Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
2 พงศาวดาร 18

เยโฮชาฟัทเป็นพันธมิตรกับอาหับ

18 เยโฮชาฟัทมีทรัพย์สมบัติและเกียรติยศมาก และท่านเป็นพันธมิตรกับอาหับโดยการสมรส หลายปีต่อมา ท่านลงไปเยี่ยมเยียนอาหับที่สะมาเรีย อาหับก็ให้ฆ่าแกะและโคมากมายเพื่อเลี้ยงรับรองท่านและผู้ติดตาม แล้วก็ชักชวนท่านให้ขึ้นไปโจมตีราโมทกิเลอาด อาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลพูดกับเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า “ท่านจะไปราโมทกิเลอาดด้วยกันกับเราไหม” ท่านตอบว่า “เราพร้อมจะไปอย่างแน่นอน ทหารของเราก็เป็นเหมือนทหารของท่าน เราจะไปรบด้วยกันกับท่าน”

และเยโฮชาฟัทพูดกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “ขอให้ท่านถามพระผู้เป็นเจ้าก่อน” กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเรียกประชุมบรรดาผู้เผยคำกล่าว 400 คน และถามว่า “พวกเราควรจะไปโจมตีราโมทกิเลอาด หรือว่าเราควรจะยั้งไว้ก่อน” เขาทั้งหลายตอบว่า “ขึ้นไปเถิด เพราะว่าพระเจ้าจะมอบเมืองนั้นไว้ในมือของกษัตริย์” แต่เยโฮชาฟัทถามว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าที่พวกเราจะถามได้อีกหรือ” กษัตริย์แห่งอิสราเอลพูดกับเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีอีกคนที่พวกเราจะถามพระผู้เป็นเจ้าผ่านเขาได้ มิคายาห์บุตรของอิมลาห์ แต่เราเกลียดชังเขา เพราะเขาไม่เคยเผยความเกี่ยวกับเราในเรื่องดี มีแต่เรื่องร้าย” และเยโฮชาฟัทพูดว่า “ขอท่านอย่าพูดเช่นนั้นเลย” แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็เรียกขันทีคนหนึ่งมา และสั่งว่า “พามิคายาห์บุตรของอิมลาห์มาโดยด่วน” กษัตริย์แห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ก็กำลังนั่งบนบัลลังก์ ทรงเครื่องด้วยเสื้อคลุมของกษัตริย์ อยู่ที่ลานนวดข้าว ที่ทางเข้าของประตูเมืองสะมาเรีย และบรรดาผู้เผยคำกล่าวก็กำลังเผยความต่อหน้าท่านทั้งสอง 10 เศเดคียาห์บุตรเค-นาอะนาห์ ได้ทำเขาสัตว์ด้วยเหล็กกล้าคู่หนึ่ง เขาพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘เจ้าจะโจมตีชาวอารัมจนกระทั่งพวกเขาพินาศไปด้วยเขาสัตว์นี้’” 11 และบรรดาผู้เผยคำกล่าวเห็นด้วย และพูดว่า “จงขึ้นไปโจมตีราโมทกิเลอาด และท่านจะชนะ พระผู้เป็นเจ้าจะมอบเมืองนั้นไว้ในมือของกษัตริย์”

12 ผู้ถือสาสน์เป็นคนที่ไปเรียกมิคายาห์ให้มา และบอกเขาว่า “ดูเถิด บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าพูดกันเป็นเสียงเดียวถึงเรื่องของกษัตริย์ในทางที่ดีงาม” 13 แต่มิคายาห์พูดว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด พระเจ้าบอกข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าก็จะพูดไปตามนั้น” 14 เมื่อเขามาเข้าเฝ้ากษัตริย์ กษัตริย์กล่าวกับเขาว่า “มิคายาห์ พวกเราควรจะไปโจมตีราโมทกิเลอาด หรือว่าเราควรจะยั้งไว้ก่อน” เขาตอบกษัตริย์ว่า “ขึ้นไปเถิด และท่านจะชนะ พวกเขาจะถูกมอบไว้ในมือของท่าน” 15 แต่กษัตริย์กล่าวกับเขาว่า “เราควรจะให้ท่านสาบานกี่ครั้งว่า ท่านพูดแต่ความจริงกับเราในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า 16 มิคายาห์จึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นทหารอิสราเอลทั้งปวงกระจัดกระจายอยู่บนภูเขา ประหนึ่งฝูงแกะที่ปราศจากผู้เลี้ยงดู และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘คนเหล่านี้ขาดเจ้านาย ปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านไปด้วยความปลอดภัยเถิด’” 17 และกษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวกับเยโฮชาฟัทว่า “เราบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่า เขาจะไม่ประกาศสิ่งดีใดๆ ที่พระเจ้าเปิดเผยให้ทราบ มีแต่เรื่องร้าย” 18 มิคายาห์กล่าวว่า “ฉะนั้นจงฟังคำของพระผู้เป็นเจ้าเถิด ข้าพเจ้าเห็นพระผู้เป็นเจ้าสถิตบนบัลลังก์ของพระองค์ และบรรดาชาวสวรรค์กำลังยืนอยู่ที่เบื้องขวาและเบื้องซ้าย 19 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘ใครจะหลอกล่ออาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลให้ไปยังราโมทกิเลอาด เขาจะได้จบชีวิตลงที่นั่น’ ทูตสวรรค์องค์หนึ่งพูดอย่างหนึ่ง และทูตสวรรค์อีกองค์ก็พูดอีกอย่าง 20 ครั้นแล้ว วิญญาณดวงหนึ่งก็มายืน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปหลอกล่ออาหับเอง’ และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับวิญญาณว่า ‘ด้วยวิธีไหน’ 21 วิญญาณตอบว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปทำให้บรรดาผู้เผยคำกล่าวของอาหับพูดเท็จ’ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘เจ้าจะไปหลอกล่อเขาได้สำเร็จ ไปทำตามนั้นเถิด’ 22 ดังนั้น ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าได้ทำให้บรรดาผู้เผยคำกล่าวของท่านพูดเท็จ เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าบอกล่วงหน้าว่าสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นกับท่าน”

23 แล้วเศเดคียาห์บุตรของเค-นาอะนาห์เข้ามาใกล้ และตบหน้ามิคายาห์ และพูดว่า “พระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าจากเราไป และไปพูดกับเจ้าได้อย่างไร” 24 มิคายาห์พูดว่า “ดูเถิด ท่านจะเห็นในวันนั้น เวลาที่ท่านเข้าไปซ่อนตัวในห้องชั้นใน” 25 กษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวว่า “จงจับตัวมิคายาห์ไว้ และพาตัวกลับไปให้อาโมน ผู้ว่าราชการเมือง และโยอาชบุตรของกษัตริย์ 26 และบอกว่า ‘กษัตริย์กล่าวดังนี้ “จำคุกชายคนนี้เสีย และประทังชีวิตเขาด้วยขนมปังและน้ำเท่านั้น จนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย”’” 27 และมิคายาห์พูดว่า “ถ้าท่านกลับมาอย่างปลอดภัย พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ได้กล่าวผ่านข้าพเจ้า” และพูดต่ออีกว่า “ขอให้ท่านทุกคนฟังไว้เถิด”

อาหับถูกฆ่าในสนามรบ

28 ดังนั้น กษัตริย์แห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ก็ไปโจมตีเมืองราโมทกิเลอาด 29 กษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวกับเยโฮชาฟัทว่า “เราจะปลอมตัวเข้าไปในสนามรบ ส่วนท่านก็สวมเสื้อคลุมของกษัตริย์ไป” ดังนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงปลอมตัวเข้าไปในสนามรบ 30 ฝ่ายกษัตริย์แห่งอารัมได้สั่งผู้บัญชาการรถศึกว่า “ไม่ต้องต่อสู้กับผู้ใดเลย นอกจากกษัตริย์แห่งอิสราเอลเท่านั้น” 31 เมื่อบรรดาผู้บัญชาการรถศึกเห็นเยโฮชาฟัท ก็พูดว่า “นั่นเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล” ดังนั้นพวกเขาจึงหันไปโจมตีท่าน แต่เยโฮชาฟัทก็ส่งเสียงร้อง และพระผู้เป็นเจ้าก็ช่วยท่าน 32 ครั้นผู้บัญชาการรถศึกทราบว่า ท่านไม่ใช่กษัตริย์แห่งอิสราเอล จึงได้ถอยกลับ และหยุดตามไล่ฆ่าท่าน 33 แต่ชายผู้หนึ่งสุ่มยิงธนูออกไป ลูกธนูเจาะระหว่างเกราะป้องกันตัวกับเกราะหุ้มหน้าอกกษัตริย์แห่งอิสราเอล ดังนั้นท่านสั่งสารถีว่า “หันกลับไป พาเราออกจากสนามรบ เพราะเราบาดเจ็บ” 34 การสู้รบในวันนั้นก็ดำเนินต่อไป และกษัตริย์แห่งอิสราเอลถูกพยุงตัวขึ้นในรถศึกโดยหันหน้าไปทางชาวอารัมจนถึงเวลาเย็น ท่านสิ้นชีวิตตอนตะวันตกดิน

วิวรณ์ 7

144,000 คน

หลังจากนั้นข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์ 4 องค์ยืนอยู่ที่ 4 มุมของแผ่นดินโลกห้ามลมทั้ง 4 ทิศของแผ่นดินโลกไว้ ไม่ให้พัดบนแผ่นดิน บนทะเล หรือบนต้นไม้ใดๆ แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งปรากฏองค์ขึ้นจากทางทิศตะวันออก พร้อมทั้งมีเครื่องสำหรับประทับตราของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ แล้วท่านก็ร้องด้วยเสียงอันดังต่อทูตสวรรค์ทั้งสี่ ซึ่งได้รับมอบอำนาจให้ทำอันตรายแก่แผ่นดินโลกและทะเล พลางพูดว่า “อย่าทำอันตรายแผ่นดินโลก ทะเล หรือต้นไม้ จนกว่าเราจะได้ประทับตราที่หน้าผากของผู้รับใช้ทั้งหลายของพระเจ้าของเราเสียก่อน” และข้าพเจ้าได้ยินจำนวนคนของบรรดาผู้ที่ได้รับการประทับตราคือ 144,000 คน ที่มาจากทุกเผ่าของชนชาติอิสราเอล

ผู้ที่ได้รับการประทับตรามาจากเผ่ายูดาห์ 12,000 คน

จากเผ่ารูเบน 12,000 คน

จากเผ่ากาด 12,000 คน

จากเผ่าอาเชอร์ 12,000 คน

จากเผ่านัฟทาลี 12,000 คน

จากเผ่ามนัสเสห์ 12,000 คน

จากเผ่าสิเมโอน 12,000 คน

จากเผ่าเลวี 12,000 คน

จากเผ่าอิสสาคาร์ 12,000 คน

จากเผ่าเศบูลุน 12,000 คน

จากเผ่าโยเซฟ 12,000 คน

จากเผ่าเบนยามิน 12,000 คน

คนจำนวนมากสวมเสื้อคลุมสีขาว

หลังจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นผู้คนเป็นจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน พวกเขามาจากทุกประเทศ ทุกเผ่า ทุกชนชาติ และทุกภาษา กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์และเบื้องหน้าลูกแกะ พวกเขาสวมเสื้อคลุมสีขาว มือถือกิ่งอินทผลัม 10 และเขาทั้งหลายร้องด้วยเสียงอันดังว่า “ความรอดพ้นมาจากพระเจ้าของเราผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์ และมาจากลูกแกะ” 11 ทูตสวรรค์ทั้งปวงยืนอยู่รอบบัลลังก์ รอบบรรดาผู้ใหญ่และสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ ต่างก็ก้มหน้าหมอบลงที่หน้าบัลลังก์ และนมัสการพระเจ้า 12 พลางพูดว่า “อาเมน คำสรรเสริญและพระบารมี พระปัญญา และคำขอบคุณ พระเกียรติ อานุภาพ และพลานุภาพ จงมีแด่พระเจ้าของเราชั่วนิรันดร์กาลเถิด อาเมน”

13 ครั้นแล้วท่านหนึ่งในบรรดาผู้ใหญ่ถามข้าพเจ้าว่า “พวกที่สวมเสื้อคลุมสีขาวเหล่านี้เป็นใคร และมาจากไหน” 14 ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “นายท่าน ท่านก็ทราบอยู่แล้ว” และท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า “เขาเหล่านี้เป็นคนที่รอดจากความทุกข์ยากลำบากอันใหญ่หลวง และได้ชำระล้างเสื้อคลุมของเขาด้วยโลหิตของลูกแกะจนขาวสะอาด

15 ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า
    และรับใช้พระองค์ตลอดทั้งวันทั้งคืนในพระวิหารของพระองค์
และองค์ที่นั่งบนบัลลังก์
    จะปกป้องดูแลเขาให้อยู่ในกระโจมของพระองค์
16 พวกเขาจะไม่มีวันหิวอีก
    และจะไม่มีวันกระหายอีกเลย
แสงแดดและความร้อนจะไม่เผาตัวเขา
17 เพราะว่าลูกแกะที่อยู่กลางบัลลังก์
    จะดูแลพวกเขาดังเช่นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ
พระองค์จะนำเขาไปถึงน้ำพุแห่งชีวิต
    และพระเจ้าจะเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขา”

เศคาริยาห์ 3

ภาพนิมิตโยชูวาหัวหน้ามหาปุโรหิต

และพระองค์ให้ข้าพเจ้าเห็นโยชูวาหัวหน้ามหาปุโรหิต[a] ซึ่งยืนอยู่ที่เบื้องหน้าทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า และซาตานยืนที่เบื้องขวาเขาเพื่อจะกล่าวหาเขา พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซาตานว่า “พระผู้เป็นเจ้าห้ามเจ้า[b] โอ ซาตานเอ๋ย พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่ได้เลือกเยรูซาเล็มห้ามเจ้า นี่คือท่อนไม้ที่ลุกเป็นไฟและถูกดึงออกจากกองไฟมิใช่หรือ” โยชูวาสวมเสื้อผ้าสกปรกและกำลังยืนอยู่ที่เบื้องหน้าทูตสวรรค์ และทูตสวรรค์พูดกับบรรดาผู้ยืนอยู่ที่เบื้องหน้าท่านว่า “จงถอดเสื้อผ้าสกปรกของเขาออก” และท่านพูดกับเขาว่า “ดูเถิด เราได้เอาบาปของเจ้าไปจากเจ้าแล้ว และเราจะให้เจ้าได้ใส่เสื้อผ้าอันบริสุทธิ์” และข้าพเจ้าพูดว่า “ให้พวกเขาโพกศีรษะเขาด้วยผ้าที่สะอาดเถิด” ดังนั้น พวกเขาก็โพกศีรษะให้ และสวมเสื้อผ้าให้เขา และทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ยืนอยู่ที่นั่น

แล้วทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าสั่งโยชูวาว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “ถ้าเจ้าจะดำเนินตามวิถีทางของเรา และทำตามคำสั่งของเรา เจ้าก็จะจัดการในเรื่องตำหนักของเรา และดูแลลานตำหนักของเรา และเราจะให้เจ้ามีสิทธิเข้านอกออกในเช่นเดียวกับบรรดาผู้ที่ยืนอยู่ที่นี่ โอ โยชูวาหัวหน้ามหาปุโรหิตเอ๋ย ทั้งตัวเจ้าและบรรดาเพื่อนๆ ของเจ้าที่นั่งอยู่ตรงหน้าเจ้าจงฟังเถิด ด้วยว่า พวกเขาเป็นผู้ชายซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ดูเถิด เราจะนำผู้รับใช้ของเรามาคืออังกูร[c] ดูเถิด บนหินที่เราได้ตั้งไว้ตรงหน้าโยชูวา มีตา 7 ตาบนหิน 1 ก้อน” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ว่า “เราจะสลักคำจารึก และเราจะเอาบาปออกจากแผ่นดินนี้ภายในวันเดียว” 10 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ว่า “ในวันนั้น ทุกคนในพวกเจ้าจะเชิญเพื่อนบ้านของเขามาที่ใต้ร่มเถาองุ่นและใต้ร่มต้นมะเดื่อของเขา”

ยอห์น 6

มหาชนกับขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัว

หลังจากนั้นพระเยซูได้เดินทางไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบกาลิลี ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าทะเลสาบทิเบเรียส ผู้คนจำนวนมากติดตามพระองค์ไป เพราะพวกเขาได้เห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ซึ่งพระองค์กระทำต่อบรรดาคนป่วย แล้วพระเยซูขึ้นไปนั่งบนภูเขากับบรรดาสาวกของพระองค์ ในเวลานั้นใกล้ถึงเทศกาลปัสกาของชาวยิวแล้ว เมื่อพระเยซูเงยหน้าขึ้นก็พบว่าผู้คนจำนวนมากได้พากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงกล่าวกับฟีลิปว่า “เราจะซื้ออาหารที่ไหนให้คนเหล่านี้รับประทานได้” คำถามนี้พระองค์ได้ถามเพื่อเป็นการลองใจเขาดู เพราะจริงๆ แล้วพระองค์ทราบแล้วว่าจะทำอย่างไร ฟีลิปตอบพระองค์ว่า “200 เหรียญเดนาริอัน[a]ก็ไม่พอซื้ออาหารให้ทุกคนรับประทานคนละเล็กละน้อยได้” อันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งได้พูดกับพระองค์ว่า “เด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปังลูกเดือย 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว เพียงเท่านั้นจะพอสำหรับคนมากอย่างนี้หรือ” 10 พระเยซูกล่าวว่า “ให้ทุกคนนั่งลง” 5,000 คนก็นั่งบนบริเวณที่มีหญ้าซึ่งกว้างขวางเพียงพอ 11 พระเยซูหยิบขนมปัง และเมื่อขอบคุณพระเจ้าแล้ว พระองค์ก็แจกขนมปังและปลาแก่คนที่นั่งลง ได้มากพอตามที่ต้องการกัน 12 เมื่อคนรับประทานกันจนอิ่มแล้ว พระองค์จึงกล่าวกับบรรดาสาวกว่า “จงรวบรวมอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้เสียของ” 13 พวกเขาจึงรวบรวมขนมปังใส่ในตะกร้าได้ 12 ใบเต็มๆ เป็นอาหารที่คนรับประทานเหลือจากขนมปังลูกเดือย 5 ก้อน 14 ฉะนั้นเมื่อผู้คนเห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ที่พระองค์ได้กระทำ จึงพูดว่า “นี่เป็นผู้เผยคำกล่าวที่แท้จริงของพระเจ้าซึ่งได้รับมอบหมายให้มาในโลก” 15 พระเยซูทราบว่า เขาเหล่านั้นตั้งใจที่จะใช้กำลังจับกุมพระองค์ไปเพื่อให้เป็นกษัตริย์ จึงได้ปลีกตัวออกไปยังภูเขาแต่เพียงลำพังอีก

พระเยซูเดินบนผิวน้ำในทะเลสาบ

16 ครั้นถึงเวลาเย็นพวกสาวกของพระองค์ก็เดินลงไปยังทะเลสาบ 17 แล้วลงเรือข้ามทะเลสาบไปยังเมืองคาเปอร์นาอุม จนมืดแล้วพระเยซูก็ยังไม่ได้กลับมาหาพวกเขา 18 ลมพายุได้ทำให้เกิดคลื่นลมแรงในทะเลสาบ 19 เมื่อพวกสาวกตีกรรเชียงไปได้ห้าหกกิโลเมตร ก็เห็นพระเยซูเดินบนผิวน้ำเข้าไปใกล้เรือ พวกเขาพากันตกใจกลัวยิ่งนัก 20 แต่พระองค์กล่าวกับเขาว่า “นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” 21 พวกเขาจะรับพระองค์ขึ้นเรือ แต่พริบตาเดียวเท่านั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขาจะไปกัน

22 วันรุ่งขึ้นฝูงชนที่ยังพักอยู่อีกฟากของทะเลสาบเห็นว่า ก่อนหน้านั้นมีเพียงเรือลำเดียวจอดอยู่ และพวกสาวกได้ใช้เรือลำนั้นออกกันไป พระเยซูไม่ได้ไปด้วย 23 หลังจากนั้นมีเรือจากเมืองทิเบเรียสลำอื่นๆ จอดอยู่ที่ฝั่งใกล้บริเวณที่พระเยซูเจ้าได้กล่าวขอบคุณพระเจ้าสำหรับขนมปังที่พวกเขาได้รับประทานกัน 24 เมื่อฝูงชนเห็นว่า พระเยซูและบรรดาสาวกไม่อยู่ที่นั่น พวกเขาจึงลงเรือกันไปตามหาพระเยซูที่เมืองคาเปอร์นาอุม

อาหารแห่งชีวิต

25 เมื่อพวกเขาพบพระองค์ที่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบ จึงพูดกับพระองค์ว่า “รับบี ท่านมาที่นี่เมื่อไร” 26 พระเยซูกล่าวตอบว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ที่ท่านตามหาเรามิใช่เพราะท่านเห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ แต่เป็นเพราะท่านได้รับประทานขนมปังจนอิ่ม 27 อย่าลงทุนลงแรงเพื่ออาหารที่เน่าเสียได้ แต่เพื่ออาหารที่จะดำรงถึงชีวิตอันเป็นนิรันดร์ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่พวกท่าน ด้วยว่าพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาได้ประทับตราแสดงถึงการยอมรับพระบุตรแล้ว” 28 เขาเหล่านั้นจึงพูดกับพระองค์ว่า “พวกเราควรจะทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติงานของพระเจ้าได้” 29 พระเยซูกล่าวตอบว่า “งานของพระเจ้าคือการเชื่อในผู้ที่พระเจ้าได้ส่งมา” 30 ดังนั้นเขาเหล่านั้นจึงพูดกับพระองค์ว่า “แล้วท่านจะแสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์อะไรให้เราดูได้บ้าง เราจะได้เชื่อท่าน ท่านจะทำอะไรได้บ้าง 31 บรรพบุรุษของเราได้กินมานา[b]ในถิ่นทุรกันดารตามที่มีบันทึกไว้ว่า ‘พระองค์ให้พวกเขากินอาหารจากสวรรค์’”[c] 32 พระเยซูจึงกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า โมเสสไม่ได้ให้อาหารจากสวรรค์แก่ท่าน แต่เป็นพระบิดาของเราที่ให้อาหารแท้จริงจากสวรรค์ 33 เพราะว่าอาหารของพระเจ้าคือผู้ที่ลงมาจากสวรรค์และมอบชีวิตให้แก่โลก” 34 ดังนั้นพวกเขาจึงพูดกับพระองค์ว่า “พระองค์ท่าน โปรดให้อาหารนี้แก่พวกเราเสมอไปเถิด”

35 พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “เราคืออาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่มีวันหิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่มีวันกระหาย 36 แต่เราขอบอกท่านว่า ท่านได้เห็นเราแล้ว และยังไม่เชื่อ 37 ทุกคนที่พระเจ้ามอบให้แก่เราจะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา เราจะไม่ขับไล่เขาออกไปเลย 38 เราได้ลงมาจากสวรรค์มิใช่เพื่อทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่ตามความประสงค์ของพระองค์ผู้ส่งเรามา 39 ความประสงค์ของพระองค์ผู้ส่งเรามาคือ เราไม่ควรให้ผู้ใดที่พระองค์ได้มอบให้แก่เราต้องหลงหายไปแม้เพียงคนเดียว แต่เราจะให้เขาฟื้นคืนชีวิตในวันสุดท้าย 40 ความประสงค์ของพระบิดาของเราคือ ทุกคนที่หันเข้าหาพระบุตร และเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ และเราเองจะให้ผู้นั้นฟื้นคืนชีวิตในวันสุดท้าย”

41 ชาวยิวจึงพากันบ่นพึมพำต่อกันเมื่อพระองค์กล่าวว่า “เราคืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์” 42 เขาเหล่านั้นพูดว่า “นี่เยซูบุตรของโยเซฟที่เรารู้จักทั้งบิดามารดาไม่ใช่หรือ แล้วขณะนี้พูดได้อย่างไรว่า ‘เราได้ลงมาจากสวรรค์’” 43 พระเยซูกล่าวตอบว่า “อย่ามัวแต่บ่นพึมพำกันอยู่ในหมู่ท่านเลย 44 ไม่มีผู้ใดที่มาหาเราได้นอกจากพระบิดาผู้ส่งเรามา เป็นผู้นำให้เขามาหาเรา และเราจะให้เขาฟื้นคืนชีวิตในวันสุดท้าย 45 มีบันทึกในหมวดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า ‘พระเจ้าจะสั่งสอนเขาทุกคน’[d] ทุกคนที่ได้ยินและเรียนรู้จากพระบิดาก็มาหาเรา 46 มิใช่ว่ามีใครเคยเห็นพระบิดา เว้นแต่ผู้ที่มาจากพระเจ้าเท่านั้นที่ได้เห็นพระบิดาแล้ว 47 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ผู้ที่เชื่อจึงมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ 48 เราคืออาหารแห่งชีวิต 49 บรรพบุรุษของท่านได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารและได้ตายไป 50 นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ คนที่กินก็จะไม่ตาย 51 เราคืออาหารที่มีชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ผู้ใดกินอาหารนี้ก็จะมีชีวิตอยู่ตลอดกาล และอาหารที่เราจะให้เพื่อชีวิตของโลกด้วยก็คือ เลือดเนื้อของเรา”

52 ในยามนี้ชาวยิวเริ่มโต้เถียงกันว่า “ชายผู้นี้สามารถให้เลือดเนื้อเรากินได้อย่างไร” 53 พระเยซูจึงกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อและดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่านเอง 54 ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราจะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ และเราจะให้ฟื้นคืนชีวิตในวันสุดท้าย 55 เพราะว่าเนื้อของเราคืออาหารแท้เช่นเดียวกับโลหิตของเราที่เป็นของดื่มแท้ 56 ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราก็ดำรงอยู่ในเรา และเราก็ดำรงอยู่ในผู้นั้น 57 พระบิดาผู้ดำรงชีวิตได้ส่งเรามา และเราดำรงชีวิตก็เพราะพระบิดา ดังนั้นผู้ที่กินเราจะมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะเรา 58 นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนอาหารที่บรรพบุรุษกินและตายไป ผู้ที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดกาล” 59 พระองค์กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ ขณะที่สั่งสอนในศาลาที่ประชุมที่เมืองคาเปอร์นาอุม

สาวกบางคนเลิกติดตามพระเยซู

60 เมื่อสาวกจำนวนมากของพระองค์ได้ยินจึงพูดว่า “ถ้อยคำเหล่านี้ยากที่จะเข้าใจ ใครจะยอมรับได้” 61 แต่พระเยซูทราบดีว่า พวกสาวกแอบบ่นพึมพำกันในเรื่องนี้อยู่ จึงกล่าวกับพวกเขาว่า “สิ่งนี้เป็นเหตุให้เจ้าต้องลำบากใจหรือ 62 ถ้าเจ้าเห็นบุตรมนุษย์ขึ้นไปยังที่ซึ่งท่านอยู่แต่ก่อน แล้วเจ้าจะว่าอย่างไร 63 พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิต ฝ่ายเนื้อหนังไม่ได้รับประโยชน์อันใด คำกล่าวที่เราได้บอกให้เจ้าฟังเป็นวิญญาณและชีวิต 64 แต่พวกเจ้าบางคนก็ไม่เชื่อ” พระเยซูทราบแต่แรกแล้วว่ามีใครบ้างที่ไม่เชื่อ และทราบดีว่าผู้ใดจะทรยศพระองค์ 65 พระองค์กล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้เราจึงบอกเจ้าว่า ไม่มีผู้ใดที่มาหาเราได้ นอกจากพระบิดาจะโปรดให้ผู้นั้นมา”

66 ด้วยเหตุนี้เองบรรดาสาวกจำนวนมากของพระองค์จึงได้ปลีกตัวออกไป และไม่ได้ติดตามพระองค์ต่อไปอีก 67 พระเยซูจึงกล่าวกับสาวกทั้งสิบสองว่า “เจ้าอยากจะจากเราไปด้วยหรือ” 68 ซีโมนเปโตรตอบว่า “พระองค์ท่าน เราจะไปหาใครได้ พระองค์มีคำกล่าวแห่งชีวิตอันเป็นนิรันดร์ 69 พวกเราเชื่อและทราบว่า พระองค์เป็นองค์ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า” 70 พระเยซูตอบพวกเขาว่า “เราเองเป็นผู้ที่เลือกพวกเจ้าทั้งสิบสองมิใช่หรือ แต่ถึงอย่างนั้นคนหนึ่งในพวกเจ้าก็เป็นพญามาร”[e] 71 พระองค์หมายถึงยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท เพราะว่าเขาเป็นผู้ที่จะทรยศพระองค์ และเป็นคนหนึ่งในสาวกทั้งสิบสอง

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation