Read the Gospels in 40 Days
พญามารผู้ยั่วยุท้าพระเยซู
4 ครั้นแล้ว พระวิญญาณได้นำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อพญามารจะได้ยั่วยุพระองค์[a] 2 หลังจากพระองค์อดอาหารเป็นเวลา 40 วัน 40 คืนแล้ว พระองค์จึงรู้สึกหิว 3 พญามารผู้ยั่วยุมาพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า ก็ทำให้ก้อนหินพวกนี้กลายเป็นขนมปังสิ” 4 แต่พระองค์กล่าวตอบว่า “มีบันทึกไว้ว่า
‘มนุษย์มิอาจยังชีพได้ด้วยขนมปังเพียงอย่างเดียว
แต่อยู่ได้ด้วยทุกถ้อยคำที่กล่าวจากปากของพระเจ้า’”[b]
5 แล้วพญามารก็นำพระองค์เข้าไปยังเมืองบริสุทธิ์ ให้พระองค์ยืนบนยอดสูงสุดของพระวิหาร 6 และพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า ก็กระโดดลงไปสิ เพราะมีบันทึกไว้ว่า
‘พระองค์จะสั่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์มาปกป้องท่าน’
และ
‘ทูตสวรรค์จะช่วยรับท่านไว้ในมือ
เพื่อว่าเท้าของท่านจะได้ไม่กระทบแม้หินสักก้อน’”[c]
7 พระเยซูกล่าวกับพญามารว่า “มีบันทึกไว้ด้วยว่า ‘อย่าลองดีกับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า’”[d] 8 พญามารจึงนำพระองค์ไปยังภูเขาสูงเพื่อให้ดูทุกอาณาจักรในโลกพร้อมกับความรุ่งเรือง 9 พญามารพูดกับพระองค์ว่า “เราจะยกสิ่งเหล่านี้ให้ท่านหากท่านก้มลงนมัสการเรา” 10 พระเยซูกล่าวกับพญามารว่า “ไปเสียให้พ้นเถิดซาตาน[e] เพราะมีบันทึกไว้ว่า
‘เจ้าจงกราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า
และรับใช้พระองค์เพียงผู้เดียว’”[f]
11 ครั้นแล้วพญามารก็จากพระเยซูไป และเหล่าทูตสวรรค์ได้มาปรนนิบัติพระองค์
พระเยซูเริ่มประกาศ
12 เมื่อพระเยซูได้ยินว่ายอห์นถูกจับกุม พระองค์ก็เดินทางไปยังแคว้นกาลิลี 13 เมื่อพระองค์เดินทางออกจากเมืองนาซาเร็ธก็ได้ไปอาศัยอยู่ที่เมืองคาเปอร์นาอุม ซึ่งอยู่ริมทะเลสาบในเขตแดนของเผ่าเศบูลุนและนัฟทาลี 14 ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามที่ได้กล่าวไว้โดยผ่านอิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า
15 “เขตแดนของเผ่าเศบูลุน
และเขตแดนของเผ่านัฟทาลี
ตามทางข้างทะเลโพ้นแม่น้ำจอร์แดน
คือกาลิลีของบรรดาคนนอก[g]
16 ผู้คนที่อาศัยอยู่ในความมืด
ได้เห็นความสว่างอันยิ่งใหญ่
ผู้ที่นั่งอยู่ในดินแดนของเงาแห่งความตาย
ได้รับความสว่างที่สาดส่องมาถึงแล้ว”[h]
17 ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูก็เริ่มประกาศว่า “จงกลับใจ เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์ใกล้จะมาถึงแล้ว”
สาวกกลุ่มแรกติดตามพระเยซู
18 พระเยซูเดินเลียบไปตามทะเลสาบกาลิลี พระองค์เห็นพี่น้องสองคน คือซีโมนซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าเปโตร และอันดรูว์น้องชายกำลังทอดแหอยู่ที่ทะเลสาบ ด้วยว่าทั้งสองเป็นชาวประมง 19 พระองค์กล่าวกับเขาทั้งสองว่า “จงตามเรามาเถิด และเราจะสอนให้เจ้าเป็นชาวประมงที่นำฝูงชนมาหาเรา” 20 ทั้งสองจึงทิ้งแหและอวนเพื่อติดตามพระองค์ไปทันที 21 ขณะที่เดินต่อไป พระองค์เห็นพี่น้องอีกสองคน คือยากอบบุตรของเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขาอยู่ในเรือกับเศเบดีบิดาของเขากำลังชุนแหและอวนอยู่ พระองค์จึงเรียกเขา 22 เขาทั้งสองก็ละจากเรือและบิดาเพื่อติดตามพระองค์ไปทันที
การปฏิบัติงานของพระเยซู
23 พระเยซูสั่งสอนตามศาลาที่ประชุมทั่วทั้งแคว้นกาลิลี เพื่อประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และพระองค์รักษาผู้คนให้หายขาดจากโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิด 24 ข่าวเกี่ยวกับพระองค์แพร่ไปทั่วแคว้นซีเรีย มีผู้คนพาคนป่วยมาหาพระองค์ คนเหล่านั้นป่วยด้วยโรคนานาชนิด เช่น คนที่ทนทุกข์ทรมาน คนที่มีมารสิง คนที่เป็นโรคลมชักและคนง่อย แล้วพระองค์ก็รักษาพวกเขาให้หายขาดจากโรค 25 ฝูงชนจำนวนมากติดตามพระองค์จากแคว้นกาลิลี แคว้นทศบุรี เมืองเยรูซาเล็ม แคว้นยูเดีย และจากอีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน
หนทางที่นำไปสู่ความสุข
5 เมื่อพระองค์เห็นฝูงชนแล้วก็ขึ้นไปบนภูเขา และเมื่อนั่งลงแล้วเหล่าสาวกจึงมาหาพระองค์ 2 พระองค์เริ่มกล่าวสั่งสอนพวกเขาว่า
3 “ผู้ที่ยอมรับว่าตนบกพร่อง[i]ฝ่ายวิญญาณจะเป็นสุข
เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา
4 ผู้ที่เศร้าโศกจะเป็นสุข
เพราะว่าพระเจ้าจะปลอบประโลมเขา
5 ผู้มีใจอ่อนน้อมจะเป็นสุข
เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดกจากพระเจ้า
6 ผู้ที่หิวกระหายความชอบธรรมจะเป็นสุข
เพราะเขาจะอิ่มหนำ
7 ผู้มีความเมตตาจะเป็นสุข
เพราะเขาจะได้รับความเมตตา
8 ผู้มีใจบริสุทธิ์จะเป็นสุข
เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า
9 ผู้สร้างสันติจะเป็นสุข
เพราะพระเจ้าจะเรียกเขาว่า บรรดาบุตรของพระองค์
10 ผู้ที่ถูกข่มเหงเพราะเห็นแก่การกระทำที่เป็นไปตามความชอบธรรมจะเป็นสุข
เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา
11 พวกท่านที่ถูกเหยียดหยาม ถูกข่มเหง และถูกกล่าวหาว่าร้ายเหตุเพราะเรา ท่านก็จะเป็นสุข 12 จงชื่นชมยินดีและดีใจเถิด เพราะรางวัลอันเลิศของท่านอยู่ในสวรรค์ เพราะว่าพวกเขาได้ข่มเหงผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าที่มาล่วงหน้าท่านด้วยวิธีเดียวกัน
เกลือและแสงสว่าง
13 พวกท่านเป็นเสมือนเกลือของแผ่นดินโลก แต่ถ้าเกลือสิ้นความเค็มแล้ว จะกลับมาเค็มอีกได้อย่างไร ในเมื่อหมดประโยชน์แล้ว รังแต่จะถูกทิ้งและถูกคนเหยียบย่ำ
14 ท่านเป็นเสมือนแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนเขาไม่อาจปกปิดซ่อนเร้นไว้ได้ 15 คนที่จุดตะเกียงก็เช่นกัน จะไม่วางไว้ใต้ภาชนะ แต่จะตั้งไว้บนขาตั้งตะเกียงให้แสงส่องถึงทุกคนที่อยู่ในบ้าน 16 จงให้แสงสว่างของท่านส่องให้คนทั้งปวงเห็น เพื่อเขาจะได้เห็นการกระทำที่ดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านในสวรรค์
สิ่งที่เกี่ยวกับกฎบัญญัติ
17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างกฎบัญญัติหรือคำสั่งสอนของผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า เรามิได้มาเพื่อล้มล้างสิ่งเหล่านั้น แต่เพื่อเป็นไปตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ 18 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ตราบที่สวรรค์และโลกคงอยู่ แม้แต่ตัวหนังสือเล็กสุดหรือจุดๆ หนึ่งจะไม่ถูกตัดออกไปจากกฎบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งที่บันทึกไว้จะสัมฤทธิผล 19 ฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่ฝ่าฝืนพระบัญญัติข้อเล็กน้อย ข้อหนึ่งข้อใดและสอนผู้อื่นให้ทำตามด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้น้อยที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามและสอนพระบัญญัติ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรแห่งสวรรค์ 20 เราขอบอกท่านว่า ถ้าการกระทำของท่านที่เป็นไปตามความชอบธรรมไม่เหนือไปกว่าของพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสีแล้ว ท่านจะไม่มีวันเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ได้
21 พวกท่านได้ยินคำที่กล่าวไว้กับคนในสมัยโบราณว่า ‘อย่าฆ่าคน[j] ผู้ใดที่ฆ่าคนก็จะถูกพิพากษาลงโทษ’ 22 แต่เราขอบอกท่านว่า ทุกคนที่โกรธพี่น้องของตนจะถูกพิพากษาลงโทษ และผู้ที่กล่าวกับพี่น้องของตนว่า ‘เจ้าคนไร้ค่า’ ก็จะถูกพิพากษาที่ศาสนสภา[k] และผู้ที่กล่าวว่า ‘เจ้าคนโง่’ ก็จะมีโทษพอที่จะตกลงสู่ไฟนรก 23 ฉะนั้นถ้าท่านถวายเครื่องบูชาที่แท่นบูชา และท่านระลึกขึ้นได้ ณ ที่นั้นว่า พี่น้องคนหนึ่งมีเรื่องขัดเคืองต่อท่าน 24 ก็จงวางเครื่องบูชาของท่านไว้ที่แท่นบูชา และกลับไปคืนดีกับพี่น้องของท่านก่อน แล้วจึงค่อยย้อนกลับมาถวายเครื่องบูชา 25 จงตกลงกับโจทก์ของท่านระหว่างทางโดยเร็ว เพื่อว่าเขาจะได้ไม่ส่งตัวท่านให้กับผู้พิพากษา และผู้พิพากษาส่งต่อให้ผู้คุมและโยนท่านเข้าคุก 26 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้จนกว่าท่านจะจ่ายเงินเหรียญสุดท้ายเสียก่อน
27 ท่านได้ยินคำที่กล่าวไว้ว่า ‘อย่าผิดประเวณี’[l] 28 แต่เราขอบอกท่านว่า ทุกคนที่มองผู้หญิงด้วยกามกิเลสก็นับว่าผิดประเวณีทางใจกับเธอแล้ว 29 และถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป ก็จงควักทิ้งเสีย เพราะให้ส่วนหนึ่งของร่างกายของท่านเสียไป ก็ยังจะดีกว่าให้ทั้งกายของท่านถูกโยนลงนรก 30 และถ้ามือขวาเป็นเหตุให้ท่านทำบาปก็จงตัดมือทิ้งเสีย เพราะให้ส่วนหนึ่งของร่างกายของท่านเสียไป ก็ยังจะดีกว่าให้ทั้งกายของท่านถูกโยนลงนรก
31 มีคำที่กล่าวไว้ว่า ‘ผู้ใดที่หย่าร้างจากภรรยาของตน จำต้องให้เธอมีใบหย่าร้าง’[m] 32 แต่เราขอกล่าวกับท่านว่า ทุกคนที่หย่าร้างจากภรรยาของตน ย่อมเป็นเหตุให้เธอผิดประเวณี นอกจากว่าเธอเป็นผู้ประพฤติผิดทางเพศก่อน และผู้ที่สมรสกับหญิงที่หย่าร้างแล้วก็เป็นผู้ผิดประเวณี
33 พวกท่านได้ยินคำที่กล่าวไว้กับคนในสมัยโบราณอีกว่า ‘อย่าเสียคำมั่นสัญญา แต่จงทำตามที่ได้สัญญาไว้กับพระผู้เป็นเจ้า’ 34 แต่เราขอบอกท่านว่า อย่าสบถสาบานเลย แม้ว่าจะเป็นการสาบานต่อสวรรค์ เพราะว่าสวรรค์เป็นบัลลังก์ของพระเจ้า 35 หรือแม้แต่สาบานต่อแผ่นดินโลก เพราะว่าโลกเป็นที่วางเท้าของพระองค์ หรือการสาบานต่อเมืองเยรูซาเล็ม เพราะว่าเยรูซาเล็มเป็นเมืองของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ 36 หรือสาบานต่อศีรษะของท่าน เพราะว่าท่านไม่สามารถกำหนดผมเส้นหนึ่งให้ขาวหรือดำได้ 37 แต่จงให้สิ่งที่ท่านพูดเป็นเพียง ใช่ก็ว่าใช่ ไม่ก็ว่าไม่ และสิ่งใดที่เกินกว่านี้มาจากมารร้ายทั้งนั้น
38 ท่านได้ยินคำที่กล่าวไว้ว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’[n] 39 แต่เราขอบอกท่านว่า อย่าแก้แค้นคนประพฤติชั่ว ถ้าใครตบแก้มขวาของท่าน ท่านก็จงหันให้เขาตบอีกข้างด้วย 40 ถ้ามีคนต้องการเรียกร้องเอาเงินจากท่าน แล้วเอาเสื้อตัวในของท่านไป ท่านก็จงให้เขาเอาเสื้อตัวนอกไปด้วย 41 ใครก็ตามที่บังคับให้ท่านเดินไปไกล 1 กิโลเมตร ท่านก็จงไปกับเขา 2 กิโลเมตร 42 จงให้แก่คนที่ขอจากท่าน และอย่าหนีหน้าไปจากคนที่ต้องการขอยืมจากท่าน
43 ท่านได้ยินคำที่กล่าวไว้ว่า ‘จงรักเพื่อนบ้านของเจ้า[o] และเกลียดชังศัตรูของเจ้า’ 44 แต่เราขอบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และอธิษฐานให้บรรดาคนที่กดขี่ข่มเหงท่าน 45 เพื่อว่าท่านจะได้เป็นบรรดาบุตรของพระบิดาในสวรรค์ของท่าน เพราะว่าพระองค์เป็นผู้ที่ให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องยังคนชั่วและคนดี และโปรดให้ฝนโปรยลงบนคนที่มีความชอบธรรมและคนที่ไม่มีความชอบธรรม 46 ถ้าหากว่าท่านรักบรรดาผู้ที่รักท่าน แล้วท่านจะได้รางวัลอะไรเล่า พวกคนเก็บภาษีมิได้ทำเช่นนั้นด้วยหรือ 47 ถ้าท่านพูดทักทายกับพี่น้องของท่านเท่านั้น ท่านทำอะไรเกินกว่าคนอื่นๆ เล่า แม้แต่บรรดาคนนอกก็ยังทำอย่างนั้นมิใช่หรือ 48 ฉะนั้นท่านจงเป็นคนดีเพียบพร้อมทุกประการ เช่นเดียวกับพระบิดาในสวรรค์ของท่านที่ดีเพียบพร้อมทุกประการ
การให้ทานสงเคราะห์
6 จงระวัง อย่าทำดีต่อหน้าผู้คนเพื่อหวังให้เขาเห็นว่าท่านมีความชอบธรรม เพราะถ้าทำอย่างนั้น ท่านจะไม่ได้รับรางวัลจากพระบิดาของท่านผู้อยู่ในสวรรค์
2 ฉะนั้น เมื่อท่านให้ทานสงเคราะห์ ก็อย่าเป่าแตรนำหน้าไปอย่างเช่นพวกหน้าไหว้หลังหลอกกระทำกันในศาลาที่ประชุมและตามถนนเพื่อรับการเยินยอจากคน เราขอบอกความจริงกับท่านว่า พวกเขาได้รับรางวัลเต็มที่แล้ว 3 เมื่อท่านให้ทานสงเคราะห์ ก็อย่าให้มือซ้ายรู้ว่ามือขวาทำอะไร 4 เพื่อว่าทานสงเคราะห์จะได้เป็นทานลับ และพระบิดาผู้เห็นสิ่งที่ท่านทำเป็นการลับก็จะให้รางวัลแก่ท่าน
การอธิษฐาน
5 เวลาที่ท่านอธิษฐาน ก็อย่าเป็นเช่นพวกหน้าไหว้หลังหลอก เพราะเขาเหล่านั้นชอบยืนอธิษฐานในศาลาที่ประชุมและตามมุมถนนเพื่อให้ผู้คนเห็น เราขอบอกความจริงกับท่านว่า พวกเขาได้รับรางวัลเต็มที่แล้ว 6 แต่ท่านเอง เวลาอธิษฐานก็จงอยู่ในห้องชั้นใน ปิดประตูแล้วอธิษฐานต่อพระบิดาของท่าน ซึ่งเรามองไม่เห็น แล้วพระบิดาผู้เห็นสิ่งที่ท่านทำเป็นการลับจะให้รางวัลแก่ท่าน
7 เวลาที่ท่านอธิษฐาน ก็อย่าใช้คำพูดยืดยาวที่ไม่มีความหมายดังเช่นบรรดาคนนอกกระทำกัน เพราะเขาเหล่านั้นคิดว่าคำอธิษฐานอันยืดยาวจะเป็นที่ได้ยิน 8 ฉะนั้นอย่าเป็นเช่นพวกเขา เพราะพระบิดาทราบว่าท่านมีความจำเป็นในสิ่งใด ก่อนที่ท่านจะขอจากพระองค์
9 ฉะนั้น จงอธิษฐานดังนี้
‘ข้าแต่พระบิดาของเราในสวรรค์
ขอพระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ
10 ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาสถิตเถิด
ขอให้ความประสงค์ของพระองค์
ลุล่วงบนแผ่นดินโลกดังที่เป็นไปในสวรรค์
11 ขอพระองค์ให้อาหารประจำวันแก่พวกเราในวันนี้
12 ขอพระองค์ยกโทษการกระทำผิดทั้งปวงให้แก่พวกเรา
ด้วยว่าพวกเรายกโทษให้แก่ทุกคนที่กระทำผิดต่อเรา
13 ขอพระองค์นำเราไปให้พ้นจากสิ่งยั่วยุ
และช่วยพวกเราให้พ้นจากมารร้าย’[p]
14 ถ้าหากว่าพวกท่านยกโทษบาปให้แก่มนุษย์แล้ว พระบิดาในสวรรค์ของท่านก็จะยกโทษบาปให้แก่พวกท่านด้วย 15 แต่ถ้าท่านไม่ยกโทษบาปให้แก่มนุษย์ พระบิดาก็จะไม่ยกโทษบาปของท่านเช่นกัน
การอดอาหาร
16 เวลาที่ท่านอดอาหาร ก็อย่าทำหน้าเศร้าหมองดังเช่นที่พวกหน้าไหว้หลังหลอกกระทำกัน เพราะว่าเขาเหล่านั้นแสร้งทำสีหน้าให้คนเห็นว่ากำลังอดอาหารอยู่ เราขอบอกความจริงกับท่านว่า พวกเขาได้รับรางวัลเต็มที่แล้ว 17 แต่ท่านเอง เวลาที่อดอาหารก็จงใส่น้ำมันบนศีรษะของท่าน และล้างหน้าเสีย 18 เพื่อว่าคนจะได้ไม่เห็นว่าท่านกำลังอดอาหารอยู่ แต่เป็นเพียงพระบิดาของท่าน ซึ่งเรามองไม่เห็น แล้วพระบิดาผู้เห็นสิ่งที่ท่านทำเป็นการลับจะให้รางวัลแก่ท่าน
การสะสมทรัพย์สมบัติ
19 อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้เพื่อตนเองในโลก อันเป็นที่ที่มีแมลงกัด สนิมกิน และโจรบุกชิงเอาไปได้ 20 แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์ซึ่งแมลงและสนิมกัดกินไม่ได้ และโจรบุกชิงเอาไปไม่ได้ 21 เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย
22 ดวงตาเป็นเสมือนตะเกียงของร่างกาย ฉะนั้นถ้าดวงตาของท่านดี ทั่วทั้งร่างกายของท่านจะเต็มด้วยความสว่าง 23 แต่ถ้าดวงตาของท่านไม่ดี ทั่วทั้งร่างกายของท่านจะมีแต่ความมืด ฉะนั้นถ้าความสว่างในตัวท่านคือความมืดแล้ว มันจะมืดมากเพียงไร
24 ไม่มีผู้รับใช้คนใดจะรับใช้นาย 2 คนได้ เขาจะเกลียดคนหนึ่งและรักอีกคนหนึ่ง หรือไม่ก็จะทุ่มเทให้คนหนึ่งและดูหมิ่นอีกคนหนึ่ง ท่านจะรับใช้ทั้งพระเจ้าและเงินทองด้วยกันไม่ได้
ความกังวล
25 ด้วยเหตุนี้ เราขอบอกท่านว่า อย่ากังวลกับชีวิตว่าจะกินหรือดื่มอะไร หรือกับร่างกายของท่านว่าจะนุ่งห่มอะไร ชีวิตไม่มีค่ายิ่งกว่าอาหาร และร่างกายไม่มีค่ายิ่งกว่าเสื้อผ้าหรือ 26 จงดูนกในอากาศเถิด มันไม่หว่านไม่เก็บเกี่ยว มันไม่มีห้องหรือยุ้งฉางเก็บ พระบิดาของท่านในสวรรค์ก็ยังเลี้ยงมัน ท่านไม่มีคุณค่ายิ่งกว่านกหรือ 27 มีใครในพวกท่านบ้างที่สามารถยืดชีวิตให้ยาวได้ด้วยความวิตกกังวล 28 แล้วทำไมท่านจึงวิตกกังวลเรื่องเสื้อผ้า จงพิจารณาดูว่าดอกไม้ป่าในทุ่งเติบโตขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อมันไม่ทำงานหรือปั่นด้าย 29 แต่เราขอบอกท่านว่า แม้แต่กษัตริย์ซาโลมอนผู้พร้อมด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ยังทรงเครื่องไม่งามเท่าดอกไม้ดอกหนึ่ง 30 แต่ถ้าพระเจ้าตกแต่งทุ่งหญ้าซึ่งยังอยู่ในวันนี้ และพรุ่งนี้ถูกโยนลงในเตาไฟ แล้วพระองค์จะไม่ตกแต่งท่านให้มากกว่านั้นอีกหรือ ท่านนี่ช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง 31 ดังนั้นอย่าวิตกกังวลเลยว่า ‘พวกเราจะกินหรือดื่มอะไร’ หรือว่า ‘พวกเราจะสวมใส่อะไร’ 32 เพราะบรรดาคนนอกเสาะหาสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ พระบิดาของท่านในสวรรค์ทราบว่าท่านมีความจำเป็นในสิ่งเหล่านี้ 33 แต่จงแสวงหาอาณาจักรและความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน แล้วพระองค์จะเพิ่มเติมสิ่งเหล่านี้ให้แก่ท่านเอง
34 ฉะนั้นอย่าวิตกกังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้มีเรื่องวิตกกังวลสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation