M’Cheyne Bible Reading Plan
การออกเดินทางของอิสราเอล
33 ขั้นตอนการออกเดินทางของชาวอิสราเอลเป็นมาดังนี้คือ เมื่อพวกเขาออกไปจากแผ่นดินอียิปต์ ตามกำลังกองทัพใต้การนำของโมเสสและอาโรน 2 โมเสสได้บันทึกจุดเริ่มต้นของสถานที่ แต่ละขั้นตอนตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนตามจุดเริ่มต้นของพวกเขา 3 เขาเริ่มออกเดินทางจากราเมเสสในเดือนแรก วันที่สิบห้าของเดือนแรก วันรุ่งขึ้นหลังจากวันปัสกา ชาวอิสราเอลออกเดินทางไปอย่างมีชัยต่อหน้าชาวอียิปต์ทั้งปวง 4 ในขณะที่ชาวอียิปต์กำลังฝังศพบรรดาบุตรหัวปีที่พระผู้เป็นเจ้าสังหาร พระผู้เป็นเจ้าได้ลงโทษบรรดาเทพเจ้าของพวกเขาด้วย
5 ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากราเมเสส และไปตั้งค่ายที่สุคคท 6 พวกเขาออกเดินทางจากสุคคท และไปตั้งค่ายที่เอธามซึ่งติดกับถิ่นทุรกันดาร 7 พวกเขาออกเดินทางจากเอธาม ย้อนกลับไปยังปีหะหิโรธซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของบาอัลเซโฟน แล้วไปตั้งค่ายที่หน้าเมืองมิกดล 8 พวกเขาออกเดินทางจากหน้าเมืองหะหิโรธ และผ่านไปท่ามกลางทะเลเข้าไปยังถิ่นทุรกันดาร พวกเขาเดินทางเป็นเวลา 3 วันในถิ่นทุรกันดารของเอธาม และไปตั้งค่ายที่มาราห์ 9 พวกเขาออกเดินทางจากมาราห์ ไปจนถึงเอลิม มีบ่อน้ำพุ 12 บ่อกับต้นอินทผลัม 70 ต้นที่เอลิม และไปตั้งค่ายอยู่ที่นั่น 10 พวกเขาออกเดินทางจากเอลิม และไปตั้งค่ายใกล้ทะเลแดง 11 พวกเขาออกเดินทางจากทะเลแดง และไปตั้งค่ายในถิ่นทุรกันดารสีน 12 พวกเขาออกเดินทางจากถิ่นทุรกันดารสีน และไปตั้งค่ายที่โดฟคาห์ 13 พวกเขาออกเดินทางจากโดฟคาห์ และไปตั้งค่ายที่อาลูช 14 พวกเขาออกเดินทางจากอาลูช และไปตั้งค่ายที่เรฟีดิม ซึ่งเป็นที่กันดาร และไม่มีน้ำให้ประชาชนดื่ม 15 พวกเขาออกเดินทางจากเรฟีดิม และไปตั้งค่ายในถิ่นทุรกันดารซีนาย 16 พวกเขาออกเดินทางจากถิ่นทุรกันดารซีนาย และไปตั้งค่ายที่ขิบโรทหัทธาอาวาห์ 17 พวกเขาออกเดินทางจากขิบโรทหัทธาอาวาห์ และไปตั้งค่ายที่ฮาเซโรท 18 พวกเขาออกเดินทางจากฮาเซโรท และไปตั้งค่ายที่ริทมาห์ 19 พวกเขาออกเดินทางจากริทมาห์ และไปตั้งค่ายที่ริมโมนเปเรศ 20 พวกเขาออกเดินทางจากริมโมนเปเรศ และไปตั้งค่ายที่ลิบนาห์ 21 พวกเขาออกเดินทางจากลิบนาห์ และไปตั้งค่ายที่ริสสาห์ 22 พวกเขาออกเดินทางจากริสสาห์ และไปตั้งค่ายที่เคเฮลาธาห์ 23 พวกเขาออกเดินทางจากเคเฮลาธาห์ และไปตั้งค่ายที่ภูเขาเชเฟอร์ 24 พวกเขาออกเดินทางจากภูเขาเชเฟอร์ และไปตั้งค่ายที่ฮาราดาห์ 25 พวกเขาออกเดินทางจากฮาราดาห์ และไปตั้งค่ายที่มักเฮโลท 26 พวกเขาออกเดินทางจากมักเฮโลท และไปตั้งค่ายที่ทาหัท 27 พวกเขาออกเดินทางจากทาหัท และไปตั้งค่ายที่เทราห์ 28 พวกเขาออกเดินทางจากเทราห์ และไปตั้งค่ายที่มิทคาห์ 29 พวกเขาออกเดินทางจากมิทคาห์ และไปตั้งค่ายที่ฮัชโมนาห์ 30 พวกเขาออกเดินทางจากฮัชโมนาห์ และไปตั้งค่ายที่โมเสโรท 31 พวกเขาออกเดินทางจากโมเสโรท และไปตั้งค่ายที่เบเนยาอะคาน 32 พวกเขาออกเดินทางจากเบเนยาอะคาน และไปตั้งค่ายที่โฮร์ฮักกีดกาด 33 พวกเขาออกเดินทางจากโฮร์ฮักกีดกาด และไปตั้งค่ายที่โยทบาธาห์ 34 พวกเขาออกเดินทางจากโยทบาธาห์ และไปตั้งค่ายที่อับโรนาห์ 35 พวกเขาออกเดินทางจากอับโรนาห์ และไปตั้งค่ายที่เอซีโอนเกเบอร์ 36 พวกเขาออกเดินทางจากเอซีโอนเกเบอร์ และไปตั้งค่ายในถิ่นทุรกันดารศิน (คือคาเดช) 37 พวกเขาออกเดินทางจากคาเดช และไปตั้งค่ายที่ภูเขาโฮร์ ซึ่งอยู่ชายแดนของเอโดม
38 และอาโรนปุโรหิตขึ้นไปบนภูเขาโฮร์ตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า และสิ้นชีวิตที่นั่น เป็นระยะเวลาถึง 40 ปีนับตั้งแต่ครั้งที่ชาวอิสราเอลได้อพยพออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ในวันแรกของเดือนห้า 39 อาโรนมีอายุ 123 ปีเมื่อท่านสิ้นชีวิตบนภูเขาโฮร์
40 กษัตริย์แห่งอาราดเป็นชาวคานาอัน อาศัยอยู่ในเนเกบในดินแดนคานาอัน ได้ข่าวว่าชาวอิสราเอลกำลังยกทัพมา
41 พวกเขาจึงออกเดินทางจากภูเขาโฮร์ และไปตั้งค่ายที่ศัลโมนาห์ 42 พวกเขาออกเดินทางจากศัลโมนาห์ และไปตั้งค่ายที่ปูโนน 43 พวกเขาออกเดินทางจากปูโนน และไปตั้งค่ายที่โอโบท 44 พวกเขาออกเดินทางจากโอโบท และไปตั้งค่ายที่อิเยอาบาริมที่ชายแดนโมอับ 45 พวกเขาออกเดินทางจากไอยิม และไปตั้งค่ายที่ดีโบนกาด 46 พวกเขาออกเดินทางจากดีโบนกาด และไปตั้งค่ายที่อัลโมนดิบลาธาอิม 47 พวกเขาออกเดินทางจากอัลโมนดิบลาธาอิม และไปตั้งค่ายที่ภูเขาอาบาริมหน้าเนโบ 48 พวกเขาออกเดินทางจากภูเขาอาบาริม และไปตั้งค่าย ณ ที่ราบโมอับ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนที่ฝั่งตรงข้ามกับเยรีโค 49 พวกเขาไปตั้งค่ายที่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนตั้งแต่เบธเยชิโมท ไปจนถึงอาเบลชิทธีม ณ ที่ราบโมอับ
ขับไล่ผู้อยู่อาศัย
50 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสส ณ ที่ราบโมอับ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนที่ฝั่งตรงข้ามกับเยรีโคว่า 51 “จงไปพูดกับชาวอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนและเข้าไปในดินแดนคานาอัน 52 เจ้าจงขับไล่ผู้อยู่อาศัยของดินแดนไปพ้นหน้าเจ้า และทำลายรูปเคารพสลัก รูปปั้นหล่อทุกชิ้น และโค่นสถานบูชาบนภูเขาสูงของพวกเขาให้หมด 53 แล้วจงยึดครองดินแดนและอาศัยอยู่ที่นั่น เพราะเราได้มอบดินแดนให้เจ้าครอบครอง 54 เจ้าจงจับฉลากเป็นการตัดสินแบ่งมรดกตามลำดับครอบครัว เจ้าจงให้ชนกลุ่มใหญ่รับมรดกผืนใหญ่ และชนกลุ่มน้อยได้รับมรดกผืนเล็ก ฉลากที่ตกอยู่กับผู้ใด เขาก็จะได้รับตามนั้น เจ้าจะได้รับมรดกตามเผ่าของบรรพบุรุษของเจ้า 55 แต่ถ้าเจ้าไม่ขับไล่ผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินไปพ้นหน้าเจ้า ผู้คนเหล่านั้นที่เจ้าปล่อยให้เหลืออยู่ จะกลายเป็นเงี่ยงแหลมในนัยน์ตาของเจ้าและเป็นหอกข้างแคร่ของเจ้า และเขาจะก่อความลำบากในแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่ 56 และเราจะกระทำต่อพวกเจ้าเหมือนกับที่เราตั้งใจว่าจะกระทำต่อพวกเขา”
พระเจ้าเบื้องหลังชนชาติอิสราเอลที่กระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพลงสดุดีแห่งความฉลาดรอบรู้ของอาสาฟ
1 ชนชาติของเราเอ๋ย จงฟังคำสอนของเราเถิด
เงี่ยหูฟังคำพูดจากปากของเรา
2 เราจะเปิดปากของเรากล่าวคำอุปมา[a]
เราจะเล่าเรื่องที่ปิดบังไว้แต่ครั้งโบราณกาล
3 เรื่องที่พวกเราได้ยินและรู้มา
เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของเราเล่าขานให้พวกเราฟัง
4 เราจะไม่ปิดบังพวกลูกหลานของท่านในเรื่องเหล่านี้
แต่จะบอกคนยุคต่อไปให้ทราบถึง
การกระทำและอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งควรแก่การสรรเสริญ
และสิ่งมหัศจรรย์ที่พระองค์ได้กระทำ
5 พระองค์มอบคำสั่งแก่ผู้สืบตระกูลของยาโคบ
และตั้งกฎบัญญัติในอิสราเอล
และพระองค์สั่งบรรพบุรุษของเราให้สอน
พวกลูกๆ ของเขา
6 เพื่อยุคต่อไปที่จะเกิดมาภายหลังจะได้เรียนรู้ไว้
และบอกพวกลูกๆ ของตนต่อๆ กันไป[b]
7 เพื่อพวกเขาจะได้ตั้งความหวังในพระเจ้า
และไม่ลืมสิ่งที่พระเจ้ากระทำ
อีกทั้งปฏิบัติตามข้อบัญญัติของพระองค์
8 พวกเขาไม่ควรเป็นเหมือนบรรพบุรุษของเขาคือ
เป็นยุคที่ดื้อรั้นและฝ่าฝืน
เป็นยุคที่มีใจโลเล
มีจิตวิญญาณที่ไม่ภักดีต่อพระเจ้า
9 พวกเอฟราอิมที่สะพายคันธนูพร้อมรบ
แต่กลับหลังหันในวันสงคราม
10 พวกเขาไม่ได้ทำตามพันธสัญญาของพระเจ้า
และไม่ยอมเชื่อฟังกฎบัญญัติของพระองค์
11 พวกเขาลืมสิ่งที่พระองค์ได้กระทำ
และสิ่งมหัศจรรย์ที่พระองค์ได้แสดงให้พวกเขาเห็นแล้ว
12 ขณะที่บรรพบุรุษของพวกเขาเฝ้าดู
พระเจ้าก็ได้แสดงสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ ในดินแดนอียิปต์ ที่ไร่นาของโศอัน
13 พระองค์แหวกน้ำทะเลออกจากกันเพื่อให้พวกเขาเดินผ่านไป
และทำให้น้ำแหวกเป็นสองฟากฝั่งสูงทะมึน[c]
14 กลางวันพระองค์นำพวกเขาไปใต้เงาเมฆ
และอาศัยแสงจากเพลิงไฟตลอดทั้งคืน[d]
15 พระองค์ทำให้หินในถิ่นทุรกันดารแตกออก
เพื่อให้พวกเขามีน้ำดื่มได้มากมายราวกับน้ำจากห้วงน้ำลึก
16 พระองค์ทำให้ธารน้ำไหลออกจากหิน
และทำให้น่านน้ำไหลลงดั่งแม่น้ำ[e]
17 ถึงกระนั้นพวกเขายังกระทำบาปต่อพระองค์ไว้มาก
เขาลองดีกับองค์ผู้สูงสุดในถิ่นทุรกันดาร
18 พวกเขาตั้งใจลองดีกับพระเจ้า
โดยเรียกร้องอาหารที่เขานึกอยาก
19 พวกเขาพูดเหยียดหยามพระเจ้าว่า
“พระเจ้าจะหาสำรับในถิ่นทุรกันดารมาให้ได้ไหม
20 พระองค์กระทบหินเพื่อให้น้ำพวยพุ่งขึ้น
และลำธารไหลล้น
พระองค์ให้ขนมปัง
หรือจัดหาเนื้อสัตว์เพื่อชนชาติของพระองค์ได้ด้วยหรือ”
21 ครั้นพระผู้เป็นเจ้าได้ยินก็โกรธเกรี้ยว
ความกริ้วของพระองค์ที่มีต่อยาโคบปะทุขึ้นดั่งเพลิง
ลุกโชนขึ้นต่ออิสราเอล
22 เพราะพวกเขาไม่มีความเชื่อในพระเจ้า
และไม่วางใจในอานุภาพของพระองค์ที่จะช่วยเขาให้รอดพ้นได้
23 ถึงกระนั้นพระองค์ยังบัญชาหมู่เมฆเบื้องบน
และเปิดประตูท้องฟ้า
24 แล้วพระองค์โปรดให้มานาโปรยลงมาให้พวกเขารับประทาน
พระองค์ให้เมล็ดข้าวแห่งสวรรค์แก่พวกเขา
25 แต่ละคนได้รับประทานขนมปังของทูตสวรรค์
พระองค์ให้อาหารแก่พวกเขาอย่างอุดมสมบูรณ์
26 พระองค์ทำให้ลมตะวันออกพัดในฟ้าสวรรค์
และพระองค์นำลมใต้ออกไปด้วยพละกำลังของพระองค์
27 พระองค์โปรดให้เนื้อสัตว์เทลงมาเพื่อพวกเขามากมายราวกับฝุ่นผง
เป็นตัวนกจำนวนมากราวกับเม็ดทรายในทะเล
28 พระองค์ทำให้เนื้อสัตว์ตกอยู่ท่ามกลางค่ายของพวกเขา
รอบๆ บริเวณที่เขาอาศัยอยู่
29 แล้วพวกเขารับประทานกันจนอิ่มหนำ
เพราะพระองค์ให้สิ่งที่พวกเขาอยาก
30 แต่ยังไม่ทันหายอยาก
คือในขณะที่อาหารยังอยู่ในปากพวกเขา
31 ความกริ้วของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่อพวกเขา
แล้วพระองค์ฆ่าชายฉกรรจ์ที่สุดของพวกเขา
พระองค์ทำให้บรรดาชายหนุ่มที่เก่งกาจของอิสราเอลสิ้นชีวิตลง[f]
32 แม้กระนั้นพวกเขายังจะทำบาปอีก
แม้พระองค์ได้ทำให้เห็นสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ แล้ว พวกเขาก็ยังไม่เชื่อ
33 ดังนั้น พระองค์ทำให้วันเวลาของเขาสิ้นสุดลงดั่งลมหายใจ
และปีของเขามีแต่ความพินาศ
34 ในยามที่พระองค์ฆ่าพวกเขา พวกเขาก็แสวงหาพระองค์
กลับใจและหันเข้าหาพระเจ้าอย่างจริงจัง
35 และจำได้ว่า พระเจ้าเป็นดั่งศิลาของพวกเขา
พระเจ้าผู้สูงสุดเป็นผู้ไถ่บาปของพวกเขา
36 แต่กลับลวงพระองค์ด้วยคำพูดจากปาก
และพูดคำเท็จด้วยลิ้นของพวกเขา
37 ใจของพวกเขาไม่มั่นคงต่อพระองค์
และไม่ภักดีต่อพันธสัญญาของพระองค์
คำสรรเสริญแด่พระเจ้า
25 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะยกย่องพระองค์ ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระนามของพระองค์
เพราะพระองค์ได้กระทำสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ
ซึ่งเป็นแผนที่วางไว้นานมาแล้ว
ด้วยความสัตย์จริงและแน่นอน
2 เพราะพระองค์ได้ทำให้เมืองพังลงเป็นกองพะเนิน
ทำให้เมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่งกลายเป็นกองซากปรักหักพัง
ป้อมปราการของพวกชาวต่างชาติจะไม่เป็นเมืองอีกต่อไป
และจะไม่มีวันสร้างมันขึ้นใหม่อีก
3 ฉะนั้น ชนชาติที่เข้มแข็งจะสรรเสริญพระองค์
เมืองต่างๆ ของบรรดาประชาชาติที่โหดเหี้ยมจะเกรงกลัวพระองค์
4 เพราะพระองค์เป็นหลักยึดอันมั่นคงให้แก่คนยากจน
เป็นหลักยึดอันมั่นคงแก่ผู้ยากไร้ที่มีทุกข์
เป็นที่กำบังจากพายุ
และร่มเงาจากความร้อน
เพราะลมหายใจของคนโหดร้าย
เป็นเหมือนพายุพัดเข้าหากำแพง
5 พระองค์ทำให้เสียงวุ่นวายของชาวต่างชาติเงียบสงบลง
ดั่งความร้อนในที่แห้ง
ความร้อนที่ถูกเงาเมฆบังเช่นไร
เพลงของคนโหดร้ายก็ถูกทำให้เงียบลงเช่นนั้น
6 บนภูเขานี้ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา
จะเตรียมงานเลี้ยงฉลองให้แก่ชนชาติทั้งปวงอย่างโอ่อ่า
ด้วยอาหารชั้นดี เหล้าองุ่นดีที่สุด
เนื้อสัตว์มีไขกระดูก เหล้าองุ่นกรองชั้นเยี่ยม
7 บนภูเขานี้ พระองค์จะกำจัด
ผ้าที่คลุมชนชาติทั้งปวง
ผืนผ้าที่ปกคลุมประชาชาติทั้งปวง
8 พระองค์จะกำจัดความตายให้สิ้นไปตลอดกาล[a]
และพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จะเช็ดน้ำตาจากทุกใบหน้า
และพระองค์จะกำจัดความอัปยศอดสูของชนชาติของพระองค์ให้สิ้นไปจากแผ่นดินโลก
เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวดังนั้น
9 ในวันนั้น จะมีคนพูดกันว่า
“ดูเถิด นี่คือพระเจ้าของเรา
พวกเราได้รอคอยพระองค์ เพื่อพระองค์จะช่วยพวกเราให้รอดพ้นได้
นี่คือพระผู้เป็นเจ้า พวกเราได้รอคอยพระองค์
ให้พวกเราดีใจและยินดีที่พระองค์ช่วยให้รอดพ้น”
10 เพราะมือของพระผู้เป็นเจ้าจะสถิตบนภูเขานี้
และโมอับจะถูกเหยียบย่ำในที่ของเขา
เหมือนฟางที่ถูกเหยียบย่ำลงในหลุมมูลสัตว์
11 และเขาจะกางมือทั้งสองของเขาในหลุมนั้น
เหมือนนักว่ายน้ำกางแขนออกว่าย
แต่พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้ความเหิมเกริมของโมอับลดลง
ทั้งๆ ที่มือของเขาช่ำชอง
12 พระองค์จะทำให้กำแพงที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่งของเจ้าพังลง
ทำให้ลดต่ำลงและถูกเหวี่ยงลงบนพื้น
ถึงธุลีดิน
3 จงดูเถิดว่า พระบิดาให้ความรักแก่เรามากมายเพียงใด พระองค์จึงได้เรียกเราว่าบรรดาบุตรของพระเจ้า และเราก็เป็นเช่นนั้น เหตุที่โลกไม่รู้จักเรา ก็เพราะโลกไม่ได้รู้จักพระองค์ 2 ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้พวกเราเป็นบุตรของพระเจ้า และยังไม่เป็นที่ทราบกันว่าเราจะเป็นอย่างไรต่อไป เราทราบว่าเวลาพระองค์มาปรากฏ เราก็จะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์เป็นอยู่ 3 ทุกคนที่มีความหวังในพระองค์เช่นนี้ ก็จะชำระตนเองให้บริสุทธิ์เหมือนพระองค์ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์
4 ทุกคนที่กระทำบาป ก็เท่ากับกระทำผิดต่อกฎบัญญัติด้วย เพราะบาปเป็นสิ่งที่ผิดต่อกฎบัญญัติ 5 และท่านทราบว่าพระองค์ได้มาปรากฏแล้ว ก็เพื่อรับเอาบาปของเรา ทั้งที่ไม่มีบาปในพระองค์เองเลย 6 คนที่ดำรงอยู่ในพระองค์จะไม่กระทำบาปอีกต่อไป ส่วนคนที่ยังกระทำบาปก็ยังไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ 7 บรรดาลูกที่รักเอ๋ย อย่าให้ผู้ใดชักนำท่านให้หลงผิด ผู้กระทำสิ่งที่ถูกต้องก็เป็นผู้มีความชอบธรรมเหมือนกับพระองค์ผู้มีความชอบธรรม 8 คนที่กระทำบาปคือผู้ที่มาจากพญามาร เพราะพญามารได้กระทำบาปเรื่อยมาตั้งแต่แรกเริ่ม ด้วยเหตุนี้พระบุตรของพระเจ้าได้มาปรากฏ เพื่อจะทำลายงานของพญามาร 9 ไม่มีใครที่เกิดจากพระเจ้าจะกระทำบาปเรื่อยไป เพราะเมล็ดที่พระองค์ปลูกฝังไว้ดำรงอยู่กับคนนั้น และเขาไม่สามารถกระทำบาปเรื่อยไปเพราะเขาเกิดจากพระเจ้า 10 เราจะทราบได้ว่าผู้ใดเป็นบุตรของพระเจ้า และผู้ใดเป็นบุตรของพญามาร คือว่าผู้ที่ประพฤติในทางที่ผิดและไม่รักพี่น้อง แสดงว่าไม่ได้มาจากพระเจ้า
รักซึ่งกันและกัน
11 เรื่องที่ท่านได้ยินได้ฟังตั้งแต่แรกเริ่ม คือเราควรรักซึ่งกันและกัน 12 อย่าเป็นอย่างคาอินผู้เป็นคนของมารร้ายนั้น และได้ฆ่าน้องชายของเขา เหตุใดเขาจึงฆ่า เพราะการกระทำของเขาเองชั่ว แต่น้องชายมีความชอบธรรม 13 พี่น้องเอ๋ย ไม่ต้องแปลกใจถ้าโลกเกลียดชังท่าน 14 เราทราบแล้วว่า เราได้พ้นจากความตายไปสู่การมีชีวิตเพราะเรารักบรรดาพี่น้อง คนที่ไม่รักก็ยังดำรงอยู่ในความตาย 15 ผู้ใดเกลียดชังพี่น้องของตนก็นับว่าเป็นฆาตกร และท่านก็ทราบแล้วว่า ไม่มีฆาตกรคนใดที่มีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ในตัวเขา
16 เราจะรู้ว่าความรักนั้นเป็นอย่างไร คือพระเยซูคริสต์ยอมสละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา และเราก็ควรสละชีวิตของเราเพื่อบรรดาพี่น้อง 17 ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สมบัติในโลก และไม่ใยดีต่อพี่น้องผู้ขัดสนของตน ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในคนนั้นได้อย่างไร 18 บรรดาลูกที่รักเอ๋ย อย่ารักกันแต่เพียงคำพูดและลมปากเลย แต่จงรักด้วยการกระทำและความจริงเถิด
19 ด้วยเหตุนี้เราจึงจะทราบว่าเรามาจากความจริง ในเวลาที่ใจของเราตำหนิตัวเราเอง เราก็สบายใจได้เมื่ออยู่เบื้องหน้าพระองค์ 20 ด้วยว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทราบทุกสิ่ง 21 ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าใจของเราไม่ตำหนิตัวเราเอง เราก็มีความมั่นใจเบื้องหน้าพระเจ้า 22 และสิ่งใดก็ตามที่เราขอ เราก็ได้รับจากพระองค์ เพราะว่าเราปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ และกระทำสิ่งอันเป็นที่พอใจของพระองค์ 23 และข้อบัญญัติของพระเจ้าคือ เราควรเชื่อในพระนามของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และรักซึ่งกันและกันตามที่พระองค์ได้บัญญัติพวกเราไว้ 24 คนที่ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ก็ดำรงอยู่ในพระองค์ และพระองค์ดำรงอยู่ในผู้นั้น และเราทราบได้ว่าพระองค์ดำรงอยู่ในเรา ก็โดยพระวิญญาณที่พระองค์มอบให้แก่เรา
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation