M’Cheyne Bible Reading Plan
ซาอูลต่อสู้ชาวฟีลิสเตีย
13 เมื่อซาอูลเป็นกษัตริย์ ท่านมีอายุ 30 ปี[a] และท่านปกครองอิสราเอลเป็นเวลา 42 ปี[b]
2 ซาอูลเลือกชายอิสราเอล 3,000 คน 2,000 คนให้อยู่กับท่านที่มิคมาชและในแถบภูเขาเบธเอล 1,000 คนอยู่กับโยนาธานที่กิเบอาห์ของเบนยามิน ส่วนชายอื่นๆ ท่านก็ให้กลับบ้านของตนไป 3 โยนาธานโจมตีด่านทหารชั้นนอกของฟีลิสเตียที่เก-บา และชาวฟีลิสเตียทราบเรื่อง ซาอูลให้คนเป่าแตรงอนทั่วแผ่นดิน[c] และกล่าวว่า “ให้ชาวฮีบรูได้ยิน” 4 อิสราเอลทั้งปวงได้ยินมาว่า ซาอูลได้โจมตีด่านทหารชั้นนอกของฟีลิสเตีย และชื่ออิสราเอลก็เหม็นสำหรับชาวฟีลิสเตีย และประชาชนก็ถูกเรียกให้ไปสมทบกับซาอูลที่กิลกาล
5 ชาวฟีลิสเตียประชุมกันเพื่อต่อสู้กับอิสราเอล มีรถศึก 30,000 คัน สารถี 6,000 คน และกองทัพมีจำนวนมากราวกับเม็ดทรายบนชายฝั่งทะเล พวกเขาขึ้นไปตั้งค่ายที่มิคมาช ทางตะวันออกของเบธอาเวน 6 เมื่อชายชาวอิสราเอลเห็นว่าตนอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดี (เพราะประชาชนถูกโจมตีอย่างหนัก) จึงได้หลบซ่อนอยู่ในถ้ำและในรู ในซอกหิน ในอุโมงค์ และในบ่อ 7 ชาวฮีบรูบางคนถึงกับข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดนกาดและกิเลอาด ซาอูลยังอยู่ที่กิลกาล และทหารทั้งหมดที่อยู่ด้วยกับท่านก็กลัวจนตัวสั่น
เครื่องสักการะของซาอูลผิดกฎ
8 ซาอูลคอยอยู่ 7 วันตามเวลาที่ซามูเอลกำหนดไว้ แต่ซามูเอลไม่ได้มาที่กิลกาล และทหารของซาอูลเริ่มระส่ำระสาย 9 ท่านจึงกล่าวว่า “เอาสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายและของถวายเพื่อสามัคคีธรรมมาให้เรา” และซาอูลก็มอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย 10 ทันทีที่ท่านมอบของถวายเสร็จ ซามูเอลก็มาถึง ซาอูลจึงออกไปทักทาย 11 ซามูเอลถามว่า “ท่านกระทำอะไรลงไป” ซาอูลตอบว่า “เมื่อเราเห็นว่าทหารระส่ำระสาย และท่านก็ไม่ได้มาตามเวลาที่กำหนดไว้ และชาวฟีลิสเตียก็ประชุมกันที่มิคมาช 12 เราจึงคิดว่า ‘คราวนี้ชาวฟีลิสเตียจะลงมาโจมตีเราที่กิลกาล และเรายังไม่ได้ขอให้พระผู้เป็นเจ้าช่วย’ เรารู้สึกว่าควรจะมอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย” 13 ซามูเอลพูดว่า “ท่านกระทำสิ่งที่โง่เขลา ท่านไม่ได้รักษาคำบัญชาที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านให้ท่านไว้ หากว่าท่านรักษาคำบัญชา พระองค์ก็จะสถาปนาอาณาจักรของท่านให้ปกครองอิสราเอลไปตลอดกาล 14 แต่บัดนี้อาณาจักรของท่านจะไม่มั่นคง พระผู้เป็นเจ้าหาชายคนหนึ่งผู้เป็นที่โปรดปรานของพระองค์ยิ่งนัก และได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้นำของชนชาติของพระองค์ เพราะท่านไม่ได้รักษาคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า” 15 จากนั้นซามูเอลก็ไปจากกิลกาล และขึ้นไปยังกิเบอาห์ของเบนยามิน
และซาอูลนับจำนวนทหารที่อยู่กับท่าน มีประมาณ 600 คน 16 ซาอูลและโยนาธานบุตรของท่าน และทหารที่ติดตามก็อยู่ที่กิเบอาห์ของเบนยามิน ขณะเดียวกับที่ชาวฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช 17 ทหารกองปล้นออกไปจากค่ายของฟีลิสเตียเป็น 3 กอง กองหนึ่งออกไปทางโอฟราห์บริเวณใกล้เคียงชูอัล 18 อีกกองไปทางเบธโฮโรน และกองที่สามไปทางชายแดนที่หันลงสู่หุบเขาเศโบอิมทางถิ่นทุรกันดาร
19 ในครั้งนั้นไม่มีช่างเหล็กทั่วแผ่นดินอิสราเอล เพราะชาวฟีลิสเตียพูดไว้ว่า “มิฉะนั้นพวกชาวฮีบรูจะตีดาบและหอกไว้ใช้” 20 ดังนั้นชาวอิสราเอลทุกคนจึงลงไปยังถิ่นของชาวฟีลิสเตียเพื่อให้คนลับใบมีดคันไถ จอบ ขวาน และเคียว 21 ค่าแรงสองส่วนสามเชเขลสำหรับลับใบมีดคันไถและจอบ และหนึ่งส่วนสามเชเขลสำหรับลับส้อมสามง่าม ขวาน และส้อมประตัก 22 ฉะนั้นในวันสู้รบ ทหารทุกคนที่อยู่กับซาอูลและโยนาธานไม่มีดาบหรือหอกติดมือ ซาอูลกับโยนาธานบุตรของท่านเท่านั้นที่มีอาวุธ 23 ส่วนทหารประจำด่านของฟีลิสเตียก็ออกไปยังทางข้ามที่เนินเขาที่มิคมาช
พระคุณที่มีต่ออิสราเอล
11 ข้าพเจ้าจึงถามว่า พระเจ้าทอดทิ้งชนชาติของพระองค์หรือ ไม่มีทางจะเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าเองก็เป็นชาวอิสราเอล เป็นผู้สืบเชื้อสายคนหนึ่งของอับราฮัม มาจากเผ่าเบนยามิน 2 พระองค์ทราบชนชาติของพระองค์ดีมาแต่แรกแล้วว่า พระองค์ไม่ทอดทิ้งพวกเขา ท่านไม่ทราบหรือว่า พระคัมภีร์ระบุถึงอะไรในข้อความที่เกี่ยวกับเอลียาห์ว่า ท่านติเตียนอิสราเอลเมื่ออ้อนวอนกับพระเจ้าว่า 3 “พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาได้ฆ่าบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระองค์ แท่นบูชาของพระองค์เขาก็ได้ทำลายเสีย เหลือแต่ข้าพเจ้าเพียงคนเดียว และพวกเขาก็หาทางกำจัดชีวิตของข้าพเจ้า”[a] 4 และพระเจ้าตอบเอลียาห์ว่าอย่างไร “เราได้ไว้ชีวิต 7,000 คนที่ไม่ได้ก้มกราบเทพเจ้าบาอัล”[b] 5 เช่นเดียวกันคือ ในเวลานี้มีผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่จำนวนหนึ่งที่ได้รับเลือกไว้โดยพระคุณ 6 แต่ถ้าเป็นไปโดยพระคุณ ก็ไม่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ มิฉะนั้นพระคุณก็ไม่ใช่พระคุณ
7 ถ้าเช่นนั้นจะเป็นอย่างไร ชนชาติอิสราเอลไม่ได้พบสิ่งที่ตนแสวงหา แต่ผู้ที่พระเจ้าเลือกไว้ กลับเป็นผู้ได้รับสิ่งนั้น ส่วนคนที่เหลือก็ถูกทำให้ใจแข็งกระด้างไป 8 ตามที่มีบันทึกไว้ว่า
“พระเจ้าได้ให้วิญญาณที่เงื่องหงอย
ตาที่มองไม่เห็น
และหูที่ไม่ได้ยิน
มาจนถึงทุกวันนี้” [c]
9 และดาวิดกล่าวว่า
“ให้งานเลี้ยงฉลองของพวกเขากลายเป็นบ่วงแร้วและกับดัก
เป็นเครื่องกีดขวางให้สะดุด และเป็นการคืนสนองแก่เขา
10 ให้ตาของเขามืดลงเพื่อให้มองไม่เห็น
และหลังโค้งค่อมตลอดกาล”[d]
11 ฉะนั้น ข้าพเจ้าถามอีกว่า พวกเขาสะดุดจนล้มคะมำลงหรือ ไม่มีทางจะเป็นเช่นนั้น แต่เป็นเพราะการกระทำผิดของพวกเขาเอง ความรอดพ้นจึงได้มายังบรรดาคนนอก เพื่อกระตุ้นให้พวกเขาอิจฉา 12 แต่ถ้าการกระทำผิดของพวกเขาเป็นเหตุให้โลกได้รับพระพรยิ่งใหญ่ และการสูญเสียของพวกเขาเป็นเหตุให้บรรดาคนนอกได้รับพระพรยิ่ง แล้วพระพรจะทวียิ่งขึ้นเพียงไร เมื่อรวบรวมพวกเขาได้จนครบบริบูรณ์
13 แต่ข้าพเจ้ากำลังพูดกับท่านผู้เป็นบรรดาคนนอก ตราบที่ข้าพเจ้าเป็นอัครทูตมายังบรรดาคนนอก ข้าพเจ้านับว่างานรับใช้ของข้าพเจ้าสำคัญมาก 14 เผื่อว่าข้าพเจ้าอาจจะกระตุ้นให้พี่น้องร่วมชาติกับข้าพเจ้าเกิดอิจฉาขึ้นมา และจะได้ช่วยพวกเขาบางคนให้รอดพ้นได้ 15 ถ้าการที่พระเจ้าไม่ยอมรับพวกเขา เป็นเหตุให้โลกคืนดีกับพระเจ้าได้ แล้วจะเป็นอย่างไร เมื่อพระเจ้ายอมรับพวกเขา ก็จะเป็นอย่างคนตายที่ได้ชีวิตกลับคืนมา 16 และถ้าแป้งนวดส่วนที่มอบให้เป็นผลแรกบริสุทธิ์ ทั้งก้อนก็บริสุทธิ์ด้วย[e] และถ้ารากบริสุทธิ์ กิ่งก้านก็บริสุทธิ์ด้วย
17 แต่ถ้าบางกิ่งถูกหัก และท่านที่เป็นต้นมะกอกป่าถูกต่อกิ่งเข้ากับต้น และได้รับน้ำเลี้ยงจากรากอันสมบูรณ์จากต้นมะกอกนั้น 18 ดังนั้น อย่าหยิ่งผยองกับกิ่งก้านเหล่านั้น ถ้าท่านหยิ่งผยองก็จงจำไว้ว่า ไม่ใช่ตัวท่านที่ค้ำจุนราก แต่เป็นรากที่ค้ำจุนท่าน 19 แล้วท่านก็จะพูดว่า “กิ่งก้านถูกหักออก เพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้ถูกต่อกิ่งเข้ากับต้น” 20 ถูกต้องทีเดียว เขาถูกหักออกเพราะความไม่เชื่อของเขา แต่ท่านยืนหยัดได้ด้วยความเชื่อของท่าน อย่าคิดยโสเลย แต่จงมีความเกรงกลัวเถิด 21 ด้วยว่าถ้าพระเจ้าไม่ได้เก็บกิ่งก้านเดิมของต้นไว้แล้ว พระองค์ก็จะไม่เก็บท่านไว้ด้วยเช่นกัน 22 ฉะนั้นจงดูความกรุณาและความเข้มงวดของพระเจ้า พระองค์เข้มงวดต่อผู้หลงผิด แต่สำหรับท่าน พระองค์มีความกรุณาต่อท่าน ถ้าท่านดำรงตนเพื่อรับความกรุณาจากพระองค์ต่อไป มิฉะนั้นท่านจะถูกตัดออกด้วย 23 พวกเขาด้วย ถ้าเขาหันมาเชื่อพระเจ้า ก็จะถูกต่อกิ่งเข้าไว้ เพราะพระเจ้าสามารถต่อกิ่งเข้าอีกได้ 24 เพราะถ้าท่านถูกตัดออกจากต้นมะกอกป่าที่เป็นต้นไม้ป่า และถูกต่อกิ่งเข้ากับต้นมะกอกบ้านซึ่งผิดธรรมชาติของมันแล้ว พวกกิ่งก้านที่ถูกตัดจากต้นมะกอกบ้านจะต่อเข้ากับต้นเดิมของมันเองได้ง่ายยิ่งกว่าเพียงไร
พระคุณที่มีต่อทุกคน
25 พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบถึงสิ่งลึกลับซับซ้อนนี้ ท่านจะได้ไม่คิดว่าท่านปัญญาดีเหลือเกิน ชนชาติอิสราเอลบางคนมีใจแข็งกระด้าง จนกว่าบรรดาคนนอกจะเข้าหาพระเจ้าตามจำนวนอย่างครบบริบูรณ์ 26 แล้วพวกอิสราเอลทั้งหมดจะรอดพ้น ตามที่มีบันทึกไว้ว่า
“องค์ผู้ช่วยปลดปล่อยจะมาจากศิโยน
พระองค์จะกำจัดความไร้คุณธรรมจากผู้สืบเชื้อสายของยาโคบ
27 นี่คือพันธสัญญาของเราที่ให้ไว้กับพวกเขา
เมื่อเราลบล้างบาปของเขาออก”[f]
28 เท่าที่เกี่ยวข้องกับข่าวประเสริฐแล้ว พวกเขาเป็นศัตรูก็เพื่อผลประโยชน์ของท่าน แต่เท่าที่เกี่ยวข้องกับการเลือกของพระเจ้าแล้ว พวกเขาเป็นที่รักได้ก็เพราะบรรพบุรุษ 29 ด้วยว่าพระเจ้าไม่เปลี่ยนใจในการมอบสิ่งใดๆ ให้ และในการเรียกผู้ใด 30 พวกท่านก็เหมือนกัน คือเมื่อก่อนท่านไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่เดี๋ยวนี้ท่านได้รับความเมตตาจากพระเจ้าเพราะความไม่เชื่อฟังของพวกเขา 31 ในเวลานี้ พวกเขาก็เช่นกันที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และเขาจะได้รับความเมตตาด้วย เพราะความเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อท่าน 32 ด้วยว่าพระเจ้าได้ให้คนทั้งปวงเป็นเหมือนนักโทษที่ถูกกักขังอันเนื่องมาจากการไม่เชื่อฟัง เพื่อว่าพระองค์จะได้แสดงความเมตตาแก่ทุกคนได้
33 โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้าลึกล้ำยิ่งนัก ข้อตัดสินของพระองค์ยากที่จะหยั่งถึงได้ และทางของพระองค์ยากที่จะเข้าใจได้
34 “ใครทราบความคิดของพระผู้เป็นเจ้าได้
หรือใครเป็นที่ปรึกษาของพระองค์”[g]
35 “หรือใครเคยให้อะไรแก่พระองค์
ที่พระองค์ควรให้ตอบแทนแก่เขา”[h]
36 ด้วยว่าทุกสิ่งมาจากพระองค์ โดยผ่านพระองค์ และเพื่อพระองค์ ขอพระบารมีจงมีแด่พระองค์ชั่วนิรันดร์กาลเถิด อาเมน
การตัดสินลงโทษบาบิโลน
50 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ถึงเรื่องบาบิโลนและแผ่นดินของชาวเคลเดียดังนี้
2 “จงประกาศในท่ามกลางบรรดาประชาชาติให้ทราบ
จงติดป้ายประกาศ
อย่านิ่งเฉย แต่จงพูดว่า
‘บาบิโลนถูกยึด
เทพเจ้าเบลเผชิญกับความอับอาย
เทพเจ้าเมโรดัคก็ตื่นตระหนก
รูปเคารพของบาบิโลนถูกทำให้เป็นที่น่าอับอาย
รูปเคารพตื่นตระหนก’
3 ประชาชาติหนึ่งจากทิศเหนือได้มาโจมตีบาบิโลน และจะทำให้แผ่นดินเป็นที่รกร้าง จะไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ ทั้งมนุษย์และสัตว์จะเตลิดหนีไป”
4 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ในครั้งนั้น และในเวลานั้น ประชาชนของอิสราเอลและยูดาห์จะพากันร้องไห้ และเขาทั้งหลายจะมาแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา 5 พวกเขาจะถามถึงทางไปยังศิโยน และมุ่งหน้าไปทางทิศนั้น พลางพูดว่า ‘มาเถิด ให้พวกเรากลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า เข้าร่วมพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์ที่จะไม่มีวันเลิกล้างอีก’
6 ชนชาติของเราเป็นแกะที่หลงหาย บรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะของพวกเขาได้นำพวกเขาให้หลงผิด ซึ่งทำให้หันกลับไปเตร่บนภูเขา พวกเขาระหกระเหินขึ้นลงบนภูเขาและเนินเขา จนลืมที่พักพิงของตน 7 ทุกคนที่พบพวกเขาก็โจมตีเขา บรรดาศัตรูของพวกเขาพูดว่า ‘พวกเราไม่ผิด เพราะพวกเขาได้กระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า องค์ผู้กอปรด้วยความชอบธรรม ผู้เป็นที่พักพิงของพวกเขา พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นความหวังของบรรพบุรุษของพวกเขา’
8 จงหนีออกไปจากบาบิโลน และออกไปจากแผ่นดินของชาวเคลเดีย และเป็นอย่างบรรดาแพะตัวผู้ที่รุดหน้าฝูงออกไป 9 ดูเถิด เราจะกระตุ้นให้บรรดาประชาชาติที่ยิ่งใหญ่ซึ่งร่วมกันมาจากดินแดนทางเหนือ และพวกเขาจะเรียงหน้ากันมาโจมตีและยึดบาบิโลน ลูกธนูของพวกเขาเป็นเหมือนนักรบผู้ชำนาญที่ไม่เคยพลาด 10 เคลเดียจะถูกปล้น ทุกคนที่ปล้นบาบิโลนจะได้จนพอใจ” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
11 “โอ พวกเจ้าปล้นสิ่งที่เป็นของชนชาติเรา
แม้เจ้าร่าเริงใจ แม้เจ้ายินดี
แม้เจ้าร่าเริงดั่งโคสาวในทุ่งหญ้า
และทำเสียงร้องเหมือนม้าตัวผู้สำหรับทำพันธุ์
12 เมืองอันเป็นเสมือนมารดาของเจ้าจะเป็นที่น่าอับอาย
และผู้ที่ตั้งครรภ์เจ้าจะถูกดูหมิ่น
ดูเถิด เมืองนั้นจะด้อยที่สุดในบรรดาประชาชาติ
จะเป็นถิ่นทุรกันดาร เป็นที่แห้งแล้ง และเป็นทะเลทราย
13 เป็นเพราะความโกรธเกรี้ยวของพระผู้เป็นเจ้า เมืองนั้นจะไม่มีผู้อาศัยอยู่
แต่จะเป็นที่รกร้างอย่างน่าตกใจ
ทุกคนที่ผ่านบาบิโลนไปก็จะหวาดผวา
และเหน็บแนมเพราะความวิบัติทั้งสิ้น
14 จงเรียงหน้ากันมาโจมตีให้รอบบาบิโลน
พวกเจ้าทุกคนที่โก่งคันธนู
จงยิงใส่บาบิโลนโดยไม่ยับยั้ง
เพราะเมืองนั้นได้กระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า
15 จงร้องตะโกนใส่บาบิโลนโดยรอบด้าน
เมืองที่ยอมจำนน
หอคอยของเมืองล้มแล้ว
กำแพงเมืองถล่มลง
ด้วยว่า นี่คือการแก้แค้นของพระผู้เป็นเจ้า
จงแก้แค้นพวกเขา
กระทำต่อพวกเขาเช่นเดียวกับที่พวกเขาได้กระทำต่อผู้อื่น
16 อย่าให้ผู้ใดหว่านเมล็ดในบาบิโลน
และอย่าให้ผู้ใดเก็บเกี่ยวในฤดูเก็บเกี่ยว
เพราะดาบของผู้กดขี่ข่มเหง
ทุกคนจะกลับไปยังชนชาติของตน
และทุกคนจะหนีไปยังแผ่นดินของตน
17 อิสราเอลเป็นแกะที่ถูกสิงโตไล่ล่า กษัตริย์แห่งอัสซีเรียเป็นคนแรกที่โจมตี และบัดนี้ คนสุดท้ายคือเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนที่แทะกระดูกพวกเขา” 18 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด เรากำลังจะนำการลงโทษมาสู่กษัตริย์แห่งบาบิโลนและแผ่นดินของเขา เช่นเดียวกับที่เราลงโทษกษัตริย์แห่งอัสซีเรียแล้ว 19 เราจะทำให้อิสราเอลคืนสู่ทุ่งหญ้าเดิมของเขา และเขาจะมีอาหารกินบนภูเขาคาร์เมลและในบาชาน และเขาจะอิ่มหนำจนพอใจบนเนินเขาของเอฟราอิมและกิเลอาด”
20 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “ในครั้งนั้น และในเวลานั้น จะมีการค้นหาความชั่วในอิสราเอลแต่จะไม่พบ และจะไม่พบบาปในยูดาห์เช่นกัน เพราะเราจะยกโทษให้แก่บรรดาผู้ที่เราไว้ชีวิตซึ่งมีเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง”
21 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
“จงขึ้นไปโจมตีแผ่นดินของเมราทาอิม
และโจมตีบรรดาผู้อยู่อาศัยของเปโขด
ฆ่าและถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า
และจงทำตามที่เราได้บัญชาเจ้า
22 เสียงสู้รบเป็นที่ได้ยินในแผ่นดิน
มีเสียงของความพินาศครั้งใหญ่
23 ค้อนที่ทุบทั่วทั้งโลกถูกกำราบ
และหักเป็นเสี่ยงๆ
บาบิโลนได้กลายเป็นที่น่าหวาดกลัว
ท่ามกลางประชาชาติทั้งปวงอะไรเช่นนี้
24 โอ บาบิโลนเอ๋ย เราได้วางกับดักเจ้า
และเจ้าก็ติดกับดักโดยไม่รู้ตัว
เจ้าถูกจับได้
เพราะเจ้าคัดค้านพระผู้เป็นเจ้า”
25 พระผู้เป็นเจ้าได้เปิดคลังอาวุธ
และนำอาวุธแห่งความขัดเคืองของพระองค์ออกมา
ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาผู้ยิ่งใหญ่มีสิ่งหนึ่งที่ต้องทำ
ในแผ่นดินของชาวเคลเดีย
26 จงมาจากสุดแดนไกลและโจมตีนางจากสุดมุมโลก
จงเปิดโรงสีของเมือง
สุมของที่ริบได้เหมือนสุมธัญพืชให้เป็นกองพะเนิน
และทำให้นางพินาศ
อย่าให้มีผู้ใดมีชีวิตเหลืออยู่เลย
27 ฆ่าโคหนุ่มทุกตัวของนาง
ให้พวกมันลงไปถูกประหาร
วิบัติจงเกิดแก่พวกมัน เพราะวันของมันมาถึงแล้ว
เป็นเวลาแห่งการลงโทษพวกมัน
28 เสียงของบรรดาผู้ลี้ภัยจากแผ่นดินบาบิโลน เพื่อประกาศในศิโยนถึงการแก้แค้นของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา แก้แค้นให้พระวิหารของพระองค์
29 “จงบอกนักธนูที่โจมตีบาบิโลน ทุกคนที่ง้างคันธนู ตั้งค่ายรอบเมือง อย่าปล่อยให้ผู้ใดหลบหนีไปได้ กระทำกลับคืนตามที่เมืองนั้นได้กระทำต่อผู้อื่น เพราะเมืองนั้นยโสและไม่ยอมเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า องค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอล 30 ฉะนั้น ชายหนุ่มของเมืองจะล้มตายที่ถนนหนทาง และทหารทั้งปวงจะถูกสังหารในวันนั้น” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
31 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้
“โอ ผู้หยิ่งยโสเอ๋ย ดูเถิด เราจะโจมตีเจ้า
เพราะวันของเจ้ามาถึงแล้ว
เป็นเวลาที่เราจะลงโทษเจ้า
32 ผู้หยิ่งยโสจะสะดุดและล้มลง
โดยไม่มีใครพยุงเขาให้ลุกขึ้น
และเราจะจุดไฟให้ลุกในเมืองต่างๆ ของเขา
และไฟจะเผาผลาญทุกสิ่งที่อยู่รอบข้าง”
33 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ว่า “ชาวอิสราเอลถูกกดขี่ข่มเหง ชาวยูดาห์ก็เช่นกัน บรรดาผู้ที่จับกุมตัวพวกเขาไปก็ได้กุมตัวไว้อย่างใกล้ชิด ไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป 34 ผู้ไถ่ของพวกเขาแข็งแกร่ง พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาคือพระนามของพระองค์ พระองค์จะปกป้องพวกเขาอย่างแน่นอน เพื่อพระองค์จะให้แผ่นดินโลกได้หยุดพัก แต่บรรดาผู้อาศัยอยู่ในบาบิโลนจะไม่ได้หยุดพัก”
35 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
“ดาบห้ำหั่นชาวเคลเดีย
ห้ำหั่นบรรดาผู้อาศัยอยู่ในบาบิโลน
และห้ำหั่นบรรดาผู้นำและผู้เรืองปัญญา
36 ดาบห้ำหั่นบรรดาผู้ทำนาย
เพื่อให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนโง่เขลา
ดาบห้ำหั่นบรรดานักรบ
เพื่อทำให้พวกเขาตกใจกลัว
37 ดาบห้ำหั่นม้าและรถม้าของบาบิโลน
และห้ำหั่นพวกทหารต่างชาติท่ามกลางเมือง
เพื่อพวกเขาจะได้กลายเป็นคนอ่อนแอเหมือนผู้หญิง
ดาบห้ำหั่นสมบัติทั้งหมดของเมืองด้วยการปล้น
38 ให้เมืองนั้นแห้งแล้ง
เนื่องจากแหล่งน้ำที่แห้งเหือด
เพราะเป็นแผ่นดินแห่งรูปเคารพ
พวกเขาลุ่มหลงในรูปบูชา
39 ฉะนั้น สัตว์ในทะเลทรายจะอยู่กับสุนัขป่าที่บาบิโลน รวมทั้งนกกระจอกเทศด้วย เมืองนั้นจะไม่มีประชาชนอีกต่อไป จะไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ทุกชั่วอายุคน” 40 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “เช่นเดียวกับเวลาที่พระเจ้าทำลายโสโดมและโกโมราห์และเมืองที่อยู่รอบข้าง จะไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ที่นั่น จะไม่มีบุตรมนุษย์คนใดเดินทางผ่านไปที่นั่นอีก
41 ดูเถิด ชนชาติหนึ่งกำลังมา
จากดินแดนทางเหนือ
ประชาชาติที่มีอำนาจชาติหนึ่งและมีกษัตริย์จำนวนมากกำลังเตรียมศึก
จากที่ไกลสุดของแผ่นดินโลก
42 พวกเขาหยิบคันธนูและหอก
เป็นพวกที่โหดร้ายปราศจากความเมตตา
เสียงของพวกเขาเป็นเหมือนเสียงทะเลครืนครั่น
ขี่ม้าราวกับคนที่พร้อมจะโจมตีเจ้า
โอ ธิดาแห่งบาบิโลนเอ๋ย
43 กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ยินเรื่องพวกเขา
และมือของเขาก็อ่อนปวกเปียก
ความหวาดหวั่นครอบงำเขา
และเจ็บปวดราวกับหญิงเจ็บครรภ์
44 ดูเถิด ผู้หนึ่งจะเป็นเหมือนสิงโตที่ขึ้นมาจากป่าที่ข้างแม่น้ำจอร์แดน มายังทุ่งอันเขียวชอุ่ม เราจะทำให้พวกเขาเตลิดหนีไปจากที่นั่นทันที และเราจะแต่งตั้งผู้ที่เราเลือกให้ปกครองชาตินั้น ใครจะเป็นเหมือนเรา ใครจะท้าทายเรา ไม่มีผู้เลี้ยงดูฝูงแกะคนใดที่จะขัดขวางเราได้” 45 ฉะนั้น จงฟังว่า พระผู้เป็นเจ้าได้วางแผนทำอย่างไรต่อบาบิโลน และพระองค์ประสงค์จะทำอย่างไรต่อแผ่นดินของชาวเคลเดีย แม้แต่พวกเด็กน้อยในฝูงก็จะถูกลากตัวไป พระองค์จะทำลายทุ่งหญ้าของพวกเขาอย่างแน่นอนก็เพราะพวกเขา 46 เมื่อบาบิโลนถูกยึด แผ่นดินโลกจะสั่นสะเทือน เสียงร้องของพวกเขาจะเป็นที่ได้ยินในบรรดาประชาชาติ
ร้องขอความช่วยเหลือและขอบคุณพระองค์
ของดาวิด
1 โอ พระผู้เป็นเจ้า ศิลาของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระองค์
อย่าปฏิเสธที่จะฟังข้าพเจ้า
เพราะหากว่าพระองค์เฉยเมยต่อข้าพเจ้าแล้ว
ข้าพเจ้าก็จะเป็นเหมือนคนที่ลงไปสู่หลุมลึกแห่งแดนคนตาย
2 โปรดฟังเสียงอ้อนวอนของข้าพเจ้า
ในยามร้องขอความช่วยเหลือ
ขณะที่ข้าพเจ้ายกมือขึ้น
สู่สถานที่บริสุทธิ์ของพระองค์
3 อย่าลากตัวข้าพเจ้าไปพร้อมกับพวกคนเลว
และหมู่คนชั่ว
ซึ่งได้แก่คนที่กล่าวถึงสันติภาพกับเพื่อนบ้านของตน
ทั้งๆ ที่จิตใจเลวทราม
4 ให้เขาได้รับผลตามสิ่งที่เขาปฏิบัติ
และการกระทำอันชั่วช้าของเขา
ให้เขาได้รับผลจากสิ่งที่มือของเขากระทำ
ให้เขาได้รับคืนตามสิ่งที่เขาได้กระทำ
5 เพราะพวกเขาไม่ได้ใส่ใจการงานของพระผู้เป็นเจ้า
หรืองานจากฝีมือของพระองค์
พระองค์จะทำให้พวกเขาล้มลง
และไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก
6 สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
เพราะพระองค์ได้ยินเสียงอ้อนวอนของข้าพเจ้า
7 พระผู้เป็นเจ้าเป็นพลังและเป็นโล่ของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์เป็นที่สุด
ดังนั้นเมื่อข้าพเจ้าได้รับความช่วยเหลือ ใจข้าพเจ้าจะยินดียิ่ง
และข้าพเจ้าขอขอบคุณพระองค์ด้วยบทเพลงของข้าพเจ้า
8 พระผู้เป็นเจ้าเป็นพลังแก่คนของพระองค์
และเป็นที่พึ่งพิงแห่งความรอดพ้นสำหรับผู้ได้รับการเจิมของพระองค์
9 โอ โปรดช่วยชนชาติของพระองค์ให้รอดพ้น และอวยพรผู้สืบมรดกของพระองค์
โปรดเป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ และทะนุถนอมพวกเขาไปชั่วนิรันดร์กาล
เสียงของพระเจ้าในลมพายุ
เพลงสดุดีของดาวิด
1 โอ บรรดาบุตรของพระเจ้า จงป่าวร้องให้พระผู้เป็นเจ้าเถิด
จงป่าวร้องว่า พระผู้เป็นเจ้าเพียบพร้อมด้วยพระบารมีและพลานุภาพ
2 จงป่าวร้องว่า พระนามของพระผู้เป็นเจ้าใหญ่ยิ่งนัก
กราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้าในความบริสุทธิ์ของพระองค์
3 เสียงพระผู้เป็นเจ้าก้องอยู่เหนือน้ำในทะเล
พระเจ้าแห่งพระบารมีเปล่งเสียงเป็นฟ้าร้อง
เสียงพระผู้เป็นเจ้าก้องอยู่เหนือน้ำในมหาสมุทร
4 เสียงพระผู้เป็นเจ้ากอปรด้วยฤทธานุภาพ
เสียงพระผู้เป็นเจ้ากอปรด้วยความยิ่งใหญ่
5 เสียงพระผู้เป็นเจ้าสามารถหักต้นซีดาร์
พระผู้เป็นเจ้าโค่นต้นซีดาร์แห่งเลบานอนลง[a]
6 พระองค์ทำให้ภูเขาเลบานอนลิงโลดราวกับลูกโคตัวผู้
และภูเขาสีรีออนกระโดดดั่งกระทิงหนุ่ม[b]
7 เสียงพระผู้เป็นเจ้าดังกระหึ่มออกไปดั่งเปลวไฟลุก
8 เสียงพระผู้เป็นเจ้าทำให้ถิ่นทุรกันดารสะเทือนเลื่อนลั่น
พระผู้เป็นเจ้าทำให้ถิ่นทุรกันดารคาเดชสั่นไหว
9 เสียงพระผู้เป็นเจ้าทำให้ต้นโอ๊กหมุนคว้าง
และทำให้ป่าไม้โล่งเตียน
และทุกคนร้องตะโกนในพระวิหารว่า “สรรเสริญพระเจ้า”
10 พระผู้เป็นเจ้าสถิตบนบัลลังก์เมื่อน้ำท่วม
พระผู้เป็นเจ้าสถิตบนบัลลังก์ฐานะกษัตริย์ตลอดกาล
11 พระผู้เป็นเจ้ามอบพละกำลังแก่คนของพระองค์
พระผู้เป็นเจ้ามอบสันติสุขเป็นพระพรแก่คนของพระองค์
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation