M’Cheyne Bible Reading Plan
ดาวิดกษัตริย์ที่ได้รับการเจิม
16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซามูเอลว่า “เจ้าจะเศร้าใจเพราะซาอูลไปนานแค่ไหน เราไม่รับเขาเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลแล้ว จงเติมน้ำมันให้เต็มเขาสัตว์ แล้วไปเถิด เราจะให้เจ้าไปหาเจสซีชาวเบธเลเฮม เพราะเราได้เตรียมกษัตริย์ผู้หนึ่งจากบรรดาบุตรของเขาไว้แล้วสำหรับเรา” 2 ซามูเอลพูดว่า “ข้าพเจ้าจะไปได้อย่างไร ถ้าซาอูลทราบเรื่อง ท่านก็จะฆ่าข้าพเจ้าตาย” และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “จงเอาลูกโคตัวเมียตัวหนึ่งไปกับเจ้า และบอกว่า ‘เรามาเพื่อถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า’ 3 และจงเชิญเจสซีมาที่ถวายเครื่องสักการะ และเราจะบอกเจ้าว่าควรจะทำอะไร และเจ้าจะเจิมคนที่เราบอกให้เจ้ารู้” 4 ซามูเอลกระทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าสั่ง ท่านจึงไปยังเบธเลเฮม บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของเมืองก็ออกมาพบกับท่าน ตัวสั่นเทาและพูดกับท่านว่า “ท่านมาอย่างสันติหรือ” 5 ท่านตอบว่า “มาอย่างสันติสิ เรามาเพื่อถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า พวกท่านจงชำระตัวให้บริสุทธิ์ และไปยังที่ถวายเครื่องสักการะกับเรา” ท่านก็ชำระตัวเจสซีและบรรดาบุตรให้บริสุทธิ์ และเชิญพวกเขาไปยังที่ถวายเครื่องสักการะ
6 เมื่อเขาเหล่านั้นมาถึง ซามูเอลก็มองเอลีอับพร้อมกับคิดว่า “คนที่พระผู้เป็นเจ้าจะเจิมอยู่เบื้องหน้าพระองค์แล้วอย่างแน่นอน” 7 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซามูเอลว่า “อย่ามองแต่เพียงร่างที่ปรากฏให้เห็น หรือดูความสูงของเขา เพราะเราไม่รับเขา พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เห็นเหมือนกับมนุษย์เห็น มนุษย์มองสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแต่ภายนอก แต่พระผู้เป็นเจ้ามองที่จิตใจ” 8 และเจสซีเรียกอาบีนาดับมา และให้เขาเดินผ่านหน้าซามูเอล และซามูเอลพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เลือกคนนี้เช่นกัน” 9 เจสซีจึงเรียกชัมมาห์ให้มาเดินผ่านหน้า และซามูเอลพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เลือกคนนี้เช่นกัน” 10 เจสซีให้บุตรทั้งเจ็ดของเขามาเดินผ่านหน้าซามูเอล ซามูเอลพูดกับเจสซีว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เลือกบุตรทั้งหมดนี้” 11 ครั้นแล้วซามูเอลพูดกับเจสซีว่า “บุตรของท่านทุกคนอยู่ที่นี่หรือ” เขาตอบว่า “ยังเหลือคนที่เล็กสุด แต่เขากำลังเฝ้าฝูงแกะอยู่” ซามูเอลพูดกับเจสซีว่า “ให้คนไปพาตัวเขามาที่นี่ เพราะพวกเราจะไม่นั่งลงจนกว่าเขาจะมาที่นี่” 12 เขาจึงให้คนไปตามตัวเข้ามา เขาเป็นคนผิวออกแดงๆ ดวงตาเป็นประกายและรูปงาม และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ลุกขึ้น และเจิมเขาเถิด คนนี้แหละ” 13 ครั้นแล้วซามูเอลจึงเจิมเขาด้วยน้ำมันจากเขาสัตว์ในท่ามกลางบรรดาพี่ๆ และดาวิดก็เปี่ยมด้วยอานุภาพแห่งพระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป แล้วซามูเอลลุกขึ้นและกลับไปยังรามาห์
ดาวิดรับใช้ซาอูล
14 ครั้งนั้น พระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าได้จากซาอูลไปแล้ว และวิญญาณอันชั่วร้ายที่พระผู้เป็นเจ้าส่งมาก็ทรมานท่าน 15 บรรดาผู้รับใช้ของซาอูลพูดกับท่านว่า “ดูเถิด วิญญาณอันชั่วร้ายที่พระเจ้าส่งมาก็กำลังทรมานท่านอยู่ 16 ขอให้นายท่านบัญชาผู้รับใช้ทั้งปวงในที่นี้ ไปหาชายคนหนึ่งที่เล่นพิณเล็กด้วยความชำนาญมา เผื่อเวลาวิญญาณอันชั่วร้ายที่พระเจ้าส่งมาเข้าตัวท่าน เขาจะได้เล่นพิณ และท่านจะได้หายดี” 17 ซาอูลจึงพูดกับบรรดาผู้รับใช้ว่า “ไปเสาะหาชายคนหนึ่งที่สามารถเล่นพิณเก่ง พาเขามาหาเรา” 18 คนหนึ่งในพวกชายหนุ่มตอบว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเคยเห็นบุตรคนหนึ่งของเจสซีชาวเบธเลเฮม เขาเล่นพิณเก่ง กล้าหาญ เป็นนักรบ มีโวหารดี และลักษณะก็ดี และพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา” 19 ดังนั้นซาอูลให้ผู้ส่งข่าวไปบอกเจสซีว่า “จงให้ดาวิดบุตรของท่าน ที่เฝ้าฝูงแกะอยู่มาหาเรา” 20 เจสซีจึงบรรทุกลาตัวหนึ่งด้วยขนมปัง ถุงหนังใส่เหล้าองุ่น 1 ถุง และแพะหนุ่ม 1 ตัว ให้ดาวิดบุตรของตนนำไปให้ซาอูล 21 ดาวิดไปเข้าเฝ้าซาอูล และคอยรับใช้ท่าน ซาอูลรักดาวิดมาก และเขาได้เป็นคนถืออาวุธของท่าน 22 และซาอูลให้คนไปบอกเจสซีว่า “ให้ดาวิดอยู่รับใช้เราต่อไปเถิด เพราะเขาเป็นที่โปรดปรานของเรามาก” 23 และเมื่อใดที่วิญญาณอันชั่วร้ายที่พระเจ้าส่งมาเข้าตัวท่าน ดาวิดก็เอาพิณเล็กมาเล่นด้วยตนเอง ซาอูลจึงรู้สึกสดชื่นและหายดี และวิญญาณชั่วร้ายก็จากท่านไป
อย่ากล่าวโทษผู้ใด
14 จงรับผู้ที่ยังมีความเชื่ออ่อนแอ แต่อย่าโต้เถียงกับเขาในเรื่องความคิดเห็นส่วนตัว 2 คนหนึ่งเชื่อว่าจะรับประทานอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ผู้ที่ยังมีความเชื่ออ่อนแอรับประทานแต่ผักเท่านั้น 3 อย่าให้คนที่รับประทานทุกสิ่งดูหมิ่นคนที่ไม่รับประทาน และอย่าให้คนที่ไม่รับประทานกล่าวโทษคนที่รับประทาน เพราะพระเจ้าได้รับเขาไว้แล้ว 4 ท่านเป็นใครที่จะกล่าวโทษผู้รับใช้ของผู้อื่น เขาจะยืนหยัดได้หรือล้มลงก็แล้วแต่นายของเขา และเขาจะยืนหยัดได้แน่ เพราะพระผู้เป็นเจ้าสามารถเป็นผู้โปรดให้เขายืนหยัดได้
5 คนหนึ่งถือว่าวันหนึ่งสำคัญกว่าอีกวันหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งถือว่าทุกวันเหมือนกัน จงให้แต่ละคนมีความแน่ใจในความคิดของตนเถิด 6 คนที่ถือวันก็ถือเพื่อเป็นเกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า และคนที่รับประทานก็เพื่อเป็นเกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาขอบคุณพระเจ้า และผู้ที่ไม่รับประทานก็เพื่อเป็นเกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า และขอบคุณพระเจ้าด้วย 7 เพราะว่าไม่มีใครในพวกเรามีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง และไม่มีใครตายเพื่อตนเอง 8 เพราะถ้าเรามีชีวิตอยู่ เราก็อยู่เพื่อพระผู้เป็นเจ้า หรือถ้าเราตาย เราก็ตายเพื่อพระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้นไม่ว่าเราอยู่หรือตาย เราก็เป็นของพระผู้เป็นเจ้า 9 เพราะเหตุนี้เอง พระคริสต์ได้สิ้นชีวิตและฟื้นคืนชีวิต เพื่อว่าพระองค์จะได้เป็นพระผู้เป็นเจ้าของทั้งคนตายและคนเป็น
10 แล้วตัวท่านเล่า ทำไมท่านจึงกล่าวโทษพี่น้องของท่าน หรือทำไมท่านจึงดูหมิ่นพี่น้องของท่าน ด้วยว่า เราทุกคนจะได้ยืนต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า 11 เพราะมีบันทึกไว้ว่า
“พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด
ทุกคนก็จะคุกเข่าลงต่อหน้าเรา
ทุกลิ้นจะออกปากยอมรับว่า เราเป็นพระเจ้า’”[a]
12 แล้วเราทุกคนจะไปรายงานเรื่องราวของตนเองต่อพระเจ้า
13 ฉะนั้น เราอย่ากล่าวโทษกันและกันอีกเลย แต่จงตัดสินใจให้แน่วแน่ว่า จะไม่ทำให้พี่น้องสะดุดใจหรือฉุดรั้งเขาไว้ 14 ข้าพเจ้าทราบและเชื่อแน่ในพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ไม่มีสิ่งใดที่เป็นมลทินในตัวเองเลย แต่คนที่คิดเองว่าสิ่งใดเป็นมลทิน สิ่งนั้นก็เป็นมลทินสำหรับคนๆ นั้น 15 ถ้าพี่น้องของท่านต้องมาสะเทือนใจเพราะเรื่องอาหาร ท่านก็ไม่ได้ประพฤติตามความรักเสียแล้ว อย่าให้พี่น้องของท่านพินาศเพราะอาหารที่ท่านรับประทานเลย เพราะพระคริสต์สิ้นชีวิตเพื่อเขาด้วย 16 ฉะนั้นอย่าปล่อยให้สิ่งที่ท่านนับว่าดี กลายเป็นสิ่งที่ถูกกล่าวกันว่าเลวร้าย 17 เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่การดื่มกิน แต่เป็นความชอบธรรม สันติสุขและความยินดีโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 18 เพราะใครก็ตามที่รับใช้พระคริสต์ในทางที่กล่าวมานี้ ก็เป็นที่พอใจของพระเจ้า และมนุษย์ก็เห็นชอบด้วย 19 ดังนั้นเราจึงควรพยายามมุ่งกระทำสิ่งที่นำสันติสุข และการเสริมสร้างกันและกันขึ้นเถิด
20 อย่าทำลายงานของพระเจ้าเพราะเห็นแก่อาหารเลย ทุกสิ่งไม่มีมลทินก็จริง แต่ก็ผิด หากว่ารับประทานสิ่งที่ทำให้คนอื่นต้องสะดุดใจ 21 ถ้าการรับประทานเนื้อสัตว์หรือดื่มเหล้าองุ่น หรือกระทำสิ่งใดที่ทำให้พี่น้องของท่านสะดุดใจก็อย่าทำเลยเสียดีกว่า 22 สิ่งใดในเรื่องเหล่านี้ที่ท่านเชื่อ ท่านจงนึกเสียว่าเป็นเรื่องระหว่างท่านกับพระเจ้า ผู้ใดไม่กล่าวโทษตนเองในสิ่งที่ตนเห็นชอบแล้ว ก็เป็นสุข 23 แต่ถ้าคนที่รับประทานมีความสงสัยก็ถูกกล่าวโทษ เพราะเขาไม่ได้รับประทานตามความเชื่อ และสิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้เกิดจากความเชื่อก็เป็นบาป
เมืองอันโดดเดี่ยว
1 เมืองซึ่งเคยมีประชาชนอาศัยอยู่
กลับอยู่อย่างโดดเดี่ยวอะไรเช่นนี้
นางซึ่งเคยยิ่งใหญ่ในบรรดาประชาชาติ
กลับเป็นเหมือนแม่ม่าย
นางซึ่งเคยเป็นเจ้าหญิงในท่ามกลางแคว้นทั้งหลาย
กลับกลายเป็นทาสเสียแล้ว
2 นางร้องไห้อย่างขมขื่นตลอดทั้งคืน
น้ำตาไหลรินแก้มนาง
ในบรรดาคนรักทั้งปวงของนาง
ไม่มีสักคนที่จะปลอบประโลมนาง
มิตรสหายทุกคนได้หลอกลวงนาง
และกลับกลายเป็นศัตรูของนาง
3 ชาวยูดาห์ถูกบังคับให้ออกไป
จากบ้านเมืองไปเป็นทาส
บัดนี้นางอาศัยอยู่ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ
และหามีความสงบสุขไม่
บรรดาผู้ตามล่าได้จับนางไว้
ขณะที่นางเป็นทุกข์
4 ถนนหนทางที่นำไปสู่ศิโยนร้องรำพัน
เพราะไม่มีใครไปยังเทศกาลที่กำหนดไว้
ทุกประตูเมืองของนางก็ว่างเปล่า
ปุโรหิตโอดครวญ
บรรดาหญิงบริสุทธิ์ของนางทนทุกข์
และนางเองก็เจ็บปวดรวดร้าว
5 เหล่าปรปักษ์ของนางกลับเป็นผู้ที่เหนือกว่า
เหล่าศัตรูได้รับความสมหวัง
เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ทำให้นางรับทุกข์
เนื่องจากนางล่วงละเมิดมากมาย
ลูกๆ ของนางถูกจับไปเป็นเชลยต่อหน้าปรปักษ์
6 ความยิ่งใหญ่ได้ละไปจาก
ธิดาแห่งศิโยนเสียแล้ว
บรรดาผู้นำของนางได้เป็นเหมือนกับกวาง
ที่หาทุ่งหญ้าไม่ได้
พวกเขาวิ่งหนีผู้ตามล่าไปอย่าง
หมดเรี่ยวแรง
7 ในวันแห่งความทุกข์ทรมานและความขมขื่น
ชาวเยรูซาเล็มจำได้ถึงทุกสิ่งที่มีคุณค่า
ที่เป็นของนางในสมัยดึกดำบรรพ์
เมื่อประชาชนของนางอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้าม
และไม่มีใครจะช่วยนางได้
ฝ่ายตรงข้ามพินิจดูนาง
และหัวเราะเยาะเมื่อนางล้มลง
8 เยรูซาเล็มกระทำบาปอย่างร้ายแรง
ฉะนั้นนางจึงมีมลทิน
ทุกคนที่ให้เกียรตินางดูหมิ่นนาง
เพราะพวกเขาได้เห็นนางเปลือยเปล่า
นางโอดครวญ
และหลบหน้าด้วยความอับอาย
9 ความสกปรกของนางเห็นได้จากผ้าที่นางนุ่ง
นางไม่คำนึงถึงจุดจบของนาง
ดังนั้นนางจึงล้มไม่เป็นท่า
และหามีคนปลอบประโลมไม่
“โอ พระผู้เป็นเจ้า ดูเถิดว่าข้าพเจ้าทนทุกข์ทรมาน
เพราะศัตรูมีชัยชนะแล้ว”
10 ศัตรูยื่นมือออก
และเอาของมีค่าของนางไปหมด
นางได้เห็นคนของบรรดาประชาชาติ
บุกรุกที่พำนัก[a]ของนาง
พวกที่พระองค์ห้ามไม่ให้เข้าไปใน
ที่ประชุมของพระองค์
11 ชนชาติทั้งปวงของเมืองโอดครวญ
ขณะที่หาอาหารกิน
จนถึงกับแลกอาหารด้วยของมีค่าของตน
เพื่อประทังชีวิต
“โอ พระผู้เป็นเจ้า ดูเถิด
ข้าพเจ้าถูกดูหมิ่น”
12 ท่านทุกคนที่ผ่านมา ท่านไม่รู้สึกอย่างไรบ้างหรือ
มองดูสิว่า มีความเศร้าใดบ้างที่
เป็นเหมือนความเศร้าของข้าพเจ้า
พระผู้เป็นเจ้าทำให้ข้าพเจ้าเศร้าใจ
ในวันที่พระองค์กริ้วมาก
13 พระองค์ให้ไฟจากเบื้องบนลงมา
และพระองค์ทำให้มันเข้าลึกถึงกระดูกของข้าพเจ้า
พระองค์เหวี่ยงตาข่ายเป็นกับดักเท้าของข้าพเจ้า
พระองค์ให้ข้าพเจ้าหันกลับไป
และทอดทิ้งข้าพเจ้า
ปล่อยให้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ตลอดวันเวลา
14 บาปของข้าพเจ้าถูกมัดรวมกันเหมือนเป็นแอก
พระองค์สานบาปเข้าด้วยกัน
และวางไว้ที่คอของข้าพเจ้า
พระองค์ทำให้ข้าพเจ้าอ่อนกำลังลง
พระผู้เป็นเจ้ามอบข้าพเจ้าไว้ในมือ
ของบรรดาผู้ที่ข้าพเจ้าไม่สามารถต่อสู้ได้
15 พระผู้เป็นเจ้าปฏิเสธบรรดาทหาร
ที่เข้มแข็งที่สุดของข้าพเจ้าที่อยู่ท่ามกลางข้าพเจ้า
พระองค์เรียกประชุมกองทัพทหารเพื่อโจมตีข้าพเจ้า
และทำลายบรรดาทหารหนุ่มของข้าพเจ้า
พระผู้เป็นเจ้าเหยียบย่ำธิดาพรหมจารีแห่งยูดาห์
ราวกับเหยียบองุ่นในเครื่องสกัด
16 ข้าพเจ้าร้องร่ำไห้กับสิ่งเหล่านี้
จนน้ำตาไหลพราก
ยากเหลือเกินที่จะหาใครปลอบประโลมข้าพเจ้าได้
และทำให้ข้าพเจ้ามีความกล้ากลับขึ้นมาอีก
ลูกๆ ของข้าพเจ้าเป็นทุกข์เช่นนี้
ก็เพราะศัตรูชนะแล้ว
17 ศิโยนยื่นมือออก
แต่ไม่มีใครปลอบประโลมนาง
พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาให้ต่อต้านยาโคบ
โดยให้บรรดาผู้อยู่รอบข้างเป็นปรปักษ์
เยรูซาเล็มกลายเป็นสิ่งสกปรก
ในหมู่พวกเขา
18 พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ยุติธรรม
ข้าพเจ้านั่นแหละที่ได้ดื้อดึงต่อคำสั่งของพระองค์
ทุกคนเอ๋ย ดูสิว่า
ข้าพเจ้ารับทุกข์ทรมาน
บรรดาหญิงสาวและชายหนุ่มของข้าพเจ้า
ถูกจับไปเป็นเชลย
19 ข้าพเจ้าร้องเรียกบรรดาเพื่อนรักของข้าพเจ้า
แต่พวกเขาหลอกลวงข้าพเจ้า
บรรดาปุโรหิตและผู้นำของข้าพเจ้า
สิ้นชีวิตในเมือง ขณะที่หาอาหาร
เพื่อประทังชีวิตของพวกเขา
20 โอ พระผู้เป็นเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าเป็นทุกข์
จิตวิญญาณของข้าพเจ้าว้าวุ่น
ส่วนลึกในใจข้าพเจ้าบอบช้ำ
เพราะข้าพเจ้าดื้อดันมาก
ที่ถนนมีการรบราฆ่าฟัน
ส่วนภายในบ้านก็มีแต่ความตาย
21 ฟังเสียงโอดครวญของข้าพเจ้าเถิด
ไม่มีใครปลอบประโลมเลย
พวกศัตรูทราบว่าข้าพเจ้าลำบาก
พวกเขาดีใจที่พระองค์กระทำต่อข้าพเจ้า
พระองค์ให้สิ่งเป็นไปตามที่พระองค์ประกาศแล้ว
แต่ขอให้ศัตรูประสบอย่างเดียวกันกับข้าพเจ้าเถิด
22 ขอให้การกระทำชั่วของพวกเขาปรากฏต่อพระองค์
และพระองค์กระทำต่อพวกเขา
เหมือนที่พระองค์ได้กระทำต่อข้าพเจ้า
เพราะการล่วงละเมิดทั้งสิ้นของข้าพเจ้าเถิด
ข้าพเจ้าโอดครวญอย่างหนัก
และข้าพเจ้าทุกข์ระทมใจ
การสารภาพและการยกโทษ
เพลงสดุดีแห่งความฉลาดรอบรู้ของดาวิด
1 คนที่พระเจ้าได้ยกโทษให้เนื่องจากการล่วงละเมิด
และได้รับการลบล้างบาปแล้ว ก็เป็นสุข
2 คนไม่มีจิตวิญญาณอันลวงหลอก
และคนที่พระผู้เป็นเจ้าไม่ถือโทษ ก็เป็นสุข[a]
3 ครั้งที่ข้าพเจ้าไม่สารภาพบาป
กระดูกข้าพเจ้าก็ผุกร่อน
เพราะการคร่ำครวญยาวนานตลอดวันคืน
4 ด้วยว่า ทุกเช้าค่ำพระองค์ทำโทษข้าพเจ้า
กำลังของข้าพเจ้าแห้งเหือดราวกับความแล้งของฤดูร้อน เซล่าห์
5 ข้าพเจ้าจึงสารภาพบาปกับพระองค์
และไม่ได้ปกปิดความชั่วของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้ากล่าวออกไปว่า “ข้าพเจ้าขอสารภาพการล่วงละเมิดต่อพระผู้เป็นเจ้า”
และพระองค์ได้ยกโทษความผิดบาปแก่ข้าพเจ้า เซล่าห์
6 ฉะนั้น ให้ผู้ภักดีทุกคนอธิษฐานต่อพระองค์เถิด
เมื่อมีความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้น
หรือมีภัยอันตรายบังเกิดขึ้น
สิ่งเหล่านั้นไม่อาจแตะต้องตัวเขาได้
7 พระองค์เป็นที่หลบภัยของข้าพเจ้า
พระองค์ปกป้องข้าพเจ้าจากความทุกข์ยาก
พระองค์โอบอุ้มข้าพเจ้าไว้ด้วยเสียงร้องแห่งความมีชัย เซล่าห์
8 เราจะแนะแนวและสั่งสอนเจ้าถึงวิถีทางที่ควรจะเดินไป
เราจะแนะนำและชี้ทางให้แก่เจ้า
9 อย่าเป็นเหมือนม้าหรือล่อที่โง่เง่า
ไม่ยอมอยู่ใต้คำสั่ง
จึงต้องถูกบังคับด้วยเหล็กและบังเหียน
10 คนชั่วมีความทุกข์ยากมากมาย
แต่คนที่ไว้วางใจในพระผู้เป็นเจ้ามีความรักอันมั่นคงอยู่ล้อมรอบ
11 พวกท่านผู้มีความชอบธรรมจงยินดีในพระผู้เป็นเจ้า จงชื่นชมยินดี
พวกท่านผู้มีความชอบธรรมอยู่ในจิตใจ จงเปล่งเสียงร้องด้วยความสุขใจเถิด
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation