Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ปฐมกาล 30

30 เมื่อราเชลเห็นว่านางไม่สามารถให้กำเนิดบุตรแก่ยาโคบได้ ก็เกิดอิจฉาพี่สาว และนางพูดกับยาโคบว่า “ทำให้ฉันมีลูกด้วย มิฉะนั้นฉันจะตาย” ยาโคบเดือดดาลกับราเชล เขาจึงพูดว่า “เจ้าเห็นว่าเราเป็นพระเจ้าหรือ พระองค์นั่นแหละเป็นผู้ที่ทำให้เจ้าไม่มีลูก” นางพูดว่า “นี่บิลฮาห์หญิงรับใช้ของฉัน หลับนอนกับนางเถิด นางจะได้มีลูกให้ฉัน แม้ตัวฉันเองก็ยังจะมีลูกได้โดยผ่านนาง” ราเชลให้บิลฮาห์หญิงรับใช้ของนางไปเป็นภรรยาของเขา แล้วยาโคบก็ได้นางเป็นภรรยา บิลฮาห์ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายแก่เขา ราเชลพูดว่า “พระเจ้าได้ให้ความเป็นธรรมแก่ข้าพเจ้า พระองค์ได้ยินเสียงของฉันด้วย และให้ลูกชายคนหนึ่งแก่ฉัน” ฉะนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่า ดาน บิลฮาห์หญิงรับใช้ของราเชลตั้งครรภ์อีก และให้กำเนิดบุตรชายคนที่สอง ราเชลพูดว่า “ฉันสู้กับพี่สาวของฉันอย่างหนัก และก็สำเร็จด้วย” นางจึงตั้งชื่อลูกว่า นัฟทาลี

เมื่อเลอาห์เห็นว่านางหยุดมีบุตรแล้ว นางจึงให้ศิลปาห์หญิงรับใช้ของนางไปเป็นภรรยาของยาโคบ 10 แล้วศิลปาห์หญิงรับใช้ของเลอาห์ก็ให้กำเนิดบุตรชายแก่ยาโคบ 11 เลอาห์พูดว่า “โชคดีจริง” นางจึงตั้งชื่อเขาว่า กาด 12 ศิลปาห์หญิงรับใช้ของเลอาห์ให้กำเนิดบุตรชายคนที่สองแก่ยาโคบ 13 และเลอาห์พูดว่า “ฉันมีความสุข เพราะบรรดาผู้หญิงจะนับว่าฉันมีความสุขแล้ว” นางจึงตั้งชื่อเขาว่า อาเชอร์

14 ในฤดูเกี่ยวข้าวสาลี รูเบนเข้าไปในทุ่งและพบผลดูดาอิม[a] เขาจึงเก็บมาให้เลอาห์มารดาของตน และราเชลพูดกับเลอาห์ว่า “ขอผลดูดาอิมของลูกชายเธอให้ฉันกินบ้างได้ไหม” 15 แต่เลอาห์ตอบนางว่า “เธอแย่งสามีของฉันไปยังไม่พอ แล้วเธอจะแย่งผลดูดาอิมของลูกชายฉันไปอีกหรือ” ราเชลพูดว่า “เธอนอนกับยาโคบคืนนี้ก็ได้ ถ้าเธอให้ผลดูดาอิมของลูกชายเธอแก่ฉัน” 16 เมื่อยาโคบกลับมาจากทุ่งในเวลาเย็น เลอาห์ก็ออกไปพบเขา และพูดว่า “ท่านอยู่กับฉันในคืนนี้ เพราะฉันได้จ่ายค่าตัวท่านเป็นผลดูดาอิมของลูกชายฉัน” เขาจึงอยู่กับนางในคืนนั้น 17 และพระเจ้าได้ยินเลอาห์ นางจึงตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนที่ห้าแก่ยาโคบ 18 เลอาห์พูดว่า “พระเจ้าได้ให้รางวัลแก่ฉัน เพราะฉันให้หญิงรับใช้แก่สามีของฉัน” นางจึงตั้งชื่อเขาว่า อิสสาคาร์

19 เลอาห์ตั้งครรภ์อีก และนางให้กำเนิดบุตรชายคนที่หกแก่ยาโคบ 20 เลอาห์พูดว่า “พระเจ้าได้มอบของประทานที่ดีแก่ฉัน คราวนี้สามีฉันจะให้เกียรติฉัน เพราะฉันได้ให้กำเนิดลูกชาย 6 คนแก่เขา” นางจึงตั้งชื่อเขาว่า เศบูลุน 21 หลังจากนั้นนางให้กำเนิดบุตรหญิง และตั้งชื่อเธอว่า ดีนาห์

22 แล้วพระเจ้านึกถึงราเชล พระองค์ได้ยินนาง และเปิดครรภ์ของนาง 23 นางตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย นางพูดว่า “พระเจ้าได้กำจัดความอับอายของฉัน” 24 และนางตั้งชื่อเขาว่า โยเซฟ นางพูดว่า “ขอให้พระผู้เป็นเจ้าโปรดให้ฉันได้ลูกชายอีกคนเถิด”

ความเจริญก้าวหน้าของยาโคบ

25 เมื่อราเชลให้กำเนิดโยเซฟ ยาโคบพูดกับลาบันว่า “ให้ฉันไปเถิด ฉันจะได้ไปยังถิ่นฐานและแผ่นดินของบรรพบุรุษของฉัน 26 ให้ภรรยาและลูกไปกับฉันเถิด เพราะฉันรับใช้ลุงมาก็เพื่อพวกเขา ปล่อยให้ฉันไป ลุงเองก็ทราบดีว่าฉันรับใช้มามากเพียงไร” 27 แต่ลาบันพูดกับเขาว่า “ได้โปรดเถิด หากว่าฉันเป็นที่พอใจในสายตาของเจ้า ก็ช่วยอยู่ที่นี่ต่อไป ฉันรู้มาจากการทำนายว่า พระผู้เป็นเจ้าอวยพรฉันก็เพราะเจ้า 28 ตั้งค่าแรงเถิด แล้วฉันจะจ่ายให้” 29 ยาโคบพูดว่า “ลุงเองก็ทราบว่าฉันรับใช้ลุงอย่างไร และปศุสัตว์เพิ่มขึ้นมากแค่ไหนขณะอยู่ในการดูแลของฉัน 30 เพราะลุงมีสัตว์เพียงไม่กี่ตัวก่อนที่ฉันมา แล้วมันก็ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น และไม่ว่าฉันจะทำอะไรให้ที่ไหนพระผู้เป็นเจ้าก็ได้อวยพรลุง คราวนี้ฉันควรจะทำอะไรให้ครอบครัวของฉันเองบ้าง” 31 ลาบันพูดว่า “ฉันควรจะให้อะไรเจ้า” ยาโคบตอบว่า “ลุงไม่ต้องให้อะไรฉันเลย แต่มีข้อแม้คือ ฉันจะดูแลฝูงสัตว์ของลุงต่อไป ฉันจะเฝ้าให้ 32 แต่วันนี้ให้ฉันไปสำรวจฝูงแพะแกะของลุง คัดแกะทุกตัวที่มีจุดและด่าง และลูกแกะสีดำทุกตัว อีกทั้งแพะทุกตัวที่มีจุดและด่างออกจากฝูง สัตว์พวกนี้จะเป็นค่าจ้างของฉัน 33 ลุงจะทราบได้โดยง่ายว่าฉันซื่อสัตย์กับลุงหรือไม่ในภายหน้าคือ เมื่อลุงมาตรวจค่าจ้างของฉัน ถ้าฉันมีแพะที่ไม่มีจุดหรือด่าง หรือมีแกะที่ไม่มีสีดำติด ก็ถือว่าถูกขโมยมา” 34 ลาบันพูดว่า “ดี ตกลงทำตามที่เจ้าว่า” 35 แต่ในวันนั้นลาบันเองเป็นคนคัดแพะตัวผู้ที่เป็นลายและด่าง และแพะตัวเมียทุกตัวที่มีจุดและด่าง รวมทั้งทุกตัวที่มีแต้มขาว และลูกแกะสีดำทุกตัว แล้วสั่งให้บรรดาบุตรชายของเขาดูแล 36 เขาพาสัตว์ทั้งฝูงไปให้ไกลจากยาโคบ เดินทางไปเป็นระยะเวลา 3 วัน ขณะเดียวกันยาโคบก็ดูแลฝูงสัตว์ที่เหลือของลาบัน

37 แล้วยาโคบเอากิ่งไม้สดจากต้นพ๊อพลาร์ ต้นอัลมอนด์ และต้นเพลน แล้วเขาลอกเปลือกออกเป็นริ้ว เห็นเนื้อไม้เป็นเส้นสีขาว 38 เขาวางไม้ที่ลอกเปลือกแล้วไว้ตรงหน้าฝูงสัตว์ที่ลำธาร คือรางน้ำที่ฝูงสัตว์มากินน้ำ เพราะมันผสมพันธุ์กันเวลามากินน้ำ 39 พวกฝูงสัตว์ก็ผสมพันธุ์ตรงหน้ากิ่งไม้ ฉะนั้นสัตว์จึงได้ลูกที่เป็นลาย มีจุดและด่าง 40 ยาโคบแยกแกะโดยให้ฝูงแกะหันหน้าไปทางสัตว์ที่เป็นลายและสีดำทุกตัวในฝูงของลาบัน และเขาจัดฝูงสัตว์ออกต่างหากสำหรับตนเอง ไม่ได้ปะปนไว้กับฝูงสัตว์ของลาบัน 41 เวลาตัวที่แข็งแรงในฝูงกำลังผสมพันธุ์ ยาโคบก็วางกิ่งไม้ไว้ที่ลำธารตรงหน้าฝูงสัตว์ เพื่อให้มันผสมพันธุ์ในดงกิ่งไม้นั้น 42 แต่สำหรับตัวที่อ่อนแอในฝูง เขาไม่ได้วางกิ่งไม้ไว้ที่นั่น ดังนั้นตัวที่อ่อนแอเป็นของลาบัน ส่วนตัวที่แข็งแรงกว่าเป็นของยาโคบ 43 ฉะนั้นยาโคบจึงมั่งมียิ่งๆ ขึ้น และมีแพะแกะฝูงใหญ่ อูฐ ลา และผู้รับใช้ทั้งหญิงและชาย

มาระโก 1

ยอห์นประกาศข่าวประเสริฐ

การเริ่มต้นข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์[a]พระบุตรของพระเจ้า ตามที่บันทึกในฉบับอิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า

“ดูเถิด เราจะใช้ผู้ส่งข่าวของเราล่วงหน้าเจ้าไป
    เพื่อเตรียมทางของเจ้า[b]
เสียงของผู้ที่ร้องในถิ่นทุรกันดาร
‘จงเตรียมทางของพระผู้เป็นเจ้าให้พร้อม
    จงทำทางของพระองค์ให้ตรง’”[c]

ยอห์นผู้ให้บัพติศมา[d]ได้ปรากฏตัวในถิ่นทุรกันดาร ประกาศเรื่องบัพติศมาซึ่งเกิดจากการกลับใจ เพื่อจะได้รับการยกโทษบาป ผู้คนทั่วแคว้นยูเดียและชาวเยรูซาเล็มทุกคนต่างก็พากันไปหาท่าน พวกเขาสารภาพบาปและได้รับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน ยอห์นนุ่งห่มด้วยขนอูฐ คาดเอวด้วยหนังสัตว์ และท่านรับประทานตั๊กแตนและน้ำผึ้งป่า ท่านประกาศว่า “จะมีผู้ที่มาภายหลังข้าพเจ้า พระองค์มีอานุภาพยิ่งกว่าข้าพเจ้า แม้แต่เชือกผูกรองเท้าของพระองค์ ข้าพเจ้าก็มิบังควรที่จะก้มลงแก้ออก ข้าพเจ้าให้บัพติศมาแก่พวกท่านด้วยน้ำแล้ว แต่พระองค์จะให้บัพติศมาแก่พวกท่านด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”[e]

พระเยซูรับบัพติศมา พญามารยั่วยุ

เรื่องมีอยู่ว่า ในเวลานั้นพระเยซูมาจากเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลี และพระองค์รับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน 10 ทันทีที่พระองค์ขึ้นมาจากน้ำ ก็เห็นสวรรค์เปิดออกและพระวิญญาณในรูปลักษณ์ของนกพิราบลงมาอยู่เบื้องบนพระองค์ 11 มีเสียงจากสวรรค์ว่า “เจ้าเป็นบุตรที่รักของเรา เราพอใจในตัวเจ้ามาก”

12 ในทันใดนั้น พระวิญญาณดลใจให้พระองค์เข้าไปในถิ่นทุรกันดาร 13 พระองค์อยู่ในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 วันและถูกซาตาน[f]ยั่วยุ พระองค์อยู่ท่ามกลางสัตว์ป่า และเหล่าทูตสวรรค์[g]ได้มาปรนนิบัติพระองค์

สาวกกลุ่มแรกที่ติดตามพระเยซู

14 หลังจากที่ยอห์นถูกคุมขังแล้ว พระเยซูก็ไปยังแคว้นกาลิลีเพื่อประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า 15 พระองค์กล่าวว่า “ถึงเวลาแล้ว อาณาจักรของพระเจ้าใกล้จะมาถึงแล้ว จงกลับใจและเชื่อในข่าวประเสริฐ”

16 ขณะที่พระเยซูเดินเลียบไปตามทะเลสาบกาลิลี พระองค์เห็นซีโมนและอันดรูว์น้องชายของเขากำลังทอดแหอยู่ที่ทะเลสาบ ด้วยว่าทั้งสองเป็นชาวประมง 17 พระเยซูกล่าวกับเขาทั้งสองว่า “จงตามเรามาเถิด และเราจะสอนให้เจ้าเป็นชาวประมงที่นำฝูงชนมาหาเรา” 18 ทั้งสองจึงทิ้งแหและอวนเพื่อติดตามพระองค์ไปทันที 19 เมื่อเดินทางต่อมาได้อีกระยะหนึ่ง พระองค์ก็เห็นยากอบบุตรของเศเบดีกับยอห์นน้องชายของเขากำลังชุนแหและอวนอยู่ในเรือ 20 ทันทีที่พระองค์เรียกเขาทั้งสอง เขาก็ละเศเบดีผู้เป็นบิดาไว้ในเรือกับบรรดาคนรับจ้าง และติดตามพระองค์ไป

พระเยซูและชายที่วิญญาณร้ายสิง

21 พระองค์พร้อมด้วยเขาเหล่านั้นเข้าไปในเมืองคาเปอร์นาอุม และเมื่อถึงวันสะบาโต[h] พระองค์ก็เข้าไปในศาลาที่ประชุมเพื่อสั่งสอน 22 ผู้คนพากันอัศจรรย์ใจกับการสั่งสอนของพระองค์ เพราะพระองค์สั่งสอนพวกเขาดังเช่นผู้มีสิทธิอำนาจ ซึ่งไม่เหมือนบรรดาอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติ 23 ในเวลานั้นมีชายคนหนึ่งในศาลาที่ประชุมถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง เขาได้ร้องขึ้นว่า 24 “ท่านมายุ่งเกี่ยวอะไรกับพวกเรา พระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ ท่านมาเพื่อทำลายเราหรือ ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านคือใคร องค์ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า” 25 พระเยซูได้กล่าวห้ามว่า “จงเงียบเสีย และออกมาจากตัวเขา” 26 วิญญาณร้ายได้ทำให้เขาล้มลงชักและร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง ก่อนจะออกมาจากตัวเขา 27 และผู้คนก็พากันแปลกใจนักจึงถามกันว่า “นี่เป็นเรื่องอะไรกัน การสั่งสอนใหม่ที่ทรงไว้ซึ่งสิทธิอำนาจ ท่านสั่งได้ แม้กระทั่งพวกวิญญาณร้ายก็ยังเชื่อฟังคำสั่งของท่าน” 28 ในทันใดนั้น ข่าวเกี่ยวกับพระองค์ก็ได้แพร่ไปทุกแห่งหนทั่วแคว้นกาลิลีอย่างรวดเร็ว

รักษาผู้ป่วย

29 หลังจากที่พระเยซูและสาวกออกมาจากศาลาที่ประชุมแล้ว ก็ได้เข้าไปในบ้านของซีโมนและอันดรูว์ พร้อมกับยากอบและยอห์น 30 ขณะนั้นแม่ยายของซีโมนนอนป่วยเป็นไข้อยู่ พวกเขาจึงแจ้งเรื่องนางให้พระองค์ทราบทันที 31 พระองค์จึงได้ไปหานาง จับมือพยุงนางขึ้น แล้วไข้ก็หาย นางจึงรับใช้พระองค์และบรรดาสาวก

32 ในเย็นวันนั้นเมื่อตะวันตกดินแล้ว ผู้คนก็เริ่มพาบรรดาคนป่วยและคนที่มีมารสิงมาหาพระองค์ 33 และคนทั้งเมืองได้มาออกันอยู่ที่ประตู 34 แล้วพระองค์ได้รักษาคนจำนวนมากที่ป่วยด้วยโรคนานาชนิด อีกทั้งขับไล่มารจำนวนมากออกจากผู้คน พระองค์ไม่ให้พวกมารพูด เพราะมันรู้ว่าพระองค์เป็นใคร

พระเยซูประกาศทั่วแคว้นกาลิลี

35 ครั้นเวลาเช้ามืด พระองค์ลุกขึ้นและออกไปยังที่ร้างเพื่ออธิษฐาน 36 ซีโมนและพวกที่ไปด้วยก็พากันตามหาพระองค์ 37 เมื่อพวกเขาพบพระองค์จึงพูดว่า “ทุกคนกำลังตามหาพระองค์” 38 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “เราไปยังเมืองอื่นๆ ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงนี้กันเถิด เราจะได้ประกาศที่นั่นด้วย เพราะเรามาก็เพื่อการนั้น” 39 และพระองค์เข้าไปในศาลาที่ประชุมของพวกเขาทั่วทั้งแคว้นกาลิลี เพื่อประกาศและขับไล่พวกมารออกเสีย

ชายโรคเรื้อน

40 ชายโรคเรื้อนคนหนึ่งมาหาพระองค์ คุกเข่าลงขอร้องต่อหน้าว่า “ถ้าเป็นความต้องการของพระองค์แล้ว พระองค์สามารถรักษาข้าพเจ้าให้หายขาดจากโรคได้”[i] 41 พระองค์รู้สึกสงสารยิ่งนักจึงยื่นมือออกไปสัมผัสตัวเขาแล้วกล่าวว่า “เราต้องการอย่างนั้น จงหายเถิด” 42 ในทันใดนั้น โรคเรื้อนหายไปและเขาก็หายจากโรค

43 พระเยซูได้กำชับเขาและส่งเขากลับไปทันที 44 พระองค์กล่าวกับเขาว่า “จงระวังว่าเจ้าจะไม่บอกใครเลย แต่ขอให้ไปแสดงตนต่อปุโรหิต[j] และมอบสิ่งที่โมเสสได้สั่งไว้ เป็นการชำระตัวให้สะอาด เพื่อยืนยันแก่คนทั่วไป” 45 แต่เขากลับออกไปปล่อยข่าวนั้นตามใจชอบ ทำให้เรื่องราวแพร่ออกไปจนกระทั่งพระเยซูไม่สามารถเข้าไปในเมืองอย่างเปิดเผยได้ พระองค์จึงอยู่ในบริเวณที่ร้างห่างออกไป และผู้คนจากทุกแห่งหนก็มาหาพระองค์

เอสเธอร์ 6

กษัตริย์ให้เกียรติโมร์เดคัย

ในคืนวันนั้น กษัตริย์นอนไม่หลับ ท่านจึงสั่งให้นำหนังสือแห่งพงศาวดารมาอ่านให้ท่านฟัง เป็นบันทึกการกระทำอันน่าจดจำในรัชสมัยของท่าน และพบในบันทึกว่า โมร์เดคัยเป็นผู้แจ้งเรื่องที่ขันที 2 คนของกษัตริย์คือ บิกธานาและเทเรชผู้เฝ้าธรณีประตู พยายามปองร้ายกษัตริย์อาหสุเอรัส และกษัตริย์ถามว่า “โมร์เดคัยได้รับเกียรติหรือความดีความชอบในเรื่องนี้แล้วหรือยัง” พวกชายหนุ่มที่เฝ้ารับใช้ท่านตอบว่า “เขายังไม่เคยได้รับสิ่งใด” กษัตริย์ถามว่า “ใครอยู่ที่ลานตำหนัก” ส่วนฮามานเพิ่งเข้ามาถึงลานชั้นนอกของราชวัง เพื่อขอกษัตริย์เรื่องจะให้แขวนคอโมร์เดคัยที่ตะแลงแกง ซึ่งเขาเตรียมไว้ พวกชายหนุ่มจึงตอบว่า “ฮามานกำลังยืนอยู่ที่ลานนั่น” และกษัตริย์บอกว่า “ให้เขาเข้ามา” ดังนั้น ฮามานจึงเข้ามา และกษัตริย์ถามเขาว่า “ควรจะทำอย่างไรให้กับคนที่กษัตริย์พอใจจะยกย่อง” ฮามานนึกอยู่ในใจว่า “มีใครที่กษัตริย์พอใจจะยกย่องมากกว่าตัวฉัน” ฮามานจึงตอบกษัตริย์ว่า “สำหรับผู้นั้นที่กษัตริย์พอใจจะยกย่อง ขอให้นำเสื้อคลุมที่กษัตริย์เคยสวม และม้าที่กษัตริย์เคยขี่ และนำราชมงกุฎมาสวมบนศีรษะของผู้นั้น ขอให้มอบเสื้อคลุมและม้าแก่ผู้สูงศักดิ์มากที่สุดของกษัตริย์ และให้พวกเขาแต่งกายให้ผู้ที่กษัตริย์พอใจจะยกย่อง และให้พวกเขาขี่ม้านำท่านผู้นั้นไปตามถนนในเมือง และประกาศไปข้างหน้าท่านว่า ‘ผู้ที่กษัตริย์พอใจจะยกย่องย่อมได้รับการตอบแทนเช่นนี้’” 10 กษัตริย์จึงกล่าวกับฮามานว่า “จงรีบเอาเสื้อคลุมและม้า อย่างที่เจ้าพูด และปฏิบัติต่อโมร์เดคัยชาวยิวที่นั่งอยู่ที่ประตูราชวัง อย่าให้สิ่งใดขาดไปจากสิ่งที่เจ้าพูดไว้” 11 ดังนั้น ฮามานจึงเอาเสื้อคลุมและม้า และเขาแต่งตัวให้โมร์เดคัย และนำเขาไปตามถนนในเมือง ประกาศล่วงหน้าเขาว่า “ผู้ที่กษัตริย์พอใจจะยกย่องย่อมได้รับการตอบแทนเช่นนี้”

12 หลังจากนั้น โมร์เดคัยก็กลับไปที่ประตูราชวัง แต่ฮามานรีบกลับบ้านไป เขาเศร้าใจและใช้ผ้าคลุมศีรษะ 13 ฮามานเล่าให้เศเรชภรรยาของเขาและพวกเพื่อนๆ ฟังถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา บรรดาผู้ปรึกษาของเขากับเศเรชภรรยาบอกเขาว่า “ในเมื่อท่านเริ่มล้มลงต่อหน้าโมร์เดคัยผู้เป็นชนชาติยิว ท่านจะไม่มีวันชนะเขาแน่ แต่ท่านจะพินาศต่อหน้าต่อตาเขา”

เอสเธอร์เผยแผนการร้ายของฮามาน

14 ขณะที่พวกเขากำลังพูดอยู่กับฮามาน บรรดาขันทีของกษัตริย์ก็มาถึงและรีบนำฮามานไปงานเลี้ยงที่เอสเธอร์จัดเตรียม

โรม 1

การทักทายของเปาโล

ข้าพเจ้าเปาโลผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ได้รับเรียกให้เป็นอัครทูต และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐที่พระองค์ได้สัญญาไว้ล่วงหน้า ผ่านเหล่าผู้เผยคำกล่าวของพระองค์ในพระคัมภีร์อันบริสุทธิ์ เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ผู้มีเลือดเนื้อซึ่งมาจากเชื้อสายของดาวิด และโดยพระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ พระเจ้าได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นพระบุตรของพระองค์โดยฤทธานุภาพ คือให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พวกเราได้รับพระคุณและการเป็นอัครทูตโดยผ่านพระองค์ เพื่อนำผู้คนจากบรรดาคนนอก[a]ในทุกชาติให้มีความเชื่อและเชื่อฟัง เพื่อพระนามของพระองค์ และท่านก็รวมอยู่ในบรรดาผู้ที่พระเจ้าได้เรียก ให้เป็นคนของพระเยซูคริสต์ด้วย

เรียน ทุกท่านที่อยู่ในเมืองโรมที่พระเจ้ารักและเรียกให้เป็นผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า

ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า จงมีแก่ท่านทั้งหลายเถิด

คำอธิษฐานขอบพระคุณ

ประการแรก ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าสำหรับพวกท่านทุกคนโดยผ่านพระเยซูคริสต์ ทั้งนี้เพราะความเชื่อของท่านเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก ข้าพเจ้ารับใช้พระเจ้าด้วยชีวิตจิตใจในการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระบุตรของพระองค์ พระเจ้าเป็นพยานของข้าพเจ้าว่า เวลาอธิษฐาน ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านอยู่เสมอไม่ว่างเว้น 10 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า หากเป็นความประสงค์ของพระเจ้า ในที่สุด ข้าพเจ้าก็จะได้มีโอกาสมาเยี่ยมท่าน 11 ข้าพเจ้าอยากจะพบท่าน เพื่อจะได้นำของประทานจากพระวิญญาณมาให้ท่านบ้าง เพื่อให้ท่านได้รับการเสริมสร้าง 12 นั่นก็คือ ทั้งท่านและข้าพเจ้าจะได้ให้กำลังใจกันและกัน ด้วยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย 13 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่า ข้าพเจ้าเตรียมการหลายครั้งที่จะมาหาท่าน เพื่อจะได้เก็บเกี่ยวผลในหมู่ท่าน ดังที่ข้าพเจ้าได้กระทำในหมู่คนนอกอื่นๆ (แต่ถูกขัดขวางไม่ให้มาจนบัดนี้) 14 ข้าพเจ้าเป็นหนี้บุญคุณทั้งชาวกรีก[b]และทั้งที่ไม่ใช่กรีก รวมทั้งผู้มีสติปัญญาและผู้โง่เขลา 15 ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงกระตือรือร้นที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านที่อยู่ในเมืองโรมด้วย

16 ข้าพเจ้าไม่มีความละอายเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐเป็นอานุภาพของพระเจ้า ซึ่งให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอดพ้น สำหรับชาวยิวก่อน แล้วก็สำหรับชาวกรีก[c]ด้วย 17 ด้วยว่าข่าวประเสริฐชี้ให้เห็นว่า พระเจ้าให้มนุษย์มีความชอบธรรมได้อย่างไร นั่นก็คือ โดยการมีความเชื่อตั้งแต่ต้นจนจบ ตามที่มีบันทึกไว้ว่า “ผู้มีความชอบธรรมจะมีชีวิตได้โดยความเชื่อ”[d]

การลงโทษของพระเจ้า

18 พระเจ้าได้แสดงให้เห็นถึงการลงโทษที่มาจากสวรรค์ ต่อการกระทำที่ไร้คุณธรรมและความชั่วร้ายทุกอย่างของบรรดาผู้ยับยั้งความจริงด้วยความชั่วร้ายของเขา 19 เพราะสิ่งที่รู้ได้ในเรื่องของพระเจ้านั้น ก็ประจักษ์แจ้งในใจพวกเขาอยู่แล้ว เพราะพระเจ้าได้ทำให้ประจักษ์แจ้งแก่พวกเขา 20 นับตั้งแต่สร้างโลกมา คุณสมบัติต่างๆ ของพระองค์ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตา คือฤทธานุภาพอันเป็นนิรันดร์ และความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ก็เป็นที่เข้าใจและประจักษ์ชัดแจ้งได้จากสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่มีข้อแก้ตัว 21 เพราะถึงแม้ว่าพวกเขารู้จักพระเจ้า แต่ก็ไม่ได้เคารพเทิดทูนพระองค์ ให้สมกับที่พระองค์เป็นพระเจ้า และไม่ได้ขอบคุณพระองค์ แต่กลับกลายเป็นคนคิดในสิ่งไร้สาระ และความคิดอันโง่เขลาของเขาจึงมืดมนไป 22 เขาอ้างตนว่าเป็นผู้มีปัญญา เขาก็กลับกลายเป็นคนโง่เขลาไป 23 และได้เปลี่ยนพระบารมีของพระเจ้าผู้เป็นอมตะให้กลายเป็นรูปเคารพต่างๆ ซึ่งทำให้เหมือนลักษณะมนุษย์ที่ตายได้ นก และสัตว์ รวมทั้งสัตว์เลื้อยคลาน

24 ฉะนั้น พระเจ้าจึงได้ปล่อยให้พวกเขาตกอยู่ในสิ่งอันเป็นมลทินตามแรงกิเลสทางใจ ทำให้เขาก่อความอัปยศทางร่างกายต่อกันและกัน 25 พวกเขาเอาความจริงของพระเจ้าไปแลกกับความเท็จ เขานมัสการและรับใช้สรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นแทนผู้สร้างสรรพสิ่งผู้ได้รับการสรรเสริญตลอดกาล อาเมน

26 ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าปล่อยให้พวกเขาตกอยู่ในตัณหาอันน่าอับอาย แม้แต่บรรดาผู้หญิงของพวกเขาก็เปลี่ยนจากความสัมพันธ์ตามธรรมชาติให้ผิดธรรมชาติไป 27 ฝ่ายผู้ชายก็เช่นกัน คือได้ทิ้งความสัมพันธ์ตามธรรมชาติกับผู้หญิง และเร่าร้อนด้วยตัณหาต่อกัน พวกผู้ชายกระทำสิ่งที่น่าอับอายต่อผู้ชายด้วยกัน และได้รับผลคือการลงโทษสมกับการกระทำผิดของพวกเขา

28 ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อพวกเขาไม่เห็นว่า เป็นการสมควรที่จะยอมรับความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าอีกต่อไป พระเจ้าจึงปล่อยให้ความคิดอันเสื่อมศีลธรรมของพวกเขานำสู่การประพฤติที่ไม่สมควร 29 พวกเขาจึงมีแต่ความไม่ชอบธรรม ความชั่วร้าย ความโลภ และเสื่อมศีลธรรมสารพัด พวกเขาเต็มด้วยความอิจฉา ฆาตกรรม การวิวาท หลอกลวง การปองร้าย ช่างนินทา 30 การว่าร้าย เกลียดชังพระเจ้า สบประมาท เย่อหยิ่ง โอ้อวด ริวางแผนทำความชั่ว ไม่เชื่อฟังบิดามารดา 31 โง่เง่า ไร้ความเชื่อ ไร้ความรัก ไร้ความเมตตา 32 และแม้เขาจะรู้คำสั่งของพระเจ้าว่า พวกที่กระทำสิ่งเหล่านี้สมควรจะตาย เขากลับไม่เพียงแต่ประพฤติเท่านั้น แต่ยังเห็นดีกับคนอื่นที่ประพฤติเช่นนั้นด้วย

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation