M’Cheyne Bible Reading Plan
ส่วนแบ่งทางทิศตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน
14 ชาวอิสราเอลได้รับมรดกต่อไปนี้ในดินแดนคานาอันจากเอเลอาซาร์ปุโรหิตและโยชูวาบุตรของนูนและบรรดาหัวหน้าตระกูลประจำเผ่าของชาวอิสราเอล 2 มรดกของพวกเขาแบ่งกันได้โดยการจับฉลาก ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาผ่านทางโมเสสให้แก่เก้าเผ่าครึ่ง 3 เพราะว่าโมเสสได้มอบมรดกแก่สองเผ่าครึ่งที่โพ้นแม่น้ำจอร์แดนแล้ว แต่ท่านไม่ได้มอบมรดกให้แก่ชาวเลวี 4 เพราะว่าลูกหลานของโยเซฟมี 2 เผ่าคือ มนัสเสห์ และเอฟราอิม และชาวเลวีไม่ได้รับส่วนแบ่งในแผ่นดิน เพียงแต่มีเมืองเป็นที่อยู่อาศัย พร้อมทั้งทุ่งหญ้าสำหรับฝูงปศุสัตว์และสมบัติของเขา 5 ชาวอิสราเอลกระทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสส คือพวกเขาได้แบ่งดินแดนกัน
มรดกของคาเลบ
6 ชาวยูดาห์มาหาโยชูวาที่กิลกาล และคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ชาวเคนัสพูดกับท่านว่า “ท่านทราบแล้วว่า พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวอย่างไรกับโมเสสคนของพระเจ้าที่คาเดชบาร์เนียเกี่ยวกับท่านและข้าพเจ้า[a] 7 ข้าพเจ้าอายุ 40 ปีในครั้งที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้าไปจากคาเดชบาร์เนียเพื่อสอดแนมแผ่นดิน และข้าพเจ้าก็นำข่าวกลับมาให้ท่านตามความในใจของข้าพเจ้า 8 แต่พวกพี่น้องที่ขึ้นไปกับข้าพเจ้าทำให้ประชาชนระทดท้อใจ ข้าพเจ้าก็ยังกระทำตามพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าด้วยใจจริง 9 และโมเสสสาบานในวันนั้นว่า ‘ดินแดนที่เท้าของท่านเหยียบย่างไปจะเป็นมรดกสำหรับท่านและลูกหลานของท่านไปตลอดกาลอย่างแน่นอน เพราะว่าท่านได้กระทำตามพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าด้วยใจจริง’ 10 จนบัดนี้ ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ตามที่พระองค์กล่าวไว้ 45 ปีนับจากเวลาที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวเช่นนี้กับโมเสส ขณะที่อิสราเอลเดินทางอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ดูเถิด เวลานี้ข้าพเจ้าอายุ 85 ปี 11 วันนี้ข้าพเจ้ายังแข็งแรงเท่าๆ กับวันที่โมเสสให้ข้าพเจ้าไป พละกำลังของข้าพเจ้าในวันนี้ก็เท่ากับพละกำลังในครั้งนั้น ไม่ว่าจะใช้ในการทำศึกหรือไปไหนมาไหนก็ตาม 12 ฉะนั้นขอให้ท่านมอบดินแดนแถบภูเขานี้ที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงในวันนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด เพราะท่านทราบในเวลานั้นว่าชาวอานาคอยู่ที่นั่นมีเมืองขนาดใหญ่และมีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง เป็นไปได้ที่พระผู้เป็นเจ้าจะอยู่กับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะขับไล่พวกเขาออกไป อย่างที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้”
13 ครั้นแล้ว โยชูวาก็อวยพรท่าน และมอบเฮโบรนเป็นมรดกให้แก่คาเลบบุตรเยฟุนเนห์ 14 ดังนั้นเฮโบรนจึงเป็นมรดกของคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ชาวเคนัสมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะว่าท่านกระทำตามพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลด้วยใจจริง 15 ก่อนหน้านั้นเฮโบรนชื่อ คีริยาทอาร์บา (อาร์บาเป็นชายที่เก่งกล้าที่สุดของชาวอานาค) และแผ่นดินก็สงบจากศึกสงคราม
ส่วนแบ่งสำหรับยูดาห์
15 ส่วนแบ่งสำหรับเผ่าของชาวยูดาห์ตามแต่ละครอบครัว ไปทางทิศใต้จนถึงเขตแดนของเอโดม และถิ่นทุรกันดารศินซึ่งเป็นจุดใต้สุด 2 และเขตแดนทิศใต้ตั้งต้นจากปลายทะเลเกลือ ทางอ่าวที่หันไปยังทิศใต้ 3 และเบนไปทางทิศใต้ขึ้นเนินสูงอัครับบิม ผ่านต่อไปถึงศิน และขึ้นไปทางใต้ของคาเดชบาร์เนีย ข้ามไปยังเฮสโรน ขึ้นไปถึงอัดดาร์ เลี้ยวไปถึงคาร์คา 4 ผ่านต่อไปถึงอัสโมน ยื่นออกไปที่ข้างธารน้ำอียิปต์ และสุดลงที่ทะเล นี่แหละเป็นเขตแดนของพวกท่านทางทิศใต้ 5 เขตแดนทางทิศตะวันออกคือทะเลเกลือถึงปากแม่น้ำจอร์แดน เขตแดนทางทิศเหนือตั้งต้นจากอ่าวทะเลที่ปากแม่น้ำจอร์แดน 6 และขึ้นไปที่เบธโฮกลาห์ ผ่านต่อไปทางเหนือของเบธอาราบาห์ ขึ้นไปจนถึงก้อนหินโบฮันบุตรรูเบน 7 และเขตแดนเลยขึ้นไปจนถึงเดบีร์จากหุบเขาอาโคร์ และเลี้ยวไปทางทิศเหนือหันไปทางกิลกาลซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเนินอาดุมมิมซึ่งอยู่ทางด้านใต้ของหุบเขา และผ่านต่อไปถึงน้ำพุเอนเชเมช และสุดลงที่เอนโรเกล 8 และเขตแดนเลยขึ้นไปที่ข้างหุบเขาแห่งบุตรของฮินโนมถึงทางลาดขึ้นของชาวเยบุส (คือเยรูซาเล็ม) และเขตแดนเลยขึ้นไปยังยอดภูเขาที่ตั้งพิงหุบเขาฮินโนมทางทิศตะวันตก ซึ่งอยู่ที่ด้านเหนือสุดของหุบเขาเรฟาอิม 9 แล้วเขตแดนยื่นไปจากยอดภูเขานั้น จนถึงน้ำพุเนฟโทอาห์ และจากที่นั้นไปจนถึงเมืองแห่งภูเขาเอโฟรน และเขตแดนโค้งไปจนถึงบาอาลาห์ (คือคีริยาทเยอาริม) 10 และเขตแดนวนไปทางทิศตะวันตกของบาอาลาห์จนถึงภูเขาเสอีร์ เลยไปจนถึงด้านเหนือของภูเขาเยอาริม (คือเคสะโลน) และลงไปถึงเมืองเบธเชเมช และเลยเรียบเคียงเมืองทิมนาห์ 11 เขตแดนยื่นออกไปถึงขอบเขาซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเอโครน แล้วเขตแดนโค้งไปรอบๆ จนถึงชิกเคโรน และข้ามไปยังภูเขาบาอาลาห์ และยื่นออกไปถึงยับเนเอล แล้วเขตแดนสิ้นสุดลงที่ทะเล 12 และเขตแดนทางทิศตะวันตกคือทะเลใหญ่รวมถึงฝั่งชายทะเล นี่คือเขตแดนรอบๆ ชาวยูดาห์ ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา
13 ตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อโยชูวา ท่านก็ได้มอบส่วนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางชาวยูดาห์ให้คาเลบบุตรเยฟุนเนห์ ส่วนนั้นคือคีริยาทอาร์บา คือเฮโบรน (อาร์บาเป็นบิดาของอานาค) 14 และคาเลบขับไล่บุตร 3 คนของอานาคออกไปคือ เชชัย อาหิมาน และทัลมัย บรรดาผู้สืบเชื้อสายของอานาค 15 และเขาขึ้นไปจากที่นั่นเพื่อสู้รบกับผู้อยู่อาศัยของเมืองเดบีร์ ก่อนหน้านั้นเมืองเดบีร์ชื่อ คีริยาทเสเฟอร์ 16 และคาเลบพูดว่า “ผู้ใดโจมตีและยึดคีริยาทเสเฟอร์ได้ เราจะยกอัคสาห์บุตรสาวของเราให้เป็นภรรยา” 17 โอทนีเอลบุตรของเคนัสผู้เป็นน้องคาเลบยึดเมืองไว้ได้ เขาจึงยกอัคสาห์บุตรหญิงของเขาให้เป็นภรรยา 18 เมื่อนางไปหาโอทนีเอล นางก็จูงใจเขาเพื่อจะขอทุ่งนาแห่งหนึ่งจากบิดาของนาง นางลงจากลา คาเลบจึงถามนางว่า “เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ” 19 นางพูดว่า “ขอพรให้ลูก ในเมื่อท่านได้ให้ดินแดนเนเกบแก่ลูกแล้ว ก็ให้น้ำพุแก่ลูกด้วยเถิด” แล้วเขาก็ยกน้ำพุที่อยู่ด้านบนและด้านล่างให้นางไป
20 ต่อไปนี้เป็นมรดกสำหรับเผ่าชาวยูดาห์ ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา 21 เมืองต่างๆ ที่เป็นของเผ่าชาวยูดาห์ในแถบเนเกบซึ่งหันไปทางเขตแดนเอโดม ได้แก่เมืองขับเซเอล เอเดอร์ และยากูร์ 22 คีนาห์ ดีโมนาห์ อาดาดาห์ 23 เคเดช ฮาโซร์ อิทนาน 24 ศิฟ เทเลม เบอาโลท 25 ฮาโซร์ฮาดัททาห์ เคริโอทเฮสโรน (คือฮาโซร์) 26 อามัม เช-มา โมลาดาห์ 27 ฮาซาร์กัดดาห์ เฮชโมน เบธปาเลท 28 ฮาซาร์ชูอาล เบเออร์เช-บา บิซิโอธิยาห์ 29 บาอาลาห์ อิยิม เอเซม 30 เอลโทลัด เคสีล โฮร์มาห์ 31 ศิกลาก มัดมันนาห์ สันสันนาห์ 32 เลบาโอท ชิลฮิม อายิน และริมโมน รวมทั้งหมดเป็น 29 เมือง มีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
33 และบริเวณที่ลุ่มมีเมืองเอชทาโอล โศราห์ อัชนาห์ 34 ศาโนอาห์ เอนกันนิม ทัปปูวาห์ เอนาม 35 ยาร์มูท อดุลลาม โสโคห์ อาเซคาห์ 36 ชาอาราอิม อดีธาอิม เกเดราห์ เกเดโรธิอิม รวมเป็น 14 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
37 เมืองเศนัน ฮดัสสาห์ มิกดัลกาด 38 ดิเลอัน มิสเปห์ โยกเธเอล 39 ลาคีช โบสคาท เอกโลน 40 คับโบน ลามัม คิทลิช 41 เกเดโรท เบธดาโกน นาอามาห์ และมักเคดาห์ รวมเป็น 16 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
42 ลิบนาห์ เอเธอร์ อาชาน 43 อิฟทาห์ อัชนาห์ เนซีบ 44 เคอีลาห์ อัคซีบ มาเรชาห์ รวมเป็น 9 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
45 เอโครน รวมเมืองย่อยและหมู่บ้านในเมืองนั้น 46 จากเอโครนจนถึงทะเล กับทุกสิ่งที่อยู่ติดกับอัชโดด และมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
47 อัชโดดอีกทั้งเมืองย่อยและหมู่บ้านในเมือง กาซาอีกทั้งเมืองย่อยและหมู่บ้านในเมือง จนถึงธารน้ำของอียิปต์ และทะเลใหญ่กับฝั่งชายทะเล
48 และในแถบภูเขาคือ ชามีร์ ยาททีร์ โสโคห์ 49 ดานนาห์ คีริยาทสันนาห์ (คือเดบีร์) 50 อานาบ เอชเทโมห์ อานิม 51 โกเชน โฮโลน กิโลห์ รวมเป็น 11 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
52 อาหรับ ดูมาห์ เอชาน 53 ยานิม เบธทัปปูวาห์ อาเฟคาห์ 54 ฮุมทาห์ คีริยาทอาร์บา (คือเฮโบรน) และศิโยร์ รวมเป็น 9 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
55 มาโอน คาร์เมล ศิฟ ยุทธาห์ 56 ยิสเรเอล โยกเดอัม ศาโนอาห์ 57 คายิน กิเบอาห์ และทิมนาห์ รวมเป็น 10 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
58 ฮัลฮูล เบธซูร์ เกโดร์ 59 มาอาราท เบธาโนท และเอลเทโคน รวมเป็น 6 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
60 คีริยาทบาอัล (คือคีริยาทเยอาริม) และรับบาห์ รวมเป็น 2 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
61 ในถิ่นทุรกันดารคือ เบธอาราบาห์ มิดดีน เสคะคาห์ 62 นิบชาน เมืองเกลือ และเอนเกดี รวมเป็น 6 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
63 แต่ชาวยูดาห์ไม่สามารถขับไล่ชาวเยบุสซึ่งเป็นผู้อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม ชาวเยบุสอาศัยอยู่ที่นั่นกับชาวยูดาห์มาจนถึงทุกวันนี้
ไว้ใจพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์
1 สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
โอ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าเถิด
2 ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าไปชั่วชีวิต
ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญถวายแด่พระเจ้าของข้าพเจ้าตราบที่มีชีวิตอยู่
3 อย่าวางใจในบรรดาเจ้าขุนมูลนาย
หรือมนุษย์อื่นซึ่งไม่สามารถช่วยให้รอดพ้นได้
4 เมื่อเขาหมดลมหายใจ เขาก็กลับคืนสู่ดิน
แผนการต่างๆ ที่วางไว้ก็เป็นอันจบสิ้นในวันนั้นเอง
5 คนที่พระเจ้าของยาโคบช่วยเหลือไว้
คนที่มีความหวังในพระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นพระเจ้าของเขา ก็เป็นสุข
6 พระองค์ได้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
ทะเลและทุกสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านั้น[a]
พระองค์รักษาสัญญาเสมอ
7 พระองค์คุ้มครองผู้ถูกบีบบังคับ
และให้อาหารแก่ผู้หิวโหย
พระผู้เป็นเจ้าปล่อยพวกถูกคุมขังให้เป็นอิสระ
8 พระผู้เป็นเจ้าทำให้คนตาบอดมองเห็น
พระผู้เป็นเจ้าพยุงพวกเขาขึ้นมาจากความสิ้นหวัง
พระผู้เป็นเจ้ารักผู้มีความชอบธรรม
9 พระผู้เป็นเจ้าคุ้มครองคนต่างด้าว
พระองค์บรรเทาทุกข์ของหญิงม่ายและเด็กกำพร้า
แต่พระองค์ทำลายหนทางของคนชั่วร้าย
10 พระผู้เป็นเจ้าครองบัลลังก์อยู่ตลอดกาล
โอ ศิโยนเอ๋ย พระเจ้าของเจ้าครองอยู่ทุกชั่วอายุคน
จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
ทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า
1 จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
เพราะเป็นสิ่งดีที่จะได้ร้องเพลงถวายแด่พระเจ้าของเรา
เพราะเพลงสรรเสริญนั้นทำให้เบิกบานใจและยังเหมาะสมอีกด้วย
2 พระผู้เป็นเจ้าสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่
พระองค์รวบรวมชาวอิสราเอลที่ถูกขับไล่
3 พระองค์เป็นผู้รักษาคนชอกช้ำใจ
และพันบาดแผลให้เขา
4 พระองค์กำหนดจำนวนดวงดาว
และตั้งชื่อให้ดาวทุกดวง
5 พระผู้เป็นเจ้าของเราใหญ่ยิ่งและมีอานุภาพเป็นที่สุด
ความเข้าใจของพระองค์ไม่มีขอบเขตจำกัด
6 พระผู้เป็นเจ้าปลดเปลื้องความทุกข์ของคนที่ถูกบีบบังคับ
พระองค์ทำให้คนชั่วร้ายสยบจนจมดิน
7 จงร้องเพลงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าด้วยการขอบคุณพระองค์
จงบรรเลงเพลงแด่พระเจ้าด้วยพิณเล็ก
8 พระองค์คลุมฟ้าสวรรค์ด้วยก้อนเมฆ
พระองค์เตรียมฝนไว้ให้แผ่นดินโลก
และทำให้ต้นหญ้าเติบโตบนภูเขา
9 พระองค์ให้อาหารแก่สัตว์
และพวกลูกกาที่ขับขาน
10 ความชื่นชมยินดีของพระองค์ไม่ได้อยู่ที่พละกำลังของม้า
และความพอใจของพระองค์ไม่ได้อยู่ที่แข้งขาของมนุษย์
11 แต่ความเปรมปรีดิ์ของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่ผู้เกรงกลัวพระองค์
และบรรดาผู้หวังใจในความรักอันมั่นคงของพระองค์
12 เยรูซาเล็มเอ๋ย จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าเถิด
โอ ศิโยนเอ๋ย สรรเสริญพระเจ้าของเจ้าเถิด
13 เพราะพระองค์ทำให้ดาลประตูของเจ้าแข็งแรง
พระองค์ให้พรแก่คนของเจ้า
14 พระองค์สร้างสันติสุขให้เกิดในเขตแดนของเจ้า
พระองค์ให้เจ้ากินข้าวสาลีชั้นเยี่ยมจนอิ่มหนำ
15 พระองค์มีคำบัญชาไปยังแผ่นดินโลก
คำกล่าวของพระองค์ไปถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว
16 พระองค์โปรยหิมะที่ปุยราวกับขนแกะ
พระองค์โปรยน้ำค้างแข็งราวกับขี้เถ้า
17 พระองค์ปาลูกเห็บออกไปราวกับก้อนกรวด
ใครจะทนความหนาวเย็นที่มาจากพระองค์ได้
18 พระองค์ออกคำสั่งของพระองค์ไป แล้วน้ำแข็งก็ละลาย
พระองค์ผ่อนลมหายใจออก น้ำก็จะไหลไป
19 พระองค์ประกาศคำกล่าวของพระองค์แก่ยาโคบ
กฎเกณฑ์และคำบัญชาของพระองค์แก่อิสราเอล
20 พระองค์ไม่ได้กระทำอย่างนี้กับประชาชาติทั้งปวง
พวกเขาไม่ทราบคำบัญชาของพระองค์
จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
ความชั่วร้ายในแผ่นดิน
7 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ดังนี้ว่า 2 “จงยืนที่ประตูพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และประกาศคำกล่าวว่า ชาวยูดาห์ทั้งปวงที่เข้าทางประตู เพื่อนมัสการพระผู้เป็นเจ้า จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า” 3 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า “จงเปลี่ยนวิถีทางและการกระทำของพวกเจ้า และเราจะให้เจ้าอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ 4 อย่าวางใจในคำที่ลวงหลอกที่ว่า ‘นี่เป็นพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า พระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า พระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า’
5 เพราะว่าถ้าพวกเจ้าเปลี่ยนวิถีทางและการกระทำของเจ้าจริงๆ ถ้าเจ้าปฏิบัติด้วยความเป็นธรรมต่อกันและกัน 6 ถ้าเจ้าไม่กดขี่ข่มเหงผู้ลี้ภัย ผู้กำพร้าพ่อ หรือแม่ม่าย หรือฆ่าคนไร้ความผิดในที่แห่งนี้ และถ้าพวกเจ้าไม่ไปติดตามบรรดาเทพเจ้าซึ่งเป็นอันตรายต่อตัวเจ้าเอง 7 แล้วเราก็จะให้พวกเจ้าอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ ในแผ่นดินที่เรามอบให้แก่บรรพบุรุษของเจ้าตลอดกาล[a]
8 ดูเถิด เจ้าไว้วางใจในคำที่ลวงหลอกซึ่งไม่เกิดผลอะไร 9 พวกเจ้าขโมย ฆ่า ผิดประเวณี พูดเท็จในคำสาบาน เผาเครื่องหอมแก่เทพเจ้าบาอัล ไปติดตามบรรดาเทพเจ้า ซึ่งเจ้าไม่เคยรู้จัก 10 แล้วเจ้ามายืนต่อหน้าเราในตำหนักนี้ ซึ่งได้รับเรียกว่าเป็นของเรา และพวกเจ้าพูดว่า ‘พวกเราปลอดภัย’ แต่ก็ยังกระทำสิ่งที่น่ารังเกียจเหล่านี้ต่อไปอีกอย่างนั้นหรือ 11 ตำหนักอันเป็นที่นมัสการเรานี้ ได้รับเรียกว่าเป็นของเรา กลายเป็นถ้ำโจร[b]ในสายตาของเจ้าหรือ ดูเถิด เราเองได้เห็นว่าเป็นเช่นนั้นแล้ว” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 12 “บัดนี้เจ้าจงไปยังสถานที่ของเราในเมืองชิโลห์[c] ซึ่งในตอนแรกชื่อของเราอยู่ที่นั่น และไปดูว่าเราได้ทำอะไรต่อสถานที่นั้นเนื่องจากความชั่วของอิสราเอลชนชาติของเรา 13 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า และบัดนี้ เป็นเพราะพวกเจ้าได้กระทำสิ่งเหล่านี้ และเราก็ได้พูดกับพวกเจ้าเสมอมา แต่เจ้าก็ไม่ยอมฟัง เมื่อเราเรียกเจ้า เจ้าก็ไม่ตอบ 14 ฉะนั้น เราจะกระทำต่อตำหนักซึ่งได้รับเรียกว่าเป็นของเรา และเป็นที่เจ้าไว้วางใจ และจะกระทำต่อสถานที่ซึ่งเรามอบให้แก่เจ้าและแก่บรรพบุรุษของเจ้า ดังที่เราได้กระทำต่อชิโลห์ 15 และเราจะขับไล่พวกเจ้าไปให้พ้นหน้าเรา อย่างที่เราขับไล่บรรดาญาติพี่น้องของเจ้า คือเชื้อสายของเอฟราอิมทุกคน
16 ส่วนเจ้าเอง เยเรมีย์ จงอย่าอธิษฐานให้คนเหล่านี้ หรือส่งเสียงร้องหรืออธิษฐานให้พวกเขา และอย่าอธิษฐานต่อเราแทนพวกเขา เพราะเราจะไม่ฟังเจ้า 17 เจ้าไม่เห็นหรือว่า พวกเขากำลังทำอะไรในเมืองของยูดาห์และที่ถนนของเยรูซาเล็ม 18 พวกเด็กๆ รวบรวมกิ่งไม้ พ่อๆ ก็ติดไฟ พวกผู้หญิงนวดแป้งเพื่อทำขนมให้ราชินีแห่งสวรรค์[d] และพวกเขารินเครื่องดื่มบูชาแก่ปวงเทพเจ้าเพื่อจะยั่วโทสะเรา 19 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า เราน่ะหรือที่พวกเขายั่วโทสะ ไม่ใช่พวกเขาหรอกหรือที่ทำให้อับอายกันเอง 20 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ฉะนั้น ดูเถิด ความกริ้วและการลงโทษของเราจะหลั่งลงบนที่แห่งนี้ บนมนุษย์และสัตว์ป่า บนต้นไม้ในไร่นาและผลที่ได้จากพื้นดิน มันจะลุกไหม้และไม่มีใครดับมันได้”
21 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ “จงใช้เครื่องสักการะของเจ้ากับสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย แล้วพวกเจ้าก็กินเนื้อสัตว์เองด้วยเลย 22 เพราะในวันที่เรานำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เราไม่ได้บอกบรรพบุรุษของเจ้า หรือบัญชาพวกเขาเรื่องสัตว์ที่เผาเป็นของถวายและเครื่องสักการะบูชา 23 แต่คำบัญชาที่เราสั่งพวกเขาก็คือ ‘จงเชื่อฟังเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นชนชาติของเรา และจงดำเนินในทุกวิถีทางที่เราบัญชาเจ้า เพื่อทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีกับพวกเจ้า’ 24 แต่พวกเขาไม่ฟังและไม่แม้แต่จะเงี่ยหูฟัง แต่ดำเนินในวิถีทางของพวกเขาเอง และจิตใจอันชั่วร้ายซึ่งมีแต่ความดื้อรั้น พวกเขาเดินถอยหลังแทนที่จะเดินหน้า 25 นับตั้งแต่วันที่บรรพบุรุษออกจากแผ่นดินอียิปต์มาจนถึงทุกวันนี้ วันแล้ววันเล่า เราได้ให้บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าซึ่งเป็นผู้รับใช้ของเราทุกคนมายังพวกเขาอย่างไม่หยุดยั้ง 26 แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมฟังเราหรือแม้แต่จะเงี่ยหูฟัง แต่กลับหัวแข็ง พวกเขาประพฤติเลวร้ายยิ่งกว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเสียอีก
27 ฉะนั้น เจ้าจะไปพูดให้พวกเขาฟัง แต่พวกเขาจะไม่ฟังเจ้า เจ้าจะร้องเรียกพวกเขา แต่เขาจะไม่ตอบเจ้า 28 และเจ้าจงพูดกับพวกเขาว่า ‘นี่เป็นประชาชาติที่ไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา และไม่ยอมรับการสั่งสอน เขาไม่มีความจริงอยู่อีกแล้ว มันถูกตัดออกจากริมฝีปากของพวกเขา
29 จงตัดผมของเจ้าและโยนทิ้งไป
ร้องคร่ำครวญที่เนินเขาสูง
เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิเสธ
และทอดทิ้งยุคที่พระองค์กริ้ว’”
หุบเขาแห่งการประหาร
30 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “เพราะบรรดาบุตรแห่งยูดาห์ได้กระทำความชั่วในสายตาของเรา พวกเขาได้ตั้งสิ่งที่น่าชังของพวกเขาไว้ในตำหนักซึ่งได้รับเรียกว่าเป็นของเรา และทำให้ที่นั้นเป็นมลทิน 31 และพวกเขาได้สร้างแท่นบูชาที่สถานบูชาบนภูเขาสูงแห่งโทเฟท ซึ่งอยู่ในหุบเขาแห่งบุตรของฮินโนม ใช้ไฟเผาบรรดาบุตรชายบุตรหญิง ซึ่งเราไม่ได้บัญชาให้ทำ หรือแม้แต่จะคิด 32 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ดูเถิด ใกล้จะถึงเวลาที่จะไม่มีชื่อว่า โทเฟท อีกแล้ว หรือหุบเขาแห่งบุตรของฮินโนม แต่จะเป็นหุบเขาแห่งการประหาร เพราะพวกเขาจะฝังศพในโทเฟท เพราะไม่มีที่อื่นจะฝัง 33 และศพคนตายของคนเหล่านี้จะเป็นอาหารของพวกนกในอากาศ และของสัตว์ป่าบนแผ่นดิน และจะไม่มีใครทำให้พวกสัตว์ตกใจหนีไป 34 และเราจะทำให้เสียงยินดีและเบิกบานใจ เสียงของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในเมืองต่างๆ ของยูดาห์และที่ถนนของเยรูซาเล็มยุติลง เพราะแผ่นดินจะกลายเป็นที่ร้าง
พระเยซูเข้าไปในเมืองเยรูซาเล็ม
21 ครั้นพระเยซูกับเหล่าสาวกเดินทางเข้าใกล้เมืองเยรูซาเล็ม และมาถึงหมู่บ้านเบธฟายีบนภูเขามะกอก พระเยซูส่งสาวก 2 คนไป 2 โดยกล่าวว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าเจ้า และในทันทีเจ้าก็จะได้พบลาตัวหนึ่งผูกอยู่ที่นั่น มีลูกลาอยู่ด้วย จงแก้เชือกมันออกแล้วนำทั้งสองตัวมาให้เรา 3 ถ้าใครพูดอะไรกับเจ้าก็จงบอกว่า ‘พระองค์ท่านจำเป็นต้องใช้พวกมัน’ และเขาจะให้มาทันที”[a]
4 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ก็เพื่อเป็นไปตามที่ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า
5 “จงบอกธิดาแห่งศิโยนว่า
‘ดูเถิด กษัตริย์ของเจ้ากำลังมาหาเจ้า
เป็นผู้ที่อ่อนโยน ขี่ลามา
บนลูกลา ลาหนุ่ม’”[b]
6 ครั้นแล้วเหล่าสาวกก็ไปทำตามที่พระเยซูสั่งไว้ 7 คือไปนำลาและลูกลามา ปูเสื้อตัวนอกบนหลังลาทั้งสองตัวให้พระองค์นั่ง 8 ฝูงชนส่วนใหญ่ปูเสื้อตัวนอกบนถนน บ้างก็ตัดกิ่งไม้ปูบนถนน 9 ฝูงชนพากันเดินไปข้างหน้าพระองค์ คนที่เดินตามร้องเสียงดังว่า “โฮซันนาแด่บุตรของดาวิด[c] ‘ขอให้พระองค์ผู้มาในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นสุขเถิด’[d] โฮซันนาในที่สูงสุด” 10 เมื่อพระองค์ได้เข้าไปในเมืองเยรูซาเล็มแล้ว คนทั้งเมืองก็พากันแตกตื่นพูดว่า “ผู้นี้เป็นใคร” 11 ฝูงชนพูดกันว่า “นี่คือเยซู ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าจากเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลี”
พระเยซูขับไล่คนซื้อขายที่พระวิหาร
12 พระเยซูเข้าไปในบริเวณพระวิหาร ขับไล่พวกที่เข้ามาซื้อขายให้ออกไปจากพระวิหาร พระองค์คว่ำโต๊ะของพวกคนแลกเปลี่ยนเงินตรา และที่นั่งของคนขายนกพิราบ 13 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “มีบันทึกไว้ว่า ‘ตำหนักของเราจะได้ชื่อว่า ตำหนักอธิษฐาน’[e] แต่พวกท่านทำให้กลายเป็น ‘ถ้ำโจร’”[f]
14 บรรดาคนตาบอดและคนง่อยมาหาพระองค์ที่พระวิหาร และพระองค์รักษาโรคของพวกเขาให้หายขาด 15 เมื่อพวกมหาปุโรหิตและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติเห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่พระองค์ได้กระทำ และเด็กๆ ร้องกันในบริเวณพระวิหารว่า “โฮซันนาแด่บุตรของดาวิด” พวกเขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้น 16 พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า “ท่านได้ยินไหมว่าเขาเหล่านี้พูดอะไร” พระเยซูกล่าวว่า “ได้ยิน ท่านไม่เคยอ่านหรือว่า
‘พระองค์กระทำให้คำสรรเสริญออกจากปากเด็ก
และทารกที่ยังไม่หย่านม’”[g]
17 พระองค์จากพวกเขาไป โดยออกไปจากเมืองนั้นไปถึงหมู่บ้านเบธานีและพักแรมอยู่ที่นั่น
พระเยซูกับต้นมะเดื่อ
18 ในเวลาเช้าตรู่ ขณะที่พระองค์กำลังกลับเข้าไปในเมืองก็เกิดหิว 19 ครั้นแลเห็นต้นมะเดื่อต้นหนึ่งที่ข้างถนน พระองค์จึงเดินเข้าไปใกล้แต่ไม่เห็นผลมะเดื่อ มีแต่ใบเท่านั้น พระองค์จึงพูดกับต้นนั้นว่า “เจ้าจะไม่มีผลอีกต่อไป” แล้วต้นมะเดื่อก็เหี่ยวแห้งไปทันที
20 เหล่าสาวกอัศจรรย์ใจเมื่อเห็นดังนั้น จึงพูดว่า “ต้นมะเดื่อเหี่ยวแห้งทันทีได้อย่างไร” 21 พระเยซูกล่าวตอบพวกเขาว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ถ้าเจ้ามีความเชื่อโดยไม่สงสัยเลย ไม่เพียงแต่เจ้าสามารถทำต่อต้นมะเดื่อดังที่เราทำ แต่แม้เจ้าจะพูดกับภูเขานี้ว่า ‘จงเคลื่อนลงไปในทะเล’ มันก็จะเป็นไปตามนั้น 22 และไม่ว่าเจ้าจะอธิษฐานขอสิ่งใดด้วยความเชื่อ เจ้าจะได้รับสิ่งนั้น”
คำถามระหว่างพวกผู้นำกับพระเยซู
23 เมื่อพระองค์เข้าไปในบริเวณพระวิหาร พวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ของประชาชนก็มาหาพระองค์ ขณะที่พระองค์กำลังสั่งสอนอยู่ พวกเขาพูดว่า “ท่านกระทำสิ่งเหล่านี้ด้วยสิทธิอำนาจอันใด และใครให้สิทธิอำนาจนี้แก่ท่าน” 24 พระเยซูกล่าวตอบพวกเขาว่า “เราจะถามท่านอย่างหนึ่งด้วย ถ้าท่านบอกเรา เราก็จะบอกท่านเช่นกันว่าเรากระทำสิ่งเหล่านี้ด้วยสิทธิอำนาจอันใด 25 บัพติศมาของยอห์นมาจากไหน จากสวรรค์หรือจากมนุษย์” เขาเหล่านั้นจึงเริ่มถามหาเหตุผลกันเองว่า “ถ้าพวกเราพูดว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาก็จะพูดว่า ‘แล้วทำไมท่านจึงไม่เชื่อเขา’ 26 แต่ถ้าพวกเราพูดว่า ‘มาจากมนุษย์’ เราก็กลัวฝูงชน เพราะทุกคนถือว่ายอห์นเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า” 27 พวกเขาจึงตอบพระเยซูว่า “พวกเราไม่ทราบ” พระองค์กล่าวกับเขาว่า “เราก็จะไม่บอกท่านเช่นกันว่า เรากระทำสิ่งเหล่านี้ด้วยสิทธิอำนาจอันใด
อุปมาเรื่องบุตรชาย 2 คน
28 แต่ท่านคิดเห็นอย่างไรเล่า ชายคนหนึ่งมีบุตรชาย 2 คน เขามาพูดกับคนแรกว่า ‘ลูกเอ๋ย วันนี้เจ้าจงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด’ 29 เขาตอบว่า ‘ข้าพเจ้าจะไม่ไป’ แต่ต่อมาเปลี่ยนใจ แล้วก็ไป 30 เขามาพูดกับคนที่สองเช่นเดียวกัน แต่เขาตอบว่า ‘ข้าพเจ้าจะไป’ และเขาก็ไม่ได้ไป 31 สองคนนี้คนไหนกระทำตามความประสงค์ของบิดาของเขา” พวกเขาตอบว่า “คนแรก” พระเยซูกล่าวว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า บรรดาคนเก็บภาษีและหญิงแพศยาจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าก่อนพวกท่านเสียอีก 32 เพราะยอห์นมาชี้ให้พวกท่านเห็นทางแห่งความชอบธรรม และท่านก็ไม่เชื่อเขา แต่บรรดาคนเก็บภาษีและหญิงแพศยาได้เชื่อเขา แม้ต่อมา ทั้งๆ ที่ท่านได้เห็นแล้ว แต่ก็ไม่ได้กลับใจและเชื่อเขา
อุปมาเรื่องผู้เช่าสวนองุ่น
33 จงฟังคำอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง มีเจ้าของสวนคนหนึ่งปลูกสวนองุ่นไว้ ซึ่งมีกำแพงที่สร้างล้อมไว้โดยรอบ และขุดบ่อเก็บเครื่องสกัดเหล้าองุ่น เขาสร้างหอคอยไว้และให้พวกชาวสวนเช่า แล้วก็เดินทางไปต่างประเทศ 34 เมื่อถึงเวลาเก็บพืชผล เขาใช้บรรดาคนรับใช้ของเขาไปหาพวกคนเช่าสวน เพื่อรับส่วนปันผลของเขา 35 พวกคนเช่าสวนจับตัวพวกผู้รับใช้ไว้ ทุบตีเสียคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่งและเอาหินขว้างอีกคนหนึ่ง 36 เจ้าของสวนส่งพวกผู้รับใช้อีกกลุ่มไป ซึ่งมากคนกว่าครั้งแรก พวกคนเช่าสวนก็กระทำต่อเขาเหล่านั้นเหมือนครั้งแรก 37 หลังจากนั้นเขาจึงส่งลูกชายของเขาไปหาคนเช่าสวนโดยคิดว่า ‘พวกเขาจะนับถือลูกของเราคนนั้น’ 38 แต่เมื่อพวกคนเช่าสวนเห็นลูกคนนั้นก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท มาช่วยกันฆ่าเขาเถิด มรดกจะได้ตกเป็นของเรา’ 39 เขาทั้งหลายจึงจับตัวลูกคนนั้นโยนออกไปจากสวนองุ่นแล้วฆ่าเสีย 40 ฉะนั้นเมื่อเจ้าของสวนองุ่นมา เขาจะทำอย่างไรกับพวกคนเช่าสวน” 41 พวกเขาตอบว่า “เขาจะฆ่าคนชั่วร้ายเหล่านั้นอย่างแน่นอน และจะให้คนสวนอื่นเช่าสวนเสีย จะได้แบ่งปันผลให้แก่เขาเมื่อถึงเวลา”
42 พระเยซูกล่าวว่า “ท่านไม่เคยอ่านในพระคัมภีร์หรือว่า
‘ศิลาที่พวกช่างก่อสร้างทิ้ง
ได้กลายเป็นศิลามุมเอก
พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำการนี้
และเป็นสิ่งวิเศษยิ่งในสายตาของเรา’[h]
43 ฉะนั้น เราขอบอกท่านว่า อาณาจักรของพระเจ้าจะต้องถูกยึดไปจากท่าน และยกให้แก่ชนชาติหนึ่งที่จะผลิตผลได้ตามควร 44 คนที่ล้มลงบนศิลานี้จะแตกหักกระจายเป็นชิ้นๆ หากแต่ศิลานั้นล้มทับผู้ใดแล้ว ผู้นั้นจะแหลกเป็นผุยผงไป”
45 ครั้นพวกมหาปุโรหิตและฟาริสีได้ยินคำอุปมาของพระองค์แล้ว ก็เข้าใจว่าพระองค์กล่าวถึงพวกเขา 46 ฉะนั้นพวกเขาใคร่จะจับกุมพระองค์เสีย แต่กลัวฝูงชนเพราะพวกเขานับว่าพระองค์เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation