Read the Gospels in 40 Days
พระเยซูรักษาชายอัมพาต
5 หลังจากนั้นก็ถึงเทศกาลของชาวยิวและพระเยซูเดินทางขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม
2 บริเวณใกล้ประตูแกะในเมืองเยรูซาเล็ม มีสระน้ำชื่อตามภาษาฮีบรูคือ เบธซาธา เป็นสถานที่ซึ่งมีศาลา 5 แห่ง 3 ที่นั่นมีคนป่วยจำนวนมากคือคนตาบอด คนง่อย และคนที่เป็นอัมพาต [รอให้น้ำกระเพื่อม 4 บางครั้งทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าลงมากวนน้ำในสระ หลังจากที่ได้กวนน้ำแล้ว ใครก็ตามที่เป็นคนแรกก้าวลงในน้ำ ก็หายจากโรคที่เป็น][a] 5 มีชายคนหนึ่งอยู่ที่นั่น เขาได้ป่วยมานาน 38 ปีแล้ว 6 เมื่อพระเยซูเห็นชายผู้นั้นนอนอยู่ และทราบว่าเขาอยู่ในสภาพนั้นเป็นเวลานานแล้ว พระองค์ก็กล่าวกับเขาว่า “เจ้าอยากจะหายหรือไม่” 7 คนป่วยตอบว่า “นายท่าน เวลาน้ำกระเพื่อมไม่มีผู้ใดเอาตัวข้าพเจ้าลงไปในน้ำ แต่เวลาที่ข้าพเจ้ากำลังไป คนอื่นก็ก้าวลงไปเสียก่อน”
8 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “จงลุกขึ้น หยิบเสื่อของเจ้าไป แล้วเดินเถิด” 9 ในทันใดนั้น ชายคนนั้นก็หายจากโรค เขาหยิบเสื่อขึ้น แล้วก็เดินไป
วันนั้นเป็นวันสะบาโต[b] 10 ฉะนั้นชาวยิวจึงพูดกับคนที่หายจากโรคว่า “นี่เป็นวันสะบาโตและผิดกฎบัญญัติที่เจ้าหยิบเสื่อขึ้น” 11 แต่เขาตอบชาวยิวว่า “ผู้ที่ทำให้ข้าพเจ้าหายเป็นผู้บอกข้าพเจ้าว่า ‘จงหยิบเสื่อขึ้นแล้วเดินเถิด’” 12 พวกเขาจึงถามว่า “ใครเป็นผู้ที่บอกให้เจ้าหยิบเสื่อขึ้นแล้วเดิน” 13 แต่ชายที่หายจากโรคไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด เพราะว่าพระเยซูได้ปลีกตัวออกไปขณะที่มีฝูงชนหนาแน่นอยู่ 14 ต่อมาพระเยซูพบเขาที่พระวิหารและกล่าวว่า “ดูเถิด เจ้าหายดีแล้ว ต่อไปก็อย่าได้ทำบาปอีก มิฉะนั้นเจ้าจะได้รับทุกข์ที่สาหัสยิ่งกว่านี้” 15 ชายผู้นั้นจากไปและได้บอกชาวยิวว่า พระเยซูเป็นผู้ที่ทำให้เขาหายจากโรค 16 และด้วยเหตุนี้ชาวยิวจึงกดขี่ข่มเหงพระเยซู เพราะว่าพระองค์ได้ทำสิ่งเหล่านี้ในวันสะบาโต 17 แต่พระองค์ตอบเขาเหล่านั้นว่า “พระบิดาของเรายังกระทำสิ่งเหล่านี้อยู่จนถึงบัดนี้ และเราเองก็เช่นกัน” 18 เหตุฉะนั้นชาวยิวพยายามรอโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ เพราะนอกจากพระองค์จะฝ่ากฎวันสะบาโตแล้ว ยังเรียกพระเจ้าเป็นพระบิดาของตนอีก ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นการทำตนเสมอพระเจ้า
บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจ
19 พระเยซูกล่าวตอบพวกเขาว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า พระบุตรไม่อาจกระทำสิ่งใดตามลำพังเอง นอกจากจะเป็นสิ่งที่เห็นพระบิดากระทำ ด้วยว่าสิ่งใดก็ตามที่พระบิดากระทำ พระบุตรก็กระทำสิ่งเหล่านั้นด้วย 20 พระบิดารักพระบุตร และแสดงทุกสิ่งที่พระองค์กระทำอยู่ให้พระบุตรเห็น และจะแสดงสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ให้พระบุตรเห็น เพื่อว่าพวกท่านจะได้อัศจรรย์ใจ 21 ตามที่พระบิดาทำให้คนตายฟื้นคืนชีวิตและมอบชีวิตให้เช่นใด พระบุตรก็ให้ชีวิตแก่ผู้ที่พระองค์โปรดได้เช่นกัน 22 ยิ่งกว่านั้นพระบิดาจะไม่กล่าวโทษผู้ใด แต่กลับได้มอบคำกล่าวโทษไว้กับพระบุตร 23 เพื่อว่าทุกคนจะให้เกียรติแด่พระบุตร เหมือนได้ให้เกียรติแด่พระบิดา ผู้ใดไม่ให้เกียรติแด่พระบุตร ก็ถือว่าไม่ได้ให้เกียรติแด่พระบิดาผู้ส่งพระบุตรมา 24 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ผู้ที่ได้ยินคำกล่าวของเรา และเชื่อพระองค์ผู้ส่งเรามา ผู้นั้นจะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์และจะไม่ถูกกล่าวโทษ แต่ผ่านพ้นจากความตายไปสู่ชีวิต
25 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า จะถึงเวลาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่คนตายจะได้ยินเสียงของพระบุตรของพระเจ้า และบรรดาผู้ที่ได้ยินจะมีชีวิต 26 พระบิดาเองเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตเช่นใด พระองค์ก็ได้มอบให้พระบุตรเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตเช่นนั้น 27 และได้มอบสิทธิอำนาจให้กล่าวโทษเพราะว่าพระองค์เป็นบุตรมนุษย์ 28 อย่าประหลาดใจในเรื่องนี้เลย เพราะว่าจะถึงเวลาที่ทุกคนที่อยู่ในหลุมศพจะได้ยินเสียงของพระองค์ 29 และจะออกมา บรรดาผู้ที่ได้กระทำความดีไว้จะฟื้นขึ้นและมีชีวิตอีก บรรดาผู้ที่ได้ทำความชั่วจะฟื้นขึ้นและถูกกล่าวโทษ 30 เราไม่อาจกระทำสิ่งใดตามลำพังเราเอง เรากล่าวโทษตามที่เราได้ยินและด้วยความยุติธรรม เราไม่ทำตามอำเภอใจของเราเอง แต่ตามความประสงค์ของพระองค์ผู้ส่งเรามา
คำยืนยันของพระเยซู
31 ถ้าเรายืนยันเพื่อตัวเราเอง คำของเราก็ไม่จริง 32 มีอีกผู้หนึ่งที่ยืนยันเพื่อเรา และเรารู้ว่าคำยืนยันเรื่องของเราที่ผู้นั้นให้ไว้เป็นความจริง 33 พวกท่านได้ส่งคนไปหายอห์น และยอห์นก็ได้ยืนยันถึงความจริง 34 แต่มิใช่ว่าเราต้องรับคำยืนยันที่มาจากมนุษย์ ที่เรากล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อให้พวกท่านทั้งหลายได้รอดพ้น 35 เมื่อก่อนยอห์นเป็นเสมือนตะเกียงที่จุดอยู่ และปรากฏแสงส่องสว่าง ซึ่งพวกท่านตั้งใจที่จะชื่นชมยินดีในความสว่างของเขาชั่วขณะหนึ่ง 36 แต่คำยืนยันของเรายิ่งใหญ่กว่าคำยืนยันของยอห์นเสียอีก ด้วยว่างานที่พระบิดามอบให้เราทำให้เสร็จบริบูรณ์ ซึ่งเราก็กำลังทำงานนี้อยู่ เป็นหลักฐานยืนยันว่า พระบิดาได้ส่งเรามา 37 พระบิดาผู้ส่งเรามาก็ได้ยืนยันเพื่อเรา แต่พวกท่านไม่เคยได้ยินเสียงและไม่เคยเห็นว่าพระองค์มีรูปลักษณ์อย่างไร 38 ในตัวพวกท่านไม่มีคำกล่าวของพระองค์อยู่ในจิตใจ เพราะความไม่เชื่อในองค์ผู้ที่พระบิดาส่งมา 39 ท่านค้นหาในพระคัมภีร์เพราะคิดว่าจะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ในนั้น แต่พระคัมภีร์นั้นเองที่ยืนยันถึงเรา 40 ท่านทั้งหลายกลับไม่ยอมที่จะมาหาเราเพื่อจะให้ได้ชีวิต 41 เราไม่รับบารมีจากมนุษย์ 42 เรารู้ว่าพวกท่านเป็นอย่างไร คือท่านไม่มีความรักของพระเจ้าอยู่ในตัวท่าน 43 เรามาในพระนามของพระบิดาของเรา แต่พวกท่านไม่รับเรา ในขณะที่ผู้อื่นมาในนามของเขาเอง ท่านกลับจะรับเขา 44 พวกท่านจะเชื่อกันได้อย่างไร ในเมื่อท่านได้รับคำสรรเสริญจากกันและกัน โดยไม่ได้แสวงหาคำสรรเสริญที่มาจากพระเจ้าแต่พระองค์เดียว 45 อย่าคิดว่าเราจะมากล่าวหาท่านต่อหน้าพระบิดา โมเสสซึ่งท่านได้ฝากความหวังไว้ต่างหากได้กล่าวหาพวกท่าน 46 ถ้าพวกท่านเชื่อในโมเสสแล้ว ท่านก็จะเชื่อในเรา เพราะโมเสสเคยเขียนไว้เกี่ยวกับเรา 47 แต่ถ้าหากท่านไม่เชื่อสิ่งที่โมเสสเขียนแล้ว ท่านจะเชื่อคำกล่าวของเราได้อย่างไร”
มหาชนกับขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัว
6 หลังจากนั้นพระเยซูได้เดินทางไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบกาลิลี ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าทะเลสาบทิเบเรียส 2 ผู้คนจำนวนมากติดตามพระองค์ไป เพราะพวกเขาได้เห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ซึ่งพระองค์กระทำต่อบรรดาคนป่วย 3 แล้วพระเยซูขึ้นไปนั่งบนภูเขากับบรรดาสาวกของพระองค์ 4 ในเวลานั้นใกล้ถึงเทศกาลปัสกาของชาวยิวแล้ว 5 เมื่อพระเยซูเงยหน้าขึ้นก็พบว่าผู้คนจำนวนมากได้พากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงกล่าวกับฟีลิปว่า “เราจะซื้ออาหารที่ไหนให้คนเหล่านี้รับประทานได้” 6 คำถามนี้พระองค์ได้ถามเพื่อเป็นการลองใจเขาดู เพราะจริงๆ แล้วพระองค์ทราบแล้วว่าจะทำอย่างไร 7 ฟีลิปตอบพระองค์ว่า “200 เหรียญเดนาริอัน[c]ก็ไม่พอซื้ออาหารให้ทุกคนรับประทานคนละเล็กละน้อยได้” 8 อันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งได้พูดกับพระองค์ว่า 9 “เด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปังลูกเดือย 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว เพียงเท่านั้นจะพอสำหรับคนมากอย่างนี้หรือ” 10 พระเยซูกล่าวว่า “ให้ทุกคนนั่งลง” 5,000 คนก็นั่งบนบริเวณที่มีหญ้าซึ่งกว้างขวางเพียงพอ 11 พระเยซูหยิบขนมปัง และเมื่อขอบคุณพระเจ้าแล้ว พระองค์ก็แจกขนมปังและปลาแก่คนที่นั่งลง ได้มากพอตามที่ต้องการกัน 12 เมื่อคนรับประทานกันจนอิ่มแล้ว พระองค์จึงกล่าวกับบรรดาสาวกว่า “จงรวบรวมอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้เสียของ” 13 พวกเขาจึงรวบรวมขนมปังใส่ในตะกร้าได้ 12 ใบเต็มๆ เป็นอาหารที่คนรับประทานเหลือจากขนมปังลูกเดือย 5 ก้อน 14 ฉะนั้นเมื่อผู้คนเห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ที่พระองค์ได้กระทำ จึงพูดว่า “นี่เป็นผู้เผยคำกล่าวที่แท้จริงของพระเจ้าซึ่งได้รับมอบหมายให้มาในโลก” 15 พระเยซูทราบว่า เขาเหล่านั้นตั้งใจที่จะใช้กำลังจับกุมพระองค์ไปเพื่อให้เป็นกษัตริย์ จึงได้ปลีกตัวออกไปยังภูเขาแต่เพียงลำพังอีก
พระเยซูเดินบนผิวน้ำในทะเลสาบ
16 ครั้นถึงเวลาเย็นพวกสาวกของพระองค์ก็เดินลงไปยังทะเลสาบ 17 แล้วลงเรือข้ามทะเลสาบไปยังเมืองคาเปอร์นาอุม จนมืดแล้วพระเยซูก็ยังไม่ได้กลับมาหาพวกเขา 18 ลมพายุได้ทำให้เกิดคลื่นลมแรงในทะเลสาบ 19 เมื่อพวกสาวกตีกรรเชียงไปได้ห้าหกกิโลเมตร ก็เห็นพระเยซูเดินบนผิวน้ำเข้าไปใกล้เรือ พวกเขาพากันตกใจกลัวยิ่งนัก 20 แต่พระองค์กล่าวกับเขาว่า “นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” 21 พวกเขาจะรับพระองค์ขึ้นเรือ แต่พริบตาเดียวเท่านั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขาจะไปกัน
22 วันรุ่งขึ้นฝูงชนที่ยังพักอยู่อีกฟากของทะเลสาบเห็นว่า ก่อนหน้านั้นมีเพียงเรือลำเดียวจอดอยู่ และพวกสาวกได้ใช้เรือลำนั้นออกกันไป พระเยซูไม่ได้ไปด้วย 23 หลังจากนั้นมีเรือจากเมืองทิเบเรียสลำอื่นๆ จอดอยู่ที่ฝั่งใกล้บริเวณที่พระเยซูเจ้าได้กล่าวขอบคุณพระเจ้าสำหรับขนมปังที่พวกเขาได้รับประทานกัน 24 เมื่อฝูงชนเห็นว่า พระเยซูและบรรดาสาวกไม่อยู่ที่นั่น พวกเขาจึงลงเรือกันไปตามหาพระเยซูที่เมืองคาเปอร์นาอุม
อาหารแห่งชีวิต
25 เมื่อพวกเขาพบพระองค์ที่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบ จึงพูดกับพระองค์ว่า “รับบี ท่านมาที่นี่เมื่อไร” 26 พระเยซูกล่าวตอบว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ที่ท่านตามหาเรามิใช่เพราะท่านเห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ แต่เป็นเพราะท่านได้รับประทานขนมปังจนอิ่ม 27 อย่าลงทุนลงแรงเพื่ออาหารที่เน่าเสียได้ แต่เพื่ออาหารที่จะดำรงถึงชีวิตอันเป็นนิรันดร์ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่พวกท่าน ด้วยว่าพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาได้ประทับตราแสดงถึงการยอมรับพระบุตรแล้ว” 28 เขาเหล่านั้นจึงพูดกับพระองค์ว่า “พวกเราควรจะทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติงานของพระเจ้าได้” 29 พระเยซูกล่าวตอบว่า “งานของพระเจ้าคือการเชื่อในผู้ที่พระเจ้าได้ส่งมา” 30 ดังนั้นเขาเหล่านั้นจึงพูดกับพระองค์ว่า “แล้วท่านจะแสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์อะไรให้เราดูได้บ้าง เราจะได้เชื่อท่าน ท่านจะทำอะไรได้บ้าง 31 บรรพบุรุษของเราได้กินมานา[d]ในถิ่นทุรกันดารตามที่มีบันทึกไว้ว่า ‘พระองค์ให้พวกเขากินอาหารจากสวรรค์’”[e] 32 พระเยซูจึงกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า โมเสสไม่ได้ให้อาหารจากสวรรค์แก่ท่าน แต่เป็นพระบิดาของเราที่ให้อาหารแท้จริงจากสวรรค์ 33 เพราะว่าอาหารของพระเจ้าคือผู้ที่ลงมาจากสวรรค์และมอบชีวิตให้แก่โลก” 34 ดังนั้นพวกเขาจึงพูดกับพระองค์ว่า “พระองค์ท่าน โปรดให้อาหารนี้แก่พวกเราเสมอไปเถิด”
35 พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “เราคืออาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่มีวันหิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่มีวันกระหาย 36 แต่เราขอบอกท่านว่า ท่านได้เห็นเราแล้ว และยังไม่เชื่อ 37 ทุกคนที่พระเจ้ามอบให้แก่เราจะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา เราจะไม่ขับไล่เขาออกไปเลย 38 เราได้ลงมาจากสวรรค์มิใช่เพื่อทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่ตามความประสงค์ของพระองค์ผู้ส่งเรามา 39 ความประสงค์ของพระองค์ผู้ส่งเรามาคือ เราไม่ควรให้ผู้ใดที่พระองค์ได้มอบให้แก่เราต้องหลงหายไปแม้เพียงคนเดียว แต่เราจะให้เขาฟื้นคืนชีวิตในวันสุดท้าย 40 ความประสงค์ของพระบิดาของเราคือ ทุกคนที่หันเข้าหาพระบุตร และเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ และเราเองจะให้ผู้นั้นฟื้นคืนชีวิตในวันสุดท้าย”
41 ชาวยิวจึงพากันบ่นพึมพำต่อกันเมื่อพระองค์กล่าวว่า “เราคืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์” 42 เขาเหล่านั้นพูดว่า “นี่เยซูบุตรของโยเซฟที่เรารู้จักทั้งบิดามารดาไม่ใช่หรือ แล้วขณะนี้พูดได้อย่างไรว่า ‘เราได้ลงมาจากสวรรค์’” 43 พระเยซูกล่าวตอบว่า “อย่ามัวแต่บ่นพึมพำกันอยู่ในหมู่ท่านเลย 44 ไม่มีผู้ใดที่มาหาเราได้นอกจากพระบิดาผู้ส่งเรามา เป็นผู้นำให้เขามาหาเรา และเราจะให้เขาฟื้นคืนชีวิตในวันสุดท้าย 45 มีบันทึกในหมวดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า ‘พระเจ้าจะสั่งสอนเขาทุกคน’[f] ทุกคนที่ได้ยินและเรียนรู้จากพระบิดาก็มาหาเรา 46 มิใช่ว่ามีใครเคยเห็นพระบิดา เว้นแต่ผู้ที่มาจากพระเจ้าเท่านั้นที่ได้เห็นพระบิดาแล้ว 47 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ผู้ที่เชื่อจึงมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ 48 เราคืออาหารแห่งชีวิต 49 บรรพบุรุษของท่านได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารและได้ตายไป 50 นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ คนที่กินก็จะไม่ตาย 51 เราคืออาหารที่มีชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ผู้ใดกินอาหารนี้ก็จะมีชีวิตอยู่ตลอดกาล และอาหารที่เราจะให้เพื่อชีวิตของโลกด้วยก็คือ เลือดเนื้อของเรา”
52 ในยามนี้ชาวยิวเริ่มโต้เถียงกันว่า “ชายผู้นี้สามารถให้เลือดเนื้อเรากินได้อย่างไร” 53 พระเยซูจึงกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อและดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่านเอง 54 ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราจะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ และเราจะให้ฟื้นคืนชีวิตในวันสุดท้าย 55 เพราะว่าเนื้อของเราคืออาหารแท้เช่นเดียวกับโลหิตของเราที่เป็นของดื่มแท้ 56 ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราก็ดำรงอยู่ในเรา และเราก็ดำรงอยู่ในผู้นั้น 57 พระบิดาผู้ดำรงชีวิตได้ส่งเรามา และเราดำรงชีวิตก็เพราะพระบิดา ดังนั้นผู้ที่กินเราจะมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะเรา 58 นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนอาหารที่บรรพบุรุษกินและตายไป ผู้ที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดกาล” 59 พระองค์กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ ขณะที่สั่งสอนในศาลาที่ประชุมที่เมืองคาเปอร์นาอุม
สาวกบางคนเลิกติดตามพระเยซู
60 เมื่อสาวกจำนวนมากของพระองค์ได้ยินจึงพูดว่า “ถ้อยคำเหล่านี้ยากที่จะเข้าใจ ใครจะยอมรับได้” 61 แต่พระเยซูทราบดีว่า พวกสาวกแอบบ่นพึมพำกันในเรื่องนี้อยู่ จึงกล่าวกับพวกเขาว่า “สิ่งนี้เป็นเหตุให้เจ้าต้องลำบากใจหรือ 62 ถ้าเจ้าเห็นบุตรมนุษย์ขึ้นไปยังที่ซึ่งท่านอยู่แต่ก่อน แล้วเจ้าจะว่าอย่างไร 63 พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิต ฝ่ายเนื้อหนังไม่ได้รับประโยชน์อันใด คำกล่าวที่เราได้บอกให้เจ้าฟังเป็นวิญญาณและชีวิต 64 แต่พวกเจ้าบางคนก็ไม่เชื่อ” พระเยซูทราบแต่แรกแล้วว่ามีใครบ้างที่ไม่เชื่อ และทราบดีว่าผู้ใดจะทรยศพระองค์ 65 พระองค์กล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้เราจึงบอกเจ้าว่า ไม่มีผู้ใดที่มาหาเราได้ นอกจากพระบิดาจะโปรดให้ผู้นั้นมา”
66 ด้วยเหตุนี้เองบรรดาสาวกจำนวนมากของพระองค์จึงได้ปลีกตัวออกไป และไม่ได้ติดตามพระองค์ต่อไปอีก 67 พระเยซูจึงกล่าวกับสาวกทั้งสิบสองว่า “เจ้าอยากจะจากเราไปด้วยหรือ” 68 ซีโมนเปโตรตอบว่า “พระองค์ท่าน เราจะไปหาใครได้ พระองค์มีคำกล่าวแห่งชีวิตอันเป็นนิรันดร์ 69 พวกเราเชื่อและทราบว่า พระองค์เป็นองค์ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า” 70 พระเยซูตอบพวกเขาว่า “เราเองเป็นผู้ที่เลือกพวกเจ้าทั้งสิบสองมิใช่หรือ แต่ถึงอย่างนั้นคนหนึ่งในพวกเจ้าก็เป็นพญามาร”[g] 71 พระองค์หมายถึงยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท เพราะว่าเขาเป็นผู้ที่จะทรยศพระองค์ และเป็นคนหนึ่งในสาวกทั้งสิบสอง
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation