Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
2 พงศ์กษัตริย์ 25

25 ฉะนั้นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนทรงกรีธาทัพหลวงมารบกับกรุงเยรูซาเล็มในวันที่สิบเดือนที่สิบของปีที่เก้าแห่งรัชกาลกษัตริย์เศเดคียาห์ พระองค์ทรงตั้งค่ายอยู่นอกเมืองแล้วสร้างเชิงเทินล้อมเมืองไว้ กรุงเยรูซาเล็มถูกล้อมอยู่จนถึงปีที่สิบเอ็ดแห่งรัชกาลเศเดคียาห์ เมื่อถึงวันที่เก้าของเดือนที่สี่[a]กรุงนี้ก็กันดารอาหารอย่างหนักจนไม่มีอาหารรับประทานเลย แล้วกำแพงเมืองก็ถูกพังลง ทั้งกองทัพก็หนีไปในเวลากลางคืน ผ่านประตูระหว่างกำแพงสองชั้นใกล้ราชอุทยาน แม้ว่าชาวบาบิโลนล้อมเมืองอยู่ พวกเขาหนีไปยังอาราบาห์[b] แต่กองทัพบาบิโลน[c]ไล่ล่ากษัตริย์ และมาทันพระองค์ในที่ราบเยรีโค ส่วนทหารทั้งปวงของเศเดคียาห์แตกหนีกันไปคนละทิศคนละทาง และพระองค์ทรงถูกจับกุม พระองค์ทรงถูกคุมตัวมาเข้าเฝ้ากษัตริย์บาบิโลนที่ริบลาห์และรับการตัดสินโทษ พวกเขาประหารบรรดาโอรสของเศเดคียาห์ต่อหน้าต่อตาพระองค์ แล้วควักพระเนตรของพระองค์ออกทั้งสองข้าง จองจำพระองค์ด้วยโซ่ตรวนทองสัมฤทธิ์ และคุมพระองค์ไปยังบาบิโลน

ในวันที่เจ็ดเดือนที่ห้าของปีที่สิบเก้าแห่งรัชกาลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ผู้เป็นข้าราชการของกษัตริย์บาบิโลนมายังกรุงเยรูซาเล็ม เขาจุดไฟเผาพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระราชวัง และบ้านเรือนทุกหลังในเยรูซาเล็ม รวมทั้งอาคารสำคัญทุกแห่ง 10 ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์สั่งการให้กองทัพบาบิโลนทั้งหมดทลายกำแพงรอบกรุงเยรูซาเล็ม 11 เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์กวาดต้อนผู้คนที่ยังอยู่ในกรุงนั้น ประชากรอื่นๆ ที่เหลือ และชาวยิวที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อกษัตริย์บาบิโลนไปเป็นเชลย 12 แต่ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้ทิ้งประชากรที่ยากจนข้นแค้นที่สุดบางคนไว้ให้ทำสวนองุ่นและทำไร่ไถนา

13 ชาวบาบิโลนทำลายเสาหานทองสัมฤทธิ์ทั้งสอง แท่นเคลื่อนที่ และขันสาครทองสัมฤทธิ์ที่พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า และนำทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดไปยังบาบิโลน 14 พวกเขายังได้นำหม้อ ทัพพี กรรไกรตัดไส้ตะเกียง จานชาม และเครื่องใช้ทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดที่ใช้ในพระวิหารไปด้วย 15 ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ยังได้ริบกระถางไฟเผาเครื่องหอมและอ่างประพรมทั้งหมดที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์หรือเงินไปด้วย

16 ทองสัมฤทธิ์ที่ได้จากเสาหานทั้งสองต้น ขันสาคร และแท่นเคลื่อนที่ซึ่งโซโลมอนทรงสร้างขึ้น เพื่อพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นมีปริมาณมากเกินกว่าที่จะชั่งน้ำหนักได้ 17 เสาแต่ละต้นสูง 18 ศอก[d] และมีข่ายทองสัมฤทธิ์สลับกับผลทับทิมทองสัมฤทธิ์ประดับรอบหัวเสายาว 3 ศอก[e]

18 ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้จับตัวเสไรอาห์หัวหน้าปุโรหิต เศฟันยาห์รองหัวหน้าปุโรหิต และนายประตูสามคนไว้ 19 เขาจับกุมผู้ที่ยังอยู่ในเมืองได้แก่ แม่ทัพ ราชมนตรีห้าคน ราชเลขาผู้เป็นหัวหน้ากองเกณฑ์พล และคนของเขาที่พบในเมืองอีกหกสิบคน 20 ผู้บัญชาการเนบูซาระดานได้นำตัวคนทั้งหมดนี้ไปเข้าเฝ้ากษัตริย์บาบิโลนที่ริบลาห์ 21 กษัตริย์ก็ให้ประหารคนเหล่านี้ที่ริบลาห์ในเขตฮามัท

ดังนั้นยูดาห์จึงตกเป็นเชลย ต้องถูกพรากจากดินแดนของตน

22 กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนทรงแต่งตั้งเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัมและเป็นหลานชาฟานให้ปกครองประชาชนที่เหลืออยู่ในยูดาห์ 23 เมื่อบรรดาเจ้าหน้าที่ของกองทัพกับพวกได้ข่าวว่ากษัตริย์บาบิโลนทรงแต่งตั้งเกดาลิยาห์เป็นผู้ว่าการ ก็พากันมาพบเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ได้แก่ อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ โยฮานันบุตรคาเรอาห์ เสไรอาห์บุตรทันหุเมทจากเนโทฟาห์และยาอาซันยาห์บุตรคนตระกูลมาอาคาห์กับคนของเขา 24 เกดาลิยาห์ยืนยันกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวเจ้าหน้าที่ของบาบิโลน จงตั้งรกรากในดินแดนและรับใช้กษัตริย์บาบิโลน แล้วทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี”

25 แต่อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์และเป็นหลานเอลีชามาซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่งไปยังมิสปาห์พร้อมคนอีกสิบคนในเดือนที่เจ็ด และได้สังหารเกดาลิยาห์กับชาวยูดาห์และชาวบาบิโลนที่อยู่ด้วย 26 แล้วประชากรทั้งหมดตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดจนถึงผู้ใหญ่ที่สุดพร้อมทั้งบรรดาเจ้าหน้าที่กองทัพ ก็หนีไปยังอียิปต์เพราะกลัวชาวบาบิโลน

เยโฮยาคีนได้รับการปลดปล่อย(A)

27 ในปีที่สามสิบเจ็ดของการที่กษัตริย์เยโฮยาคีนแห่งยูดาห์ตกเป็นเชลย ซึ่งเป็นปีที่เอวิลเมโรดัก[f] ขึ้นเป็นกษัตริย์บาบิโลน พระองค์ทรงปล่อยเยโฮยาคีนออกจากคุกในวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนที่สิบสอง 28 พระองค์ตรัสกับเยโฮยาคีนอย่างอ่อนโยน และให้ประทับนั่งในตำแหน่งที่มีเกียรติกว่ากษัตริย์อื่นๆ ที่ถูกจับมาเป็นเชลยในบาบิโลน 29 ฉะนั้นเยโฮยาคีนจึงได้ทรงถอดชุดนักโทษออก และได้ทรงร่วมโต๊ะเสวยกับกษัตริย์เป็นประจำตลอดพระชนม์ชีพ 30 กษัตริย์ยังได้ประทานเบี้ยเลี้ยงประจำวันแก่เยโฮยาคีนตลอดพระชนม์ชีพ

ฮีบรู 7

ปุโรหิตเมลคีเซเดค

เมลคีเซเดคผู้นี้ทรงเป็นกษัตริย์เมืองซาเลมและเป็นปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด พระองค์ได้ทรงพบอับราฮัมและให้พรเขาหลังจากเขากลับจากการรบชนะเหล่ากษัตริย์ อับราฮัมได้ถวายหนึ่งในสิบจากของทั้งหมดแด่เมลคีเซเดค ประการแรกพระนามเมลคีเซเดคมีความหมายว่า “กษัตริย์แห่งความชอบธรรม” และประการต่อมา “กษัตริย์แห่งซาเลม” ก็หมายถึง “กษัตริย์แห่งสันติสุข” ไม่มีบันทึกว่าใครเป็นบิดามารดา ไม่มีบันทึกลำดับวงศ์ตระกูล ไม่มีบันทึกวันเริ่มต้นหรือวันสิ้นสุดชีวิต เมลคีเซเดคทรงเป็นปุโรหิตตลอดกาลเหมือนพระบุตรของพระเจ้า

คิดดูเถิดเมลคีเซเดคทรงยิ่งใหญ่เพียงใด ที่แม้แต่อับราฮัมบรรพบุรุษของเรายังได้ถวายหนึ่งในสิบจากของที่ริบมาได้แด่พระองค์! บทบัญญัติระบุให้วงศ์วานเลวีผู้เป็นปุโรหิตนั้นรับสิบลดจากประชาชน นั่นคือจากพี่น้องของเขา ถึงแม้ว่าพี่น้องของเขาจะสืบเชื้อสายจากอับราฮัม ส่วนเมลคีเซเดคนี้ไม่ได้สืบเชื้อสายจากเลวี แต่ก็รับสิบลดจากอับราฮัมและอวยพรให้เขาผู้ได้รับพระสัญญา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ใหญ่ย่อมให้พรผู้น้อย ในกรณีหนึ่งผู้รับสิบลดเป็นมนุษย์ซึ่งต้องตาย ส่วนอีกกรณีหนึ่งผู้รับสิบลดคือผู้ที่ได้รับการประกาศว่าทรงพระชนม์อยู่ อาจกล่าวได้ว่าเลวีผู้รับสิบลดนั้นได้ถวายสิบลดผ่านทางอับราฮัม 10 เพราะเมื่อเมลคีเซเดคได้พบกับอับราฮัมนั้น เลวียังอยู่ในกายของอับราฮัมบรรพบุรุษของเขา

พระเยซูทรงเป็นเหมือนเมลคีเซเดค

11 หากมนุษย์มาถึงความครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเจ้าได้โดยทางระบอบปุโรหิตตามแบบของเลวีแล้ว (เพราะโดยพื้นฐานของระบอบนี้บทบัญญัติจึงมีมาถึงเหล่าประชากร) ทำไมยังต้องมีปุโรหิตอีกผู้หนึ่งซึ่งเป็นปุโรหิตตามแบบของเมลคีเซเดค ไม่ใช่ตามแบบของอาโรน? 12 เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระบอบปุโรหิตก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติด้วย 13 พระองค์ผู้ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้บ่งถึงนั้นมาจากตระกูลอื่น และไม่มีใครจากตระกูลนั้นเคยปรนนิบัติที่แท่นบูชา 14 เนื่องจากเห็นชัดเจนอยู่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงสืบสายจากตระกูลยูดาห์ ซึ่งเป็นตระกูลที่โมเสสไม่ได้กล่าวพาดพิงถึงเลยในเรื่องปุโรหิต 15 และสิ่งที่เราได้กล่าวนั้นจะเห็นชัดเจนยิ่งขึ้นถ้าปุโรหิตอีกผู้หนึ่งเฉกเช่นเมลคีเซเดคปรากฏขึ้น 16 ผู้ที่เป็นปุโรหิตโดยไม่ได้อาศัยกฎระเบียบการสืบทอดตามบรรพบุรุษของเขา แต่โดยอาศัยอานุภาพแห่งชีวิตซึ่งไม่อาจทำลายได้ 17 ตามที่ประกาศไว้ว่า

“ท่านเป็นปุโรหิตชั่วนิรันดร์
ตามแบบของเมลคีเซเดค”[a]

18 กฎระเบียบเดิมถูกล้มเลิกไปเนื่องจากไม่มีประสิทธิภาพและเปล่าประโยชน์ 19 (เพราะบทบัญญัติไม่ได้ทำให้สิ่งใดครบถ้วนสมบูรณ์ได้เลย) และมีการหยิบยื่นความหวังที่ดียิ่งกว่าซึ่งช่วยให้เราเข้าใกล้พระเจ้าได้

20 และพระเจ้าทรงยืนยันเรื่องนี้ด้วยคำสาบาน! ขณะที่คนอื่นๆ ขึ้นเป็นปุโรหิตโดยไม่มีคำสาบานใดๆ 21 แต่พระเยซูทรงขึ้นเป็นปุโรหิตด้วยคำสาบานเมื่อพระเจ้าตรัสกับพระองค์ว่า

“พระเจ้าได้ทรงปฏิญาณแล้ว
และจะไม่ทรงเปลี่ยนพระทัย คือ
‘ท่านเป็นปุโรหิตชั่วนิรันดร์’ ”

22 เพราะด้วยคำสาบานนี้พระเยซูจึงทรงเป็นผู้ค้ำประกันพันธสัญญาซึ่งดียิ่งกว่า

23 ปุโรหิตตระกูลเลวีนั้นต้องรับหน้าที่สืบทอดกันหลายคน เพราะความตายขัดขวางพวกเขาไม่ให้อยู่ในตำแหน่งนั้นตลอดไป 24 แต่เพราะพระเยซูทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์จึงทรงเป็นปุโรหิตถาวรนิรันดร์ 25 ฉะนั้นพระองค์จึงทรงสามารถช่วยบรรดาผู้ที่มาถึงพระเจ้าโดยทางพระองค์ได้อย่างสมบูรณ์[b] เพราะพระองค์ทรงพระชนม์อยู่เสมอเพื่อที่จะทูลวิงวอนเพื่อเขาทั้งหลาย

26 มหาปุโรหิตเช่นนี้แหละที่ตอบสนองความจำเป็นของเราได้ คือปุโรหิตผู้ทรงบริสุทธิ์ไร้ที่ติ ปราศจากมลทิน แยกจากคนบาป เป็นที่เทิดทูนเหนือฟ้าสวรรค์ 27 พระเยซูไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาทุกๆ วันเหมือนมหาปุโรหิตอื่นๆ ซึ่งตอนแรกต้องถวายเครื่องบูชาสำหรับบาปของตนเอง จากนั้นจึงถวายเครื่องบูชาสำหรับบาปของประชาชน พระเยซูทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาสำหรับบาปของเขาทั้งหลายเพียงครั้งเดียวเป็นพอ 28 บทบัญญัตินั้นแต่งตั้งมนุษย์ผู้อ่อนแอให้เป็นมหาปุโรหิต แต่คำปฏิญาณของพระเจ้าซึ่งมาภายหลังบทบัญญัติได้แต่งตั้งพระบุตรผู้ซึ่งทรงทำให้สมบูรณ์แล้วเป็นนิตย์

อาโมส 1

ถ้อยคำของอาโมส คนเลี้ยงแกะคนหนึ่งในเทโคอา สิ่งที่อาโมสได้เห็นเกี่ยวกับอิสราเอลสองปีก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหว เมื่อครั้งอุสซียาห์เป็นกษัตริย์ยูดาห์ และเยโรโบอัมบุตรเยโฮอาช[a]เป็นกษัตริย์อิสราเอล

อาโมสกล่าวว่า

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปล่งพระสุรเสียงกึกก้องจากศิโยน
ทรงเปล่งพระสุรเสียงจากเยรูซาเล็ม
แล้วทุ่งหญ้าของคนเลี้ยงแกะก็เหี่ยวเฉา[b]
และยอดเขาคารเมลก็เหี่ยวแห้งไป”

คำพิพากษาบรรดาเพื่อนบ้านของอิสราเอล

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากดามัสกัสทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะมันนวดกิเลอาดด้วยเลื่อน
ซึ่งมีฟันเป็นเหล็ก
เราจะส่งไฟมายังบ้านของฮาซาเอล
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของเบนฮาดัด
เราจะทลายประตูเมืองดามัสกัส
เราจะทำลายล้างกษัตริย์ซึ่งอยู่ใน[c]หุบเขาอาเวน[d]
และทำลายผู้ถือคทาในเบธเอเดน
ชาวอารัมจะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่เมืองคีร์”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากกาซาทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะเขากวาดต้อนคนทั้งชุมชนไปเป็นเชลย
และขายให้แก่เอโดม
เราจะส่งไฟมายังกำแพงเมืองกาซา
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของมัน
เราจะทำลายกษัตริย์แห่ง[e]อัชโดด
และทำลายผู้ถือคทาในอัชเคโลน
เราจะตวัดมือฟาดเอโครน
จวบจนชาวฟีลิสเตียคนสุดท้ายตายไป”
            พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนั้น

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากไทระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะเขาขายเชลยทั้งชุมชนให้แก่เอโดม
ไม่คำนึงถึงสัญญาไมตรีฉันพี่น้อง
10 เราจะส่งไฟมายังกำแพงเมืองไทระ
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของมัน”

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากเอโดมทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะเขาถือดาบตามล่าน้องชาย
โดยไม่ปรานี[f]
เพราะโทสะของเขาพลุ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา
และเกรี้ยวกราดไม่ได้หยุดหย่อน
12 เราจะส่งไฟมายังเทมาน
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของโบสราห์”

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากอัมโมนทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะเขาผ่าท้องหญิงมีครรภ์ในกิเลอาด
เพื่อขยายเขตแดน
14 เราจะส่งไฟลงมายังกำแพงเมืองรับบาห์
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของมัน
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องคะนองศึกในวันสงคราม
ท่ามกลางสายลมปั่นป่วนในวันที่มีพายุจัด
15 กษัตริย์[g]ของอัมโมนกับเหล่าข้าราชบริพาร
จะตกเป็นเชลย”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

สดุดี 144

(บทประพันธ์ของดาวิด)

144 ขอถวายสรรเสริญแด่พระยาห์เวห์ พระศิลาของข้าพเจ้า
ผู้ทรงฝึกมือของข้าพเจ้าให้ทำศึก
ฝึกนิ้วของข้าพเจ้าให้สู้รบ
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักและเป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า
เป็นที่มั่นและเป็นผู้ช่วยกู้ของข้าพเจ้า
เป็นโล่ของข้าพเจ้า ผู้ซึ่งข้าพเจ้าเข้าไปลี้ภัย
ผู้ทรงสยบชนชาติต่างๆ[a]ไว้ใต้อำนาจของข้าพเจ้า

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า มนุษย์เป็นใครเล่า พระองค์จึงทรงห่วงใยเขา?
บุตรของมนุษย์เป็นใครหนอ พระองค์จึงทรงคิดถึงเขา?
มนุษย์เป็นเพียงลมหายใจเฮือกเดียว
วันเวลาของเขาเหมือนเงาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงโน้มฟ้าสวรรค์ และเสด็จมา
ขอทรงแตะภูเขาเพื่อให้ควันพวยพุ่งขึ้น
ขอให้สายฟ้าและลูกธนูของพระองค์พุ่งเข้าใส่ศัตรูทั้งหลาย
ทำให้พวกเขาแตกกระเจิงไป
ขอทรงยื่นพระหัตถ์จากเบื้องสูงลงมาช่วยข้าพระองค์
ขอทรงปลดปล่อยข้าพระองค์และช่วยกู้ข้าพระองค์จากกระแสน้ำหลาก
จากเงื้อมมือของคนต่างด้าว
ผู้ซึ่งปากของเขามีแต่คำมุสา
ผู้ซึ่งมือขวาของเขามีแต่การหลอกลวง

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์จะร้องเพลงบทใหม่ถวายแด่พระองค์
ข้าพระองค์จะบรรเลงพิณสิบสายถวายแด่พระองค์
10 แด่เอกองค์ผู้ประทานชัยชนะแก่กษัตริย์ทั้งหลาย
ผู้ทรงช่วยกู้ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ให้รอดจากคมดาบ

11 ขอทรงปลดปล่อยและช่วยกู้ข้าพระองค์
จากเงื้อมมือของคนต่างด้าว
ผู้ซึ่งปากของเขามีแต่คำมุสา
ผู้ซึ่งมือขวาของเขามีแต่การหลอกลวง

12 แล้วบุตรชายของเราซึ่งอยู่ในวัยฉกรรจ์
จะเป็นเหมือนต้นไม้ซึ่งได้รับการหล่อเลี้ยงอย่างดี
เหล่าบุตรสาวเป็นดั่งเสาสลัก
เพื่อตกแต่งพระราชวัง
13 ยุ้งฉางของเราจะมีธัญญาหารทุกชนิด
เต็มบริบูรณ์
ฝูงแกะของเราจะเพิ่มขึ้น
นับพันนับหมื่นในทุ่งหญ้าของเรา
14 ฝูงวัวของเราจะมีลูกดก[b]
จะไม่มีการทำลายกำแพง
ไม่มีการตกเป็นเชลย
ไม่มีเสียงคร่ำครวญตามถนนหนทางของเรา
15 ความสุขมีแก่ชนชาติที่ได้รับพระพรเช่นนี้
ชนชาติที่มีพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าของ เขาก็เป็นสุข

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.