหา จงเคาะ(B)
7 “จงขอแล้วท่านจะได้รับ จงหาแล้วท่านจะพบ จงเคาะแล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน 8 เพราะทุกคนที่ขอก็ได้รับ คนที่แสวงหาก็พบ และคนที่เคาะ ประตูก็จะเปิดให้แก่เขา
9 “ใครบ้างในพวกท่านถ้าบุตรขอขนมปังจะให้ก้อนหิน? 10 หรือถ้าบุตรขอปลาจะให้งูแก่เขา? 11 ถ้าแม้ท่านเองซึ่งเป็นคนชั่วยังรู้จักให้สิ่งดีๆ แก่บุตรของท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์จะประทานสิ่งดีแก่บรรดาผู้ที่ทูลขอต่อพระองค์ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด! 12 ฉะนั้นในทุกสิ่งจงทำต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านอยากให้เขาทำต่อท่าน เพราะนี่สรุปสาระของหนังสือบทบัญญัติและหนังสือผู้เผยพระวจนะ
ประตูแคบและประตูกว้าง
13 “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะประตูใหญ่และทางกว้างนำไปสู่ความพินาศและคนเป็นอันมากเข้าไปทางนั้น 14 ส่วนประตูเล็กและทางแคบนำไปสู่ชีวิตและมีเพียงไม่กี่คนที่ค้นพบ
ต้นไม้และผลของมัน
15 “จงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ เขามาหาพวกท่านในคราบแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย 16 ท่านจะรู้จักเขาโดยผลของเขา กอหนามจะออกผลเป็นองุ่นและพุ่มหนามจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ? 17 ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้ที่ดีทุกต้นย่อมให้ผลที่ดี ส่วนต้นไม้เลวย่อมให้ผลที่เลว 18 ต้นไม้ดีไม่อาจให้ผลเลวและต้นไม้เลวไม่อาจให้ผลดี 19 ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่ให้ผลดีก็ถูกโค่นและโยนลงในไฟ 20 ฉะนั้นท่านจะรู้จักเขาได้จากผลของเขา
21 “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้นที่จะได้เข้า 22 หลายคนจะพูดกับเราในวันนั้นว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ ขับผีในพระนามของพระองค์ และทำการอัศจรรย์มากมายมิใช่หรือ?’ 23 เมื่อนั้นเราจะบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว จงไปให้พ้น!’
คนโง่และคนฉลาด(C)
24 “ฉะนั้นทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและนำไปปฏิบัติก็เป็นเหมือนคนฉลาดที่สร้างบ้านของตนบนศิลา 25 ถึงฝนตก กระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ำบ้านนั้นแต่บ้านก็ไม่ได้พังลงเพราะมีฐานรากอยู่บนศิลา 26 ส่วนผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราแต่ไม่ได้นำไปปฏิบัติก็เป็นเหมือนคนโง่ที่สร้างบ้านของตนบนทราย 27 เมื่อฝนตก กระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ำบ้านนั้นบ้านก็พังทลายลง”
28 เมื่อพระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้จบแล้ว ฝูงชนก็พากันเลื่อมใสในคำสอนของพระองค์ 29 เพราะพระองค์ทรงสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอำนาจต่างจากพวกธรรมาจารย์ของพวกเขา
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.