M’Cheyne Bible Reading Plan
ชาวเลวีและภรรยาน้อยของเขา
19 ในสมัยนั้น ในคราวที่ไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล มีชาวเลวีคนหนึ่งกำลังหาที่พักในบริเวณที่ห่างจากชุมชนในแถบภูเขาแห่งเอฟราอิม เขารับเอาหญิงคนหนึ่งจากเบธเลเฮมในแคว้นยูดาห์มาเป็นภรรยาน้อย 2 นางไม่ซื่อสัตย์ต่อเขา ทิ้งเขาไป และกลับไปบ้านบิดาที่เบธเลเฮมในยูดาห์ หลังจากที่ได้กลับไปอยู่ที่นั่นได้ 4 เดือน 3 สามีของนางก็ไปหานางเพื่อเกลี้ยกล่อมให้นางกลับไปอยู่กับเขา เขาพาคนรับใช้และลา 2 ตัวไปด้วย นางเชิญเขาเข้าบ้านบิดา เมื่อบิดานางเห็นและพบกับเขาแล้ว ก็ต้อนรับเขาเป็นอย่างดี 4 พ่อตาของเขาคือบิดาของหญิงคนนี้ ก็ขอให้เขาพักอยู่ด้วยกัน เขาจึงพักอยู่ 3 วัน ดังนั้นพวกเขาดื่มกินและพักแรมอยู่ที่นั่น 5 พอวันที่สี่ พวกเขาตื่นแต่เช้าตรู่ เขาก็เตรียมพร้อมจะจากไป แต่บิดาของผู้หญิงพูดกับบุตรเขยของตนว่า “จงกินอาหารให้สบายใจก่อน เรียบร้อยแล้วจึงไป” 6 เขา 2 คนจึงนั่งลงดื่มกินด้วยกัน แล้วบิดาของผู้หญิงพูดกับชายคนนั้นว่า “อยู่ค้างอีกคืนเถิด ให้เจ้าสำราญใจเสียก่อน” 7 เมื่อชายคนนั้นลุกขึ้นจะจากไป พ่อตาของเขาก็รบเร้า จนเขาต้องค้างอยู่ที่นั่นอีกคืนหนึ่ง 8 พอวันที่ห้า เขาตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อจะจากไป บิดาของผู้หญิงพูดว่า “จงให้สบายใจก่อน แล้วรอไปจนถึงบ่ายเถิด” ดังนั้นทั้งสองจึงรับประทานอาหารกัน 9 เมื่อชายคนนั้นกับภรรยาน้อยและคนรับใช้ลุกขึ้นเพื่อจะจากไป พ่อตาของเขาคือบิดาของหญิงคนนั้นพูดกับเขาว่า “ดูเถิด นี่ก็เกือบเย็นแล้ว จงอยู่ค้างคืนเถิด วันก็เกือบจะล่วงแล้ว จงค้างแรมที่นี่ และให้เจ้าสำราญใจเสียก่อน พรุ่งนี้เจ้าจึงลุกขึ้นออกเดินทางแต่เช้าตรู่ และกลับบ้านได้”
10 แต่ชายคนนั้นไม่ยอมค้างคืนอีก เขาลุกขึ้นจากไป เมื่อมาถึงตรงข้ามกับเมืองเยบุส (คือเยรูซาเล็ม) ลา 2 ตัวที่มีอานกับภรรยาน้อยก็อยู่กับเขา 11 เมื่อพวกเขามาเกือบถึงเยบุสแล้ว ก็ใกล้ค่ำ คนรับใช้จึงพูดกับนายว่า “เราไปแวะที่เมืองของชาวเยบุส และค้างคืนที่นั่นกันเถิด” 12 เจ้านายพูดกับเขาว่า “พวกเราจะไม่แวะเข้าไปในเมืองของชาวต่างแดนที่ไม่ใช่ชาวอิสราเอล แต่เราจะเลยไปอีกจนถึงเมืองกิเบอาห์” 13 และเขาพูดกับชายหนุ่มของเขาว่า “มาเถิด เราไปกันให้ถึงกิเบอาห์หรือรามาห์ แล้วจึงค้างคืนเสียที่ใดที่หนึ่ง” 14 ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางต่อไป เมื่อมาใกล้กิเบอาห์ซึ่งเป็นของเบนยามินแล้ว ก็พอดีกับเวลาที่ดวงอาทิตย์ตก 15 พวกเขาจึงแวะที่นั่นเพื่อจะพักแรมที่กิเบอาห์ เขาเข้าไปนั่งที่ลานเมือง เพราะไม่มีใครรับพวกเขาให้เข้าไปค้างแรมในบ้าน
16 ดูเถิด มีชายชราคนหนึ่งกำลังกลับจากงานที่ไร่ในเวลาเย็น ชายคนนี้มาจากแถบภูเขาของเอฟราอิม ขณะนั้นเขาพักแรมอยู่ที่กิเบอาห์ซึ่งเป็นที่ที่ชาวเบนยามินอาศัยอยู่ 17 เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นผู้เดินทางที่อยู่ที่ลานเมือง ชายชราจึงพูดขึ้นว่า “ท่านกำลังจะไปไหน และท่านมาจากไหน” 18 เขาตอบว่า “พวกเรากำลังเดินทางผ่านมาจากเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ เรากำลังจะไปยังที่ที่ห่างจากชุมชนในแถบภูเขาของเอฟราอิม ซึ่งเป็นที่ที่เราจากมา เราไปเบธเลเฮมในยูดาห์มา และกำลังจะไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่มีใครรับเราเข้าบ้าน 19 เรามีฟางและอาหารสำหรับลาของเรา มีขนมปังและเหล้าองุ่นสำหรับเราเองและคนรับใช้หญิงของท่าน และสำหรับชายหนุ่มกับคนรับใช้อื่นๆ ของท่าน ไม่ขาดสิ่งใดเลย” 20 ชายชราพูดว่า “สันติสุขจงอยู่กับท่าน เราจะดูแลทุกสิ่งที่ท่านต้องการ ขอเพียงอย่าค้างแรมที่ลานเลย” 21 ดังนั้นเขาจึงพาเขาเข้าไปในบ้าน และให้อาหารลา เมื่อล้างเท้าเรียบร้อยแล้วก็ดื่มกินกัน
22 ขณะที่พวกเขากำลังสำราญใจอยู่ ดูเถิด พวกชายชั่วร้ายในเมืองบางคนมาล้อมบ้าน ทุบประตู และพูดกับชายชราผู้เป็นเจ้าบ้านว่า “พาชายที่เข้ามาในบ้านท่านออกมาเถิด พวกเราจะได้สมสู่กับเขา” 23 ชายเจ้าของบ้านจึงออกไปพูดกับพวกเขาว่า “พี่น้องของเราเอ๋ย อย่านะ อย่ากระทำความชั่วอย่างนั้น เพราะชายผู้นี้เข้ามาอยู่ในบ้านของเรา อย่ากระทำสิ่งที่น่าอับอายเช่นนี้ 24 ดูเถิด ลูกสาวพรหมจารีของเราคนหนึ่งกับภรรยาน้อยของชายคนนั้น ให้เราพาพวกนางออกมาเดี๋ยวนี้เลย ท่านจะทำอะไรต่อพวกเขาก็ได้ตามความพอใจของท่าน แต่อย่ากระทำสิ่งที่น่าอับอายเช่นนี้ต่อชายผู้นี้เลย” 25 แต่ชายเหล่านั้นไม่ยอมฟังชายชรา ชายคนนั้นจึงบังคับภรรยาน้อยของเขาออกไปหาพวกเขา พวกเขาสมสู่กับนางและทำร้ายนางตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า เมื่อฟ้าเริ่มสาง พวกเขาจึงปล่อยนางไป 26 เมื่อถึงเช้า นางก็ไปหาเจ้านายที่บ้านของชายคนนั้น และล้มตัวลงที่ประตูอยู่ที่นั่นจนกระทั่งสว่าง
27 รุ่งเช้านายของนางลุกขึ้น เมื่อเขาเปิดประตูบ้าน เพื่อจะไปตามทางของเขา ดูเถิด ภรรยาน้อยของเขากำลังนอนอยู่ที่ประตูบ้าน มือเกาะธรณีประตูไว้ 28 เขาพูดกับนางว่า “ลุกขึ้น เราไปกันเถิด” แต่ไม่มีคำตอบ เขาจึงเอานางขึ้นหลังลา และชายคนนั้นเริ่มเดินทางกลับไปบ้านของตน 29 เมื่อเขาเข้าบ้าน เขาคว้ามีดและจับตัวภรรยาน้อยของตน ตัดเธอออกเป็นท่อนๆ ได้ 12 ท่อน และส่งไปทั่วดินแดนของอิสราเอล 30 ทุกคนที่เห็นก็พูดว่า “การกระทำอย่างนี้ไม่เคยเกิดขึ้น หรือไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่วันที่ชาวอิสราเอลออกจากดินแดนของอียิปต์ จนถึงวันนี้ จงพิจารณาดูเถิด ปรึกษากัน และบอกมาว่าจะทำอย่างไร”
23 เปาโลจ้องเขม็งไปยังศาสนสภาและกล่าวว่า “พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าได้ดำเนินชีวิตด้วยมโนธรรมที่ดีต่อพระเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้” 2 อานาเนียหัวหน้ามหาปุโรหิตจึงสั่งให้พวกที่ยืนอยู่ใกล้เปาโลตบปากท่าน 3 แล้วเปาโลพูดกับเขาว่า “พระเจ้าจะตบท่าน ท่านเป็นเหมือนผนังกำแพงที่ฉาบด้วยปูนขาวเท่านั้น ท่านนั่งกล่าวโทษข้าพเจ้าไปตามกฎบัญญัติ แต่ตัวท่านเองยังฝ่าฝืนกฎบัญญัติโดยที่สั่งให้คนตบข้าพเจ้า”
4 พวกที่ยืนอยู่ใกล้เปาโลพูดว่า “ท่านกล้าสบประมาทหัวหน้ามหาปุโรหิตของพระเจ้าหรือ” 5 เปาโลตอบว่า “พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าไม่ได้ตระหนักว่าเขาเป็นหัวหน้ามหาปุโรหิต ด้วยมีบันทึกไว้ว่า ‘อย่าพูดว่าร้ายต่อบุคคลในระดับปกครองพลเมือง’”[a]
6 ครั้นเปาโลเห็นว่าบางคนในศาสนสภาเป็นสะดูสี และบางคนก็เป็นฟาริสี ท่านจึงร้องขึ้นในศาสนสภาว่า “พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าเป็นฟาริสีและเป็นบุตรของฟาริสี ข้าพเจ้าถูกพิพากษาก็เพราะเรื่องความหวังในการฟื้นคืนชีวิตจากความตาย” 7 ครั้นเปาโลกล่าวเช่นนั้น พวกฟาริสีและสะดูสีก็เกิดเถียงกัน และที่ประชุมก็แบ่งออกเป็น 2 พวก 8 พวกสะดูสีพูดว่าการฟื้นคืนชีวิตนั้นไม่มีจริง อีกทั้งไม่มีทูตสวรรค์และไม่มีวิญญาณ แต่พวกฟาริสีถือว่ามีทั้งนั้น 9 แล้วก็เกิดโกลาหลขนานใหญ่ขึ้น อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคนซึ่งเป็นพวกฟาริสีก็ยืนขึ้นเถียงอย่างรุนแรงว่า “พวกเราเห็นว่าชายคนนี้ไม่มีความผิดเลย วิญญาณหรือทูตสวรรค์อาจจะกล่าวกับเขาก็ได้” 10 เมื่อการโต้เถียงเป็นไปอย่างรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่งผู้บังคับกองพันกลัวว่าคนพวกนั้นจะฉีกเปาโลออกเป็นชิ้นๆ เขาจึงสั่งให้ใช้กำลังกองทหารลงไปรับตัวท่านไปยังกรมทหาร
11 คืนต่อมาพระผู้เป็นเจ้ายืนอยู่ใกล้เปาโลกล่าวว่า “จงกล้าหาญเถิด เมื่อเจ้าได้ให้คำยืนยันเกี่ยวกับเราในเมืองเยรูซาเล็มแล้ว เจ้าต้องให้คำยืนยันในเมืองโรมด้วย”
ชาวยิววางแผนฆ่าเปาโล
12 เช้าวันรุ่งขึ้นชาวยิวได้วางแผนการร้าย และสาบานว่าจะไม่กินหรือดื่มจนกว่าจะฆ่าเปาโลก่อน 13 คนที่เกี่ยวข้องกับแผนการนี้มีกว่า 40 คน 14 เขาทั้งหลายไปหาพวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ และกล่าวว่า “เราทุกคนได้สาบานตัวกันอย่างจริงจังว่า จะไม่กินอะไรเลยจนกว่าจะฆ่าเปาโลสำเร็จ 15 บัดนี้พวกท่านและศาสนสภาขอร้องให้ผู้บังคับกองพันนำตัวเขามาหาท่าน ราวกับว่าท่านจะพิจารณาคดีเขาโดยการสอบสวนอย่างรอบคอบ และพวกเราพร้อมที่จะฆ่าเขาก่อนที่เขาจะมาถึงที่นี่”
16 แต่เมื่อลูกชายของน้องสาวเปาโลได้ยินแผนการนั้น จึงไปบอกเปาโลที่กรมทหาร 17 เปาโลก็เรียกนายร้อยคนหนึ่งเข้ามาแล้วกล่าวว่า “พาชายหนุ่มคนนี้ไปหาผู้บังคับกองพันเถิด เขามีบางสิ่งที่จะแจ้งให้ทราบ” 18 ดังนั้นเขาจึงพาชายหนุ่มนั้นไปหาผู้บังคับกองพัน นายร้อยพูดว่า “เปาโลที่เป็นนักโทษอยู่ให้ข้าพเจ้าพาชายหนุ่มคนนี้มาหาท่าน เพราะว่าเขามีเรื่องที่จะบอก” 19 ผู้บังคับกองพันจูงมือชายหนุ่มนั้นไปไต่ถามตามลำพังว่า “เจ้ามีอะไรจะบอกเราหรือ” 20 เขาพูดว่า “ชาวยิวได้ตกลงกันที่จะขอให้ท่านนำตัวเปาโลมายังศาสนสภาในวันพรุ่งนี้ ราวกับว่าต้องการจะทราบเรื่องของเปาโลให้ละเอียดมากขึ้น 21 อย่าให้เปาโลไปกับพวกเขา เพราะว่ามีผู้คนกว่า 40 คนกำลังดักซุ่มโจมตีอยู่ เขาเหล่านั้นได้สาบานไว้ว่าจะไม่กินหรือดื่มจนกว่าจะฆ่าเปาโลได้ก่อน บัดนี้เขาพร้อมกันแล้ว และกำลังรอการตัดสินใจของท่านอยู่” 22 ผู้บังคับกองพันให้ชายหนุ่มนั้นไปและกำชับว่า “อย่าบอกผู้ใดว่าเจ้าได้รายงานเรื่องนี้ให้กับเรา”
เปาโลถูกส่งตัวไปยังผู้ว่าราชการเฟลิกส์
23 แล้วเขาเรียกนายร้อย 2 คนมาสั่งว่า “จงเตรียมพลทหาร 200 คนกับทหารม้า 70 คน และทหารหอก 200 คนให้พร้อม เพื่อที่จะไปยังเมืองซีซารียาเวลา 3 ทุ่มคืนวันนี้ 24 จงจัดม้าให้เปาโลขี่ เพื่อจะได้พาตัวเขาไปหาผู้ว่าราชการเฟลิกส์อย่างปลอดภัย” 25 เขาได้เขียนจดหมายได้ความดังนี้
26 “คลาวดิอัสลีเซียสส่งความคิดถึงมายังใต้เท้าผู้ว่าราชการเฟลิกส์ 27 ชาวยิวจับกุมชายผู้นี้ไปและเกือบจะฆ่าเขาแล้ว แต่ข้าพเจ้าเอาพวกทหารไปช่วยเขาไว้ได้ เพราะข้าพเจ้าทราบมาว่าเขาเป็นคนสัญชาติโรมัน 28 ข้าพเจ้าต้องการทราบว่าเหตุใดเขาเหล่านั้นจึงกล่าวหาชายผู้นี้ ข้าพเจ้าจึงได้พาเขาไปยังศาสนสภาของพวกเขาเอง 29 ข้าพเจ้าเห็นว่าการกล่าวหานั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎบัญญัติของพวกเขา แต่ไม่มีข้อหาที่จะปรักปรำให้เขามีโทษถึงตายหรือจำคุก 30 มีคนมาบอกข้าพเจ้าถึงแผนการที่มุ่งร้ายต่อเขา ข้าพเจ้าจึงส่งเขามาหาท่านทันที ข้าพเจ้าได้ออกคำสั่งให้พวกที่กล่าวหาเขาไปฟ้องร้องคดีต่อท่านด้วย”
31 ฉะนั้น พวกทหารที่ปฏิบัติตามคำสั่งก็พาเปาโลไปในเวลากลางคืน จนถึงเมืองอันทิปาตรีส์ 32 วันรุ่งขึ้นก็ปล่อยให้เหล่าทหารม้าเดินทางต่อไปกับเปาโล ส่วนที่เหลือก็กลับไปยังกรมทหาร 33 เมื่อเหล่าทหารม้ามาถึงเมืองซีซารียาแล้ว ก็ได้ยื่นจดหมายให้ผู้ว่าราชการและมอบเปาโลไว้ให้ท่าน 34 ผู้ว่าราชการอ่านจดหมายและถามว่าเปาโลมาจากแคว้นไหน เมื่อรู้ว่ามาจากแคว้นซีลีเซีย 35 ท่านจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะพิจารณาคดีของท่านเมื่อพวกกล่าวหามาถึงที่นี่” แล้วท่านสั่งให้คุมเปาโลไว้ที่วังของกษัตริย์เฮโรด
พระผู้เป็นเจ้าสัญญาให้มีสันติสุข
33 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ครั้งที่สอง ขณะที่ท่านยังถูกกักตัวอยู่ที่ลานทหารยาม 2 พระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างแผ่นดินโลก ผู้ปั้นและสถาปนามันขึ้นมา พระผู้เป็นเจ้าคือพระนามของพระองค์ พระองค์กล่าวดังนี้ว่า 3 “จงร้องถึงเรา และเราจะตอบเจ้า และจะบอกเจ้าถึงสิ่งต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่และถูกซ่อนไว้ซึ่งเจ้ายังไม่รู้” 4 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวถึงบ้านเรือนของเมืองนี้และวังทั้งหลายของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ที่ถูกพังลง เนื่องจากพวกเขาป้องกันและต่อสู้เมื่อศัตรูใช้อาวุธและก่อเชิงเทินประชิดตัว 5 ในการต่อสู้กับชาวเคลเดีย “จะมีร่างของคนตายในบ้านเรือน เราเป็นผู้ที่ฆ่าพวกเขาเนื่องจากความโกรธและกริ้วมาก เราได้ซ่อนหน้าของเราไปจากเมืองนี้แล้วก็เพราะความชั่วร้ายของพวกเขา 6 ดูเถิด เราจะทำให้เมืองนี้ได้รับการเยียวยารักษาและได้สุขภาพดีกลับคืนมา เราจะรักษาพวกเขาให้หายขาดและได้อยู่อย่างสุขสบายและปลอดภัย 7 เราจะให้ยูดาห์และอิสราเอลเจริญรุ่งเรืองในแผ่นดินอีก และสร้างเมืองขึ้นใหม่เหมือนกับที่เคยเป็นมาตั้งแต่แรก 8 เราจะชำระพวกเขาให้สะอาดจากความผิดบาปที่มีต่อเราทั้งสิ้น และเราจะยกโทษความผิดบาปและการขัดขืนที่มีต่อเราทั้งสิ้น 9 เมืองนี้จะเป็นเมืองแห่งความยินดี การสรรเสริญ และเกียรติสำหรับเรา เมื่อประชาชาติทั้งปวงของแผ่นดินโลกทราบถึงสิ่งดีๆ ทั้งปวงที่เรากระทำให้แก่เมืองนี้ พวกเขาจะหวาดกลัวและตัวสั่นเทาเพราะสิ่งดีๆ ทุกสิ่งและความสุขสบายที่เราให้พวกเขาได้รับ”
10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “พวกเจ้าพูดว่า ‘นี่เป็นที่รกร้าง ไร้มนุษย์และสัตว์’ ในเมืองต่างๆ ของยูดาห์ และถนนของเยรูซาเล็มที่ถูกทิ้งเป็นที่ร้าง ไร้มนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่ แต่ผู้คนจะได้ยินอีก 11 เสียงแห่งความยินดีและดีใจ เสียงของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว และเสียงร้องเพลง ขณะที่พวกเขานำของถวายแห่งการขอบคุณมายังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า
‘จงขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา
เพราะพระผู้เป็นเจ้าประเสริฐ
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล’[a]
เพราะเราจะให้แผ่นดินเจริญรุ่งเรืองอย่างที่เคยเป็นมาตั้งแต่แรก” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น
12 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ว่า “ในที่รกร้างเช่นนี้ ซึ่งไร้มนุษย์และสัตว์ อีกทั้งเมืองต่างๆ ก็จะมีทุ่งหญ้าให้บรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะพาแกะมาเล็มหญ้าอีก 13 ในเมืองต่างๆ ในแถบภูเขา ในที่ลุ่ม และในเนเกบ ในดินแดนของเบนยามิน และในที่ต่างๆ รอบเยรูซาเล็ม และในเมืองต่างๆ ของยูดาห์ ผู้เลี้ยงดูฝูงแกะจะนับจำนวนแกะอีก” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น
พันธสัญญาอันยั่งยืนของพระผู้เป็นเจ้าที่มีกับดาวิด
14 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ดูเถิด จะถึงวันเมื่อเราจะทำตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับพงศ์พันธุ์อิสราเอลและยูดาห์ 15 ในครั้งนั้น และในเวลานั้นเราจะให้มีอังกูร[b]ผู้หนึ่งซึ่งกอปรด้วยความชอบธรรมสืบเชื้อสายมาจากดาวิด และท่านจะปฏิบัติด้วยความเป็นธรรมและความชอบธรรมในแผ่นดิน 16 ในวันนั้น ยูดาห์จะปลอดภัย และเยรูซาเล็มจะอยู่อย่างมั่นคง ผู้คนจะเรียกชื่อเมืองนี้ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าเป็นความชอบธรรมของพวกเรา’”
17 ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “ผู้สืบเชื้อสายของดาวิดที่จะนั่งบนบัลลังก์ของพงศ์พันธุ์อิสราเอลจะไม่มีวันสูญไป 18 และจะมีบรรดาปุโรหิตจากเผ่าเลวีมอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย เผาเครื่องธัญญบูชา และมอบเครื่องสักการะ ณ เบื้องหน้าเราเป็นนิตย์”
19 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ 20 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “ถ้าเจ้าสามารถทำให้กลางวันและกลางคืนหยุดหมุนเวียนตามกำหนดเวลาที่เราระบุไว้ได้ 21 พันธสัญญาของเราที่มีกับดาวิดผู้รับใช้ของเราก็จะเลิกล้มได้ โดยที่เขาจะไม่มีบุตรชายที่จะครองบัลลังก์ของเขา และจะไม่มีพันธสัญญาของเราที่มีกับบรรดาปุโรหิตจากเผ่าเลวีผู้ปฏิบัติรับใช้เรา 22 ในเมื่อไม่มีผู้ใดนับดวงดาวทั้งหลายในฟ้าสวรรค์ หรือนับเม็ดทรายในทะเลได้ ดังนั้นเราก็จะทวีจำนวนเชื้อสายของดาวิดผู้รับใช้ของเราและบรรดาปุโรหิตจากเผ่าเลวีผู้ปฏิบัติรับใช้เราให้มากมายเช่นนั้น”
23 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ดังนี้ 24 “เจ้าไม่ได้สังเกตหรือว่า ชนชาตินี้กำลังพูดกันว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมรับ 2 ตระกูลที่พระองค์เลือก’ พวกเขาจึงดูหมิ่นชนชาติของเราและนับว่าเขาเหล่านั้นไม่ใช่ประชาชาติในสายตาของพวกเขา 25 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ถ้าเราไม่รักษาสัญญาเรื่องวันและคืนและกฎของฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก 26 เราก็จะไม่ยอมรับเชื้อสายของยาโคบและดาวิดผู้รับใช้ของเรา และจะไม่เลือกผู้หนึ่งในบรรดาเชื้อสายของเขาให้ปกครองเชื้อสายของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ เพราะเราจะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของพวกเขาคืนสู่สภาพเดิม และเราจะมีเมตตาต่อพวกเขา”
วางใจในพระเจ้ายามถูกต่อต้าน
เพลงสดุดีของดาวิด คราวที่หลบหนีจากอับซาโลมซึ่งเป็นบุตรชายของท่าน[a]
1 ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ามีศัตรูมากมาย
คนจำนวนมากลุกขึ้นต่อต้านข้าพเจ้า
2 หลายคนพูดถึงข้าพเจ้าว่า
“ไม่มีความรอดพ้นที่มาจากพระเจ้าสำหรับเขาเลย” เซล่าห์[b]
3 แต่พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เป็นเสมือนโล่ป้องกันของข้าพเจ้า
เป็นพระบารมีของข้าพเจ้า
และเป็นองค์ผู้ให้ข้าพเจ้าชูศีรษะขึ้นได้อีก
4 ข้าพเจ้าจะร้องด้วยเสียงอันดังต่อพระผู้เป็นเจ้า
และพระองค์จะตอบข้าพเจ้าจากภูเขาอันบริสุทธิ์ของพระองค์ เซล่าห์
5 ข้าพเจ้านอนลง ครั้นแล้วก็นอนหลับไป
ข้าพเจ้าตื่นขึ้นได้ก็เพราะพระผู้เป็นเจ้าคุ้มครอง
6 ข้าพเจ้าจะไม่กลัวผู้คนนับหมื่น
ที่อยู่รายรอบซึ่งพร้อมจะต่อต้านข้าพเจ้า
7 ได้โปรดลุกขึ้นเถิด ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นเถิด พระเจ้าของข้าพเจ้า
เพราะพระองค์ตบหน้าศัตรูของข้าพเจ้าทุกคน
และทำให้ฟันฟางของคนชั่วทั้งปวงหักเสีย
8 ความรอดพ้นเป็นของพระผู้เป็นเจ้า
ขอพระพรของพระองค์อยู่กับชนชาติของพระองค์ เซล่าห์
วิงวอนขอให้พระผู้เป็นเจ้าช่วยด้วยใจมั่น
ถึงหัวหน้าวงดนตรี ด้วยเครื่องสาย เพลงสดุดีของดาวิด
1 เวลาข้าพเจ้าร้องเรียกถึง ได้โปรดตอบข้าพเจ้าเถิด
พระเจ้าแห่งความชอบธรรมของข้าพเจ้า
เวลาข้าพเจ้าเศร้าใจ พระองค์ยังช่วยให้ข้าพเจ้าโล่งใจ
โปรดมีพระคุณต่อข้าพเจ้าและฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้าเถิด
2 มนุษย์เอ๋ย เกียรติของเราจะต้องทนต่อความละอายนานแค่ไหน
เจ้าจะรักคำพูดอันไร้ประโยชน์ และแสวงหาสิ่งมดเท็จไปนานแค่ไหน เซล่าห์
3 แต่จงรู้ไว้เถิดว่า พระผู้เป็นเจ้าได้เลือกผู้ภักดีให้กับพระองค์เอง
พระผู้เป็นเจ้าจะฟังเวลาข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระองค์
4 จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่ากระทำบาป[c]
ใคร่ครวญในใจของเจ้าเอง บนเตียงนอนของเจ้า
และสงบเงียบไว้ เซล่าห์
5 จงมอบเครื่องสักการะบูชาอย่างถูกต้อง
และไว้วางใจในพระผู้เป็นเจ้า
6 หลายคนพูดว่า “ใครจะแสดงให้เราเห็นสิ่งดีงาม” โอ พระผู้เป็นเจ้า
โปรดให้แสงอันรุ่งโรจน์จากใบหน้าของพระองค์สัมผัสพวกเราเถิด
7 ความยินดีในใจข้าพเจ้าที่พระองค์ได้ให้นั้น
มากเกินกว่าความอุดมสมบูรณ์จากพืชผล
และเหล้าองุ่นที่คนอื่นๆ มีเสียอีก
8 ข้าพเจ้าจะเอนกายลงและนอนหลับด้วยใจสงบ
โอ พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่า
พระองค์เท่านั้นที่ทำให้ข้าพเจ้าอยู่ในที่ปลอดภัย
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation