M’Cheyne Bible Reading Plan
เตรียมสร้างพระตำหนัก
2 ซาโลมอนประสงค์ที่จะสร้างพระตำหนักเพื่อยกย่องพระนามของพระผู้เป็นเจ้า และสร้างวังของท่านเอง 2 ท่านจึงสั่งให้เกณฑ์ผู้ชายจำนวน 70,000 คนทำหน้าที่แบกหาม และ 80,000 คนสกัดหินในแถบภูเขา และ 3,600 คนเป็นผู้คุมคนงาน 3 ซาโลมอนแจ้งไปยังฮีรามกษัตริย์แห่งไทระว่า “ขอท่านส่งไม้ซีดาร์มาให้เรา อย่างที่ท่านเคยส่งมาให้ดาวิดบิดาของเรา เพื่อสร้างวังด้วยเถิด 4 ดูเถิด เรากำลังจะสร้างพระตำหนักเพื่อยกย่องพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา และถวายแด่พระองค์ เพื่อเผาเครื่องหอมที่เบื้องหน้าพระองค์ และเพื่อจัดขนมปังอันบริสุทธิ์เป็นประจำ และเพื่อเผาสัตว์เป็นของถวายในเวลาเช้าและเย็น สำหรับวันสะบาโต และวันข้างขึ้น และเทศกาลต่างๆ ที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเรากำหนดไว้ ซึ่งเป็นบัญญัติเพื่ออิสราเอลตลอดไป
5 พระตำหนักที่เรากำลังจะสร้างนั้นยิ่งใหญ่เพราะว่า พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่กว่าเทพเจ้าทั้งปวง 6 แต่ใครสามารถสร้างพระตำหนักสำหรับพระองค์ได้ ในเมื่อสวรรค์เบื้องบนและฟ้าสวรรค์ที่อยู่เกินเอื้อมยังยับยั้งจำกัดพระองค์ไว้ไม่ได้ เราเป็นใคร ที่จะสร้างพระตำหนักสำหรับพระองค์ นอกจากว่า จะเป็นสถานที่สำหรับถวายเครื่องสักการะ ณ เบื้องหน้าพระองค์
7 ฉะนั้น บัดนี้ขอท่านส่งชายคนหนึ่งให้เรา ซึ่งเป็นช่างผู้ชำนาญงานด้านทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ และเหล็ก และชำนาญผ้าสีม่วง สีแดงเลือดนก และสีฟ้า ได้รับการฝึกฝนงานแกะสลักด้วย เพื่อมาร่วมงานกับช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญที่อยู่กับเราในยูดาห์และเยรูซาเล็ม ซึ่งดาวิดบิดาของเราเตรียมไว้พร้อมแล้ว
8 ขอท่านส่งไม้ซีดาร์ ไม้สน และไม้จันทน์จากเลบานอน เราทราบว่าบรรดาคนของท่านชำนาญในการตัดไม้ซุงในเลบานอน และคนของเราจะทำงานร่วมกับคนของท่าน 9 เพื่อจัดเตรียมไม้จำนวนมากให้เรา เพราะว่าพระตำหนักที่เรากำลังจะสร้างนั้นยิ่งใหญ่และงามตระการ 10 เราจะให้ข้าวสาลีป่นและข้าวบาร์เลย์อย่างละ 20,000 โคร์[a] เหล้าองุ่นและน้ำมันอย่างละ 20,000 โคร์ แก่คนของท่านที่ตัดไม้”
11 ครั้นแล้วฮีรามกษัตริย์แห่งไทระจึงตอบในจดหมายถึงซาโลมอนว่า
“เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้ารักชนชาติของพระองค์ พระองค์จึงกำหนดให้ท่านเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเขา” 12 ฮีรามกล่าวอีกว่า “สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์มอบบุตรผู้เรืองปัญญาแก่กษัตริย์ดาวิด ท่านกอปรด้วยความฉลาดรอบรู้และความเข้าใจ และเป็นผู้ที่จะสร้างพระตำหนักสำหรับพระผู้เป็นเจ้า และวังของท่านเอง
13 ข้าพเจ้าได้ส่งฮูรามอาบีซึ่งเป็นช่างผู้ชำนาญชั้นเยี่ยมมาให้ เขามีความเข้าใจ 14 เขาเป็นบุตรของหญิงจากเผ่าดาน บิดาของเขามาจากเมืองไทระ ได้รับการฝึกฝนงานช่างทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก หิน และไม้ ชำนาญผ้าสีม่วง สีฟ้า และสีแดงเลือดนก และผ้าป่านเนื้อดี และทำงานแกะสลักทุกชนิด และทำตามแบบที่มอบหมายได้ทั้งนั้น เขาจะทำงานร่วมกับช่างฝีมือของท่านและของดาวิดเจ้านายของข้าพเจ้า บิดาของท่าน
15 ฉะนั้นข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ น้ำมันและเหล้าองุ่น ที่เจ้านายของข้าพเจ้าพูดถึง ก็ขอส่งไปให้บรรดาผู้รับใช้ของท่านเถิด 16 และพวกเราจะตัดไม้ซุงตามที่ท่านต้องการจากเลบานอน และส่งเป็นแพซุงมาทางทะเลให้ท่านที่เมืองยัฟฟา เพื่อให้ท่านนำขึ้นไปยังเยรูซาเล็ม”
17 ซาโลมอนให้นับจำนวนประชากรต่างด้าวทั้งหมดที่อยู่ในแผ่นดินของอิสราเอล เหมือนกับทะเบียนสำมะโนประชากรที่ดาวิดบิดาของท่านได้ทำแล้ว[b] นับจำนวนได้ 153,600 คน 18 ท่านกำหนดให้คนจำนวน 70,000 คนทำหน้าที่แบกหาม คนสกัดหินในแถบภูเขา 80,000 คน และให้ผู้คุม 3,600 คนเป็นผู้สั่งการกับคนงาน
2 บรรดาลูกที่รักของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเหล่านี้ถึงท่าน ก็เพื่อท่านจะได้ไม่กระทำบาป แต่ถ้าใครกระทำบาป เรามีองค์ผู้ช่วยพูดปกป้องต่อพระบิดา คือพระเยซูคริสต์ผู้มีความชอบธรรม 2 พระองค์เป็นเครื่องสักการะเพื่อชดใช้บาปของเรา ซึ่งไม่เพียงแต่บาปของเราเท่านั้น แต่เป็นบาปของคนทั้งโลกด้วย 3 เราทราบแน่ได้ว่าเรารู้จักพระองค์ ถ้าเราปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ 4 ผู้ที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” และไม่ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ ก็นับว่าเป็นคนโกหก และไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขา 5 แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามคำกล่าวของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็อยู่ในคนนั้นแล้วโดยบริบูรณ์ ด้วยเหตุนี้เราจึงทราบว่าเราอยู่ในพระองค์ 6 ผู้ที่กล่าวว่าตนดำรงอยู่ในพระองค์ ก็ควรดำเนินชีวิตตามวิถีทางที่พระองค์เดิน
7 ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนถึงท่านที่รักทั้งหลายเกี่ยวกับข้อบัญญัติใหม่ แต่เป็นข้อบัญญัติเก่าซึ่งท่านมีมาแต่แรกเริ่ม คือข้อบัญญัติเก่าอันเป็นคำกล่าวที่ท่านได้ยินได้ฟังมาแล้ว 8 อีกนัยหนึ่ง ก็นับได้ว่าข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน เกี่ยวกับข้อบัญญัติใหม่ถึงความจริงที่ปรากฏในพระองค์และในท่านทั้งหลาย เพราะว่าความมืดกำลังผ่านไป และความสว่างที่แท้จริงก็ทอแสงแล้ว 9 ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในความสว่าง แต่ใจเกลียดชังพี่น้องของตนก็นับว่ายังอยู่ในความมืด 10 ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็นับว่าดำรงอยู่ในความสว่าง และไม่มีสิ่งใดในตัวเขาที่เป็นเหตุให้เขาพลาดได้ 11 แต่ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็นับว่าอยู่ในความมืด เดินอยู่ในความมืด และไม่ทราบหนทางที่จะไป เพราะว่าความมืดได้ทำให้ตาเขาบอดเสียแล้ว
12 บรรดาลูกที่รักเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
ก็เพราะพระองค์ยกโทษบาปให้แก่ท่านโดยพระนามของพระองค์
13 พวกท่านที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
ก็เพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้เป็นมาตั้งแต่ปฐมกาลแล้ว
พวกหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
ก็เพราะท่านได้มีชัยชนะต่อมารร้ายนั้นแล้ว
ลูกๆ เอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
ก็เพราะพวกท่านรู้จักพระบิดา
14 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
ก็เพราะท่านได้รู้จักพระองค์ผู้เป็นมาตั้งแต่ปฐมกาลแล้ว
พวกหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
ก็เพราะท่านเข้มแข็ง
และคำกล่าวของพระเจ้าดำรงอยู่ในตัวท่าน
และท่านได้มีชัยชนะต่อมารร้ายนั้นแล้ว
อย่ารักโลก
15 อย่ารักโลกหรือสิ่งใดในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักของพระบิดาก็ไม่อยู่ในตัวคนนั้น 16 เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลกเช่น ความอยากฝ่ายเนื้อหนัง[a] ความอยากอันเกิดจากตามองเห็น และการโอ้อวดในสิ่งที่ตนมี หาใช่มาจากพระบิดาไม่ แต่มาจากโลก 17 โลกและกิเลสของโลกก็กำลังล่วงลับไป แต่ผู้ที่กระทำตามความประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดไป
ศัตรูจำนวนมากของพระคริสต์
18 บรรดาลูกที่รักเอ๋ย นี่เป็นวาระสุดท้าย และตามที่ท่านได้ยินได้ฟังมาแล้วว่า ศัตรูผู้นั้นของพระคริสต์กำลังมา แต่บัดนี้ศัตรูของพระคริสต์จำนวนมากมายได้ปรากฏตัวขึ้น ด้วยเหตุนี้เราจึงทราบว่าถึงวาระสุดท้ายแล้ว 19 เพราะเขาเหล่านั้นได้ออกไปจากกลุ่มเรา แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนของพวกเรา ด้วยว่าถ้าเขาเป็นคนของเรา เขาก็จะอยู่กับเรา แต่เขาได้จากเราไป แสดงว่าไม่มีใครสักคนในพวกเขาที่เป็นคนของเรา 20 พวกท่านได้รับการเจิมจากองค์ผู้บริสุทธิ์ และท่านทุกคนก็ทราบความจริง[b] 21 ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน มิใช่ว่าท่านไม่ทราบความจริง ท่านทราบแล้ว และไม่มีข้อความเท็จใดที่มาจากความจริง 22 ใครคือคนโกหก คนโกหกคือผู้ที่ปฏิเสธว่าพระเยซูคือพระคริสต์ ผู้นี้คือศัตรูของพระคริสต์ เป็นผู้ที่ปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร 23 ผู้ใดที่ปฏิเสธพระบุตรก็เป็นผู้ที่ไม่มีพระบิดา ผู้ใดที่รับพระบุตรก็เป็นผู้ที่มีพระบิดาด้วย 24 จงให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่แรกเริ่มดำรงอยู่ในตัวท่าน ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ท่านก็จะดำรงอยู่ในพระบุตรและพระบิดาด้วย 25 และสิ่งที่พระองค์ได้สัญญาเราไว้ก็คือชีวิตอันเป็นนิรันดร์
26 ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเหล่านี้ถึงท่าน เกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่พยายามจะพาให้ท่านหลงผิด 27 สำหรับตัวท่านเอง การเจิมที่ได้รับจากพระองค์ก็ดำรงอยู่ในตัวท่าน และไม่จำเป็นต้องให้ใครสั่งสอนท่าน เพราะการเจิมของพระองค์สอนทุกสิ่งแก่ท่าน และการเจิมนั้นเป็นความจริง ไม่ใช่เป็นความเท็จ และท่านจงดำรงอยู่ในพระองค์ตามที่การเจิมได้สอนท่านเถิด
บรรดาบุตรของพระเจ้า
28 มาบัดนี้ บรรดาลูกที่รักเอ๋ย จงดำรงอยู่ในพระองค์เถิด เพื่อว่าเมื่อพระองค์มาปรากฏ เราจะได้มีความมั่นใจ และไม่ต้องหลบหน้าด้วยความละอายเวลาพระองค์มา 29 ถ้าท่านทราบว่าพระองค์มีความชอบธรรม ท่านก็ทราบว่าผู้กระทำสิ่งที่ถูกต้องทุกคนล้วนเกิดมาจากพระองค์
1 คำพยากรณ์เกี่ยวกับนีนะเวห์[a] หนังสือภาพนิมิตของนาฮูมแห่งหมู่บ้านเอลโขช
พระเจ้าลงโทษนีนะเวห์
2 พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าผู้หวงแหนและแก้แค้นแทน
พระผู้เป็นเจ้าแก้แค้นแทนและลงโทษ
พระผู้เป็นเจ้าลงโทษปรปักษ์
และเก็บความโกรธกริ้วไว้สนองศัตรูของพระองค์
3 พระผู้เป็นเจ้าไม่โกรธง่ายและมีอานุภาพมาก
และพระผู้เป็นเจ้าจะไม่ปล่อยให้ผู้กระทำผิดลอยนวลไป
วิถีทางของพระองค์อยู่ในพายุหมุนและลมพายุ
และหมู่เมฆเป็นผงคลีจากเท้าของพระองค์
4 พระองค์บอกห้ามทะเล และทำให้มันเหือดหาย
พระองค์ทำให้แม่น้ำทั้งหลายเหือดแห้ง
บาชานและคาร์เมลแห้งเหี่ยว
และดอกที่เบ่งบานของเลบานอนก็เหี่ยวเฉา
5 ภูเขาสั่นไหว ณ เบื้องหน้าพระองค์
เนินเขาละลาย
แผ่นดินโลกสั่นสะเทือน ณ เบื้องหน้าพระองค์
ทั้งโลกและสิ่งทั้งปวงที่อยู่อาศัยในนั้นด้วย
6 ใครจะสามารถทนต่อความโกรธของพระองค์ได้
ใครจะทนรับความกริ้วอันร้อนแรงของพระองค์ได้
ความเกรี้ยวของพระองค์พลุ่งขึ้นดั่งเปลวไฟ
และหินแตกออกเมื่ออยู่ใกล้พระองค์
7 พระผู้เป็นเจ้าประเสริฐ
พระองค์เป็นที่พึ่งพิงในยามวิบัติ
พระองค์ดูแลบรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์
8 แต่พระองค์จะทำให้บรรดาศัตรู
ถึงจุดจบด้วยกระแสน้ำอันแรงกล้า
และจะไล่ล่าพวกศัตรูไปสู่ความมืด
9 เจ้า[b]คิดวางแผนจะต่อต้านพระผู้เป็นเจ้าอย่างนั้นหรือ
พระองค์จะทำให้เจ้าถึงจุดจบ
ความยุ่งยากจะไม่ลุกขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
10 เพราะว่าพวกเขาจะติดอยู่ในบ่วงหนาม
เหมือนคนเมาเหล้า
พวกเขาถูกเผาไหม้จนมอด
เหมือนฟางที่แห้งสนิท
11 มีผู้หนึ่งที่มาจากเจ้า
ซึ่งคิดวางแผนชั่วร้ายต่อต้านพระผู้เป็นเจ้า
เขาให้คำปรึกษาอันไร้ค่า
12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้
“ถึงแม้ว่า พวกเขาเข้มแข็งและมีจำนวนมาก
พวกเขาจะถูกโค่นลง และสิ้นไป
แม้ว่าเราได้ทำให้เจ้ารับทุกข์ทรมานแล้ว
เราจะไม่กระทำต่อเจ้าเช่นนั้นอีก
13 บัดนี้ เราจะหักแอกของพวกเขาออกจากตัวเจ้า
และจะทำให้สิ่งที่มัดตัวเจ้าหลุดออกไป”
14 พระผู้เป็นเจ้าได้ให้คำบัญชาเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าดังนี้
“เจ้าจะไม่มีผู้สืบชื่อของเจ้าไปตลอดกาล
เราจะทำลายรูปเคารพที่สลักและหล่อขึ้น
ซึ่งอยู่ในวิหารของบรรดาเทพเจ้าของเจ้า
เราจะเตรียมหลุมศพของเจ้า
เพราะเจ้าสมควรที่จะถูกดูหมิ่น”
15 ดูเถิด ผู้หนึ่งมาบนภูเขา
พร้อมกับข่าวประเสริฐ[c]
ผู้ประกาศสันติสุข
โอ ยูดาห์เอ๋ย จงรักษาเทศกาลฉลอง
จงกระทำตามคำสัญญาของพวกท่าน
คนไร้ค่าจะไม่มีวันบุกรุกท่านอีกต่อไป
เขาจะถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง
หินโม่แป้ง
17 พระเยซูกล่าวกับสาวกว่า “สิ่งอันเป็นเหตุให้ผู้คนทำบาปนั้นมาแน่ แต่วิบัติจะไปยังผู้ที่นำสิ่งเหล่านั้นมา 2 หากเขาเป็นเหตุให้คนหนึ่งในบรรดาเด็กเล็กๆ เหล่านี้พลั้งพลาดไป[a] ให้ถ่วงคอเขาด้วยหินโม่แป้ง และโยนลงทะเลจะดีกว่า 3 ฉะนั้นพวกเจ้าจงระวังตัวไว้ให้ดี ถ้าพี่น้องของเจ้าทำบาปก็จงเตือนเขา เมื่อเขากลับใจก็จงยกโทษให้เสีย 4 ถ้าเขาทำบาปต่อเจ้าวันละ 7 ครั้ง และกลับมาหาเจ้าพูดว่า ‘เราขอกลับใจ’ ทั้ง 7 ครั้งก็จงยกโทษให้แก่เขา”
ความเชื่อเท่าเมล็ดพันธุ์จิ๋ว
5 อัครทูตพูดกับพระเยซูเจ้าว่า “โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด”
6 พระองค์ตอบว่า “ถ้าเจ้ามีความเชื่อมากเพียงเท่ากับเมล็ดพันธุ์จิ๋ว เจ้าก็สามารถสั่งต้นหม่อนต้นนี้ได้ว่า ‘จงถอนรากขึ้นและลงไปปักในทะเล’ มันจะเชื่อฟังเจ้า
หน้าที่ของคนรับใช้
7 สมมุติว่าพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งส่งคนรับใช้ให้ไปไถนาหรือเลี้ยงแกะ เมื่อคนรับใช้กลับมาจากนา เจ้าจะพูดไหมว่า ‘มานั่งกินเถิด’ 8 แต่จะพูดอย่างนี้มากกว่าใช่ไหมว่า ‘เตรียมอาหารเย็นให้แก่เรา แล้วเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรอรับใช้เราขณะที่เราดื่มกิน เสร็จแล้วเจ้าจึงจะกินและดื่มได้’ 9 แล้วจะขอบใจคนรับใช้ เพราะเขาทำตามคำสั่งหรือ 10 ฉะนั้นเจ้าก็เช่นกัน เมื่อเจ้าทำทุกสิ่งที่ได้รับตามคำสั่งให้ทำแล้วก็ควรพูดว่า ‘พวกข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ที่ไม่ได้มีบุญคุณ เพราะเพียงแต่ทำตามหน้าที่เท่านั้น’”
ชายโรคเรื้อน 10 คน
11 ในการเดินทางที่มุ่งไปยังเมืองเยรูซาเล็ม พระเยซูเดินทางไปตามเขตแดนระหว่างแคว้นสะมาเรียและแคว้นกาลิลี 12 พระองค์ได้เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชายโรคเรื้อน 10 คนมาพบพระองค์ คนเหล่านั้นได้แต่ยืนอยู่ห่างๆ 13 และร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “พระเยซู นายท่านโปรดเมตตาพวกเราเถิด” 14 เมื่อพระเยซูได้เห็นดังนั้นก็กล่าวว่า “จงไปแสดงตัวแก่บรรดาปุโรหิตเถิด” และขณะที่เขาทั้งหลายไปก็หายจากโรค[b] 15 หนึ่งในผู้ป่วยที่หายเป็นปกติได้กลับมาสรรเสริญพระเจ้าด้วยเสียงอันดัง 16 ชายผู้นี้เป็นชาวสะมาเรียซึ่งก็ได้ทรุดตัวลงแทบเท้าพระเยซูเพื่อขอบคุณพระองค์ 17 พระเยซูถามว่า “ทั้ง 10 คนมิใช่หรือที่หายเป็นปกติ แล้วอีก 9 คนอยู่ไหน 18 ไม่มีใครกลับมาสรรเสริญพระเจ้า ยกเว้นชายต่างแดนคนนี้ใช่ไหม” 19 พระองค์กล่าวกับเขาว่า “จงลุกขึ้นแล้วไปได้ ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายดี”
อาณาจักรของพระเจ้า
20 ครั้งหนึ่งพวกฟาริสีถามว่า เมื่อใดที่อาณาจักรของพระเจ้าจะมาเยือน พระเยซูตอบว่า “อาณาจักรของพระเจ้าไม่มาในสภาพที่มองเห็นได้ 21 จะไม่มีใครพูดว่า ‘ดูเถิด อยู่นี่เอง’ หรือ ‘ดูเถิด อยู่นั่นเอง’ เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวท่านเอง”[c]
22 พระองค์ได้กล่าวกับสาวกว่า “จะถึงเวลาที่เจ้าปรารถนาจะเห็นวันหนึ่งของบุตรมนุษย์อีก และก็จะไม่เห็น 23 พวกเขาจะบอกเจ้าว่า ‘ดูนั่นเถิด’ หรือ ‘ดูนี่เถิด’ ก็อย่าวิ่งตามพวกเขาไป 24 เพราะว่าวันของบุตรมนุษย์เป็นเสมือนฟ้าแลบ ซึ่งเปล่งประกายส่องฟากฟ้าให้แจ่มจ้าจากด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง 25 แต่ท่านต้องทนทุกข์ทรมานหลายอย่างก่อน และคนในช่วงกาลเวลานี้จะไม่ยอมรับท่าน 26 ในสมัยของโนอาห์[d]เป็นอย่างไร สมัยของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น 27 ผู้คนกำลังดื่มกิน สมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากันจนถึงวันที่โนอาห์ได้ลงเรือใหญ่ แล้วน้ำท่วมทำลายพวกเขาหมดสิ้น 28 เช่นเดียวกับสมัยของโลท[e]ที่ผู้คนดื่มกิน หรือซื้อขาย หว่านไถเพาะปลูก และปลูกสร้างบ้านเรือน 29 แต่ในวันที่โลทออกจากเมืองโสโดม กำมะถันกับไฟตกลงจากสวรรค์ได้ทำลายพวกเขาหมด 30 และจะเป็นเช่นเดียวกันกับวันที่บุตรมนุษย์ปรากฏขึ้น 31 ในวันนั้น คนที่อยู่บนหลังคาบ้านไม่ควรลงมาเก็บสมบัติในบ้าน คนที่อยู่ในทุ่งนาก็ไม่ควรย้อนกลับไป 32 จงรำลึกถึงภรรยาของโลทเถิด 33 ใครก็ตามที่พยายามจะได้มาซึ่งชีวิตของตนจะสูญเสียชีวิตนั้นไป และใครก็ตามที่สูญเสียชีวิตของตนก็จะมีชีวิตอยู่ได้ 34 เราขอบอกเจ้าว่า ในคืนวันนั้นคน 2 คนจะอยู่ในเตียงเดียวกัน คนหนึ่งจะถูกพาตัวไป อีกคนหนึ่งถูกทิ้งไว้ 35 หญิง 2 คนจะโม่แป้งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกพาตัวไป อีกคนหนึ่งถูกทิ้งไว้ [36 ชาย 2 คนจะอยู่ในนา คนหนึ่งจะถูกพาตัวไป อีกคนหนึ่งถูกทิ้งไว้]”[f] 37 เขาเหล่านั้นถามว่า “ที่ไหน พระองค์ท่าน” พระองค์ตอบว่า “ซากศพอยู่ที่ไหน ฝูงอีแร้งก็จะรุมกันอยู่ที่นั่น”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation