Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ปฐมกาล 50

50 โยเซฟโผเข้าไปหาร่างของบิดา ร้องไห้และจูบเขา หลังจากนั้นโยเซฟจึงสั่งให้บรรดาหมอซึ่งรับใช้ตนอยู่นั้นอาบยารักษาศพอิสราเอลบิดาของเขาไว้ พวกหมอก็อาบยารักษาศพอิสราเอล การอาบยานี้ใช้เวลาสี่สิบวันเต็ม และชาวอียิปต์ก็ไว้ทุกข์ให้อิสราเอลเจ็ดสิบวัน

เมื่อเวลาไว้ทุกข์สิ้นสุดลงแล้ว โยเซฟก็พูดกับข้าราชสำนักของฟาโรห์ว่า “หากเราเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน โปรดทูลฟาโรห์แทนเราว่า ‘บิดาของโยเซฟให้เขาสาบานและกล่าวกับเขาว่า “เรากำลังจะตาย จงฝังเราไว้ในสุสานที่เราขุดไว้เพื่อตนเองในคานาอัน” บัดนี้เราขอประทานอนุญาตไปฝังศพบิดาแล้วจะกลับมา’ ”

ฟาโรห์ตรัสว่า “จงไปฝังศพบิดาตามที่สาบานไว้เถิด”

ดังนั้นโยเซฟจึงไปฝังศพบิดาพร้อมข้าราชบริพารทั้งสิ้นของฟาโรห์ได้แก่ ผู้มีเกียรติของราชสำนักและผู้มีเกียรติทั้งปวงของอียิปต์ รวมทั้งสมาชิกทุกคนในครัวเรือนของโยเซฟ พวกพี่น้องและคนในครัวเรือนของบิดา มีเพียงเด็กๆ และฝูงสัตว์ทั้งหลายยังอยู่ที่โกเชน ขบวนรถม้าศึกและพลม้า[a]ก็ติดตามโยเซฟไปด้วย ขบวนผู้ติดตามใหญ่โตเป็นกองทัพ

10 เมื่อพวกเขามาถึงลานนวดข้าวที่อาทาดใกล้แม่น้ำจอร์แดน พวกเขาก็ร้องไห้คร่ำครวญอย่างขมขื่นเสียงดังมาก โยเซฟไว้ทุกข์ให้บิดาเจ็ดวัน 11 เมื่อชาวคานาอันผู้อาศัยอยู่ที่นั่นเห็นการไว้ทุกข์ที่ลานนวดข้าวที่อาทาด พวกเขาพูดกันว่า “ชาวอียิปต์เหล่านี้กำลังประกอบพิธีไว้ทุกข์ครั้งใหญ่” จึงเรียกชื่อสถานที่ใกล้แม่น้ำจอร์แดนนั้นว่าอาเบลมิสราอิม[b]

12 ดังนั้นบุตรชายทั้งหลายของยาโคบจึงได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเขา 13 พวกเขานำศพของยาโคบมายังดินแดนคานาอันและฝังไว้ในถ้ำที่อยู่ในทุ่งนาชื่อมัคเปลาห์ใกล้มัมเร ซึ่งอับราฮัมซื้อไว้เป็นที่ฝังศพจากเอโฟรนชาวฮิตไทต์พร้อมกับทุ่งนา 14 หลังจากฝังศพบิดาแล้ว โยเซฟจึงกลับไปยังอียิปต์พร้อมพี่น้องและทุกคนที่ติดตามมาร่วมพิธีฝังศพบิดาของเขา

โยเซฟให้ความมั่นใจแก่พวกพี่ชาย

15 เมื่อบรรดาพี่ชายของโยเซฟเห็นว่าบิดาเสียชีวิตแล้ว พวกเขาจึงพูดกันว่า “จะทำอย่างไรถ้าโยเซฟยังผูกใจเจ็บและจะแก้แค้นพวกเราเพราะสิ่งเลวร้ายที่พวกเราได้ทำกับเขาไว้” 16 เขาจึงส่งคนไปบอกโยเซฟว่า “บิดาของท่านได้สั่งเสียก่อนจะตายว่า 17 ‘ขอให้เจ้าไปบอกโยเซฟว่า เราขอร้องให้เจ้าอภัยบาปอันเลวร้ายที่พวกพี่ได้ทำไม่ดีกับเจ้า’ บัดนี้ขอท่านกรุณาให้อภัยบาปของผู้รับใช้พระเจ้าของบิดาของท่านเถิด” เมื่อโยเซฟได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้

18 แล้วพวกพี่ชายก็เข้ามาคุกเข่าต่อหน้าโยเซฟ กล่าวว่า “พวกเราเป็นทาสของท่าน”

19 แต่โยเซฟบอกพวกพี่ชายว่า “อย่ากลัวเลย เราไม่ใช่พระเจ้า 20 พวกท่านมุ่งร้ายต่อเราก็จริง แต่พระเจ้าทรงประสงค์ให้เกิดผลดีดังที่เป็นอยู่นี้ คือการช่วยชีวิตคนเป็นอันมากไว้ได้ 21 ฉะนั้นอย่ากลัวไปเลย เราจะเลี้ยงดูพวกท่านและลูกๆ ของท่าน” และโยเซฟก็ให้ความมั่นใจและพูดให้พวกเขาใจชื้น

โยเซฟสิ้นชีวิต

22 โยเซฟและครอบครัวของบิดายังคงอาศัยอยู่ในอียิปต์ต่อไป เขามีอายุถึง 110 ปี 23 ได้เห็นหลานๆ ของเอฟราอิมซึ่งเป็นรุ่นที่สามและลูกๆ ของมาร์คี[c] ผู้เป็นบุตรมนัสเสห์ โยเซฟรับลูกๆ ของมาร์คีเป็นลูกบุญธรรมโดยอุ้มมาวางบนตักของโยเซฟเมื่อพวกเขาเกิด

24 โยเซฟบอกพวกพี่น้องว่า “เรากำลังจะตาย แต่พระเจ้าจะเสด็จมาช่วยพวกท่านอย่างแน่นอน พระองค์จะพาพวกท่านออกจากดินแดนนี้ไปยังดินแดนซึ่งทรงสัญญาโดยปฏิญาณไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ” 25 แล้วโยเซฟจึงขอให้ลูกหลานอิสราเอลกล่าวปฏิญาณ และโยเซฟกล่าวอีกว่า “พระเจ้าจะเสด็จมาช่วยพวกท่านอย่างแน่นอน แล้วพวกท่านต้องนำกระดูกของเราออกจากดินแดนนี้”

26 โยเซฟสิ้นชีวิตเมื่ออายุได้ 110 ปี และหลังจากพวกเขาอาบยาศพแล้วก็บรรจุศพไว้ในโลงที่อียิปต์

ลูกา 3

ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเตรียมทาง(A)

ในปีที่สิบห้าแห่งรัชกาลทิเบริอัสซีซาร์ ขณะนั้นปอนทิอัสปีลาตเป็นผู้ว่าการแคว้นยูเดีย เฮโรดครองแคว้นกาลิลี ส่วนฟีลิปน้องชายของเฮโรดครองแคว้นอิทูเรียและตราโคนิติส ลีซาเนียสครองแคว้นอาบีเลน ในสมัยที่อันนาสกับคายาฟาสเป็นมหาปุโรหิต พระวจนะของพระเจ้าก็ได้มาถึงยอห์นบุตรเศคาริยาห์ในถิ่นกันดาร เขาไปทั่วแถบลุ่มแม่น้ำจอร์แดน ประกาศบัพติศมาแห่งการกลับใจใหม่เพื่อรับการอภัยบาป ดังที่เขียนไว้ในหนังสือของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า

“เสียงของผู้หนึ่งร้องในถิ่นกันดารว่า
‘จงเตรียมทางสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงทำทางสำหรับพระองค์ให้ตรงไป
หุบเขาทุกแห่งจะถูกถมให้เต็ม
ภูเขาและเนินเขาทุกแห่งจะถูกทำให้ต่ำลง
ทางคดเคี้ยวจะกลายเป็นทางตรง
ทางขรุขระจะกลับราบเรียบ
และมวลมนุษยชาติจะเห็นความรอดของพระเจ้า’ ”[a]

ยอห์นกล่าวกับฝูงชนที่มารับบัพติศมาจากเขาว่า “เจ้าชาติงูร้าย! ใครตักเตือนพวกเจ้าให้หนีจากพระพิโรธที่จะมาถึง? จงเกิดผลให้สมกับที่กลับใจใหม่และอย่านึกว่า ‘พวกเรามีอับราฮัมเป็นบรรพบุรุษ’ เพราะเราบอกท่านว่าพระเจ้าทรงสามารถทำให้ลูกหลานของอับราฮัมเกิดจากก้อนหินเหล่านี้ได้ ขวานนั้นอยู่ที่โคนต้นไม้แล้วและทุกต้นที่ไม่ให้ผลดีจะถูกโค่นและโยนลงในไฟ”

10 ประชาชนถามว่า “ถ้าเช่นนั้นเราควรทำอย่างไร?”

11 ยอห์นตอบว่า “ผู้ที่มีเสื้อสองตัวจงแบ่งให้ผู้ที่ไม่มีและคนที่มีอาหารก็ควรแบ่งปันเช่นกัน”

12 คนเก็บภาษีมาขอรับบัพติศมาด้วย พวกเขาถามว่า “ท่านอาจารย์ เราควรทำอย่างไร?”

13 เขาตอบว่า “อย่าเก็บภาษีเกินพิกัด”

14 แล้วพวกทหารก็มาถามด้วยว่า “และเราควรทำอย่างไร?”

เขาตอบว่า “อย่าข่มขู่เอาเงินและอย่าใส่ร้ายใคร จงพอใจกับค่าจ้างของตน”

15 ประชาชนกำลังใจจดใจจ่อรอคอยและทุกคนล้วนสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ยอห์นจะเป็นพระคริสต์[b] 16 ยอห์นตอบพวกเขาทั้งหมดว่า “เราให้ท่านรับบัพติศมาด้วย[c]น้ำ แต่ผู้หนึ่งซึ่งทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งกว่าเราจะเสด็จมาซึ่งเราไม่คู่ควรแม้แต่จะแก้สายฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้ท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ 17 พระองค์ทรงถือพลั่วพร้อมอยู่ในพระหัตถ์เพื่อจะทรงเก็บกวาดลานนวดข้าวและเพื่อจะรวบรวมข้าวไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟอันไม่รู้ดับ” 18 ยอห์นได้แนะนำตักเตือนประชาชนอีกหลายประการและประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา

19 แต่เมื่อยอห์นตำหนิเฮโรดผู้ครองแคว้นเรื่องนางเฮโรเดียสภรรยาของน้องชายเฮโรดและสารพัดการชั่วอื่นๆ ที่เฮโรดได้ทำ 20 เฮโรดก็ทำชั่วหนักขึ้นโดยจับยอห์นขังคุก

พระเยซูทรงรับบัพติศมาและลำดับวงศ์ตระกูลของพระองค์(B)

21 เมื่อคนทั้งหลายกำลังรับบัพติศมาอยู่ พระเยซูก็ทรงรับบัพติศมาด้วย ขณะที่พระองค์ทรงอธิษฐาน ท้องฟ้าก็เปิดออก 22 และพระวิญญาณบริสุทธิ์ในรูปลักษณ์เหมือนนกพิราบเสด็จลงมาประทับเหนือพระองค์และมีพระสุรเสียงจากฟ้าสวรรค์ว่า “เจ้าคือลูกของเรา ผู้ที่เรารัก เราพอใจเจ้ายิ่งนัก”

23 พระเยซูทรงเริ่มพระราชกิจเมื่อมีพระชนมายุราวสามสิบพรรษา เป็นที่เข้าใจกันว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรของโยเซฟ

ผู้เป็นบุตรของเฮลี 24 ผู้เป็นบุตรของมัทธัต

ผู้เป็นบุตรของเลวี ผู้เป็นบุตรของเมลคี

ผู้เป็นบุตรของยันนาย ผู้เป็นบุตรของโยเซฟ

25 ผู้เป็นบุตรของมัทธาธีอัส ผู้เป็นบุตรของอาโมส

ผู้เป็นบุตรของนาฮูม ผู้เป็นบุตรของเอสลี

ผู้เป็นบุตรของนักกาย 26 ผู้เป็นบุตรของมาอาท

ผู้เป็นบุตรของมัทธาธีอัส ผู้เป็นบุตรของเสเมอิน

ผู้เป็นบุตรของโยเสค ผู้เป็นบุตรของโยดา

27 ผู้เป็นบุตรของโยอานัน ผู้เป็นบุตรของเรซา

ผู้เป็นบุตรของเศรุบบาเบล ผู้เป็นบุตรของ เชอัลทิเอล

ผู้เป็นบุตรของเนรี 28 ผู้เป็นบุตรของเมลคี

ผู้เป็นบุตรของอัดดี ผู้เป็นบุตรของโคสัม

ผู้เป็นบุตรของเอลมาดัม ผู้เป็นบุตรของเอร์

29 ผู้เป็นบุตรของโยชูวา ผู้เป็นบุตรของเอลีเยเซอร์

ผู้เป็นบุตรของโยริม ผู้เป็นบุตรของมัทธัต

ผู้เป็นบุตรของเลวี 30 ผู้เป็นบุตรของสิเมโอน

ผู้เป็นบุตรของยูดาห์ ผู้เป็นบุตรของโยเซฟ

ผู้เป็นบุตรของโยนาม ผู้เป็นบุตรของเอลียาคิม

31 ผู้เป็นบุตรของเมเลอา ผู้เป็นบุตรของเมนนา

ผู้เป็นบุตรของมัทตะธา ผู้เป็นบุตรของนาธัน

ผู้เป็นบุตรของดาวิด 32 ผู้เป็นบุตรของเจสซี

ผู้เป็นบุตรของโอเบด ผู้เป็นบุตรของโบอาส

ผู้เป็นบุตรของสัลโมน[d]ผู้เป็นบุตรของนาโชน

33 ผู้เป็นบุตรของอัมมีนาดับ ผู้เป็นบุตรของราม[e]

ผู้เป็นบุตรของเฮสโรน ผู้เป็นบุตรของเปเรศ

ผู้เป็นบุตรของยูดาห์ 34 ผู้เป็นบุตรของยาโคบ

ผู้เป็นบุตรของอิสอัค ผู้เป็นบุตรของอับราฮัม

ผู้เป็นบุตรของเทราห์ ผู้เป็นบุตรของนาโฮร์

35 ผู้เป็นบุตรของเสรุก ผู้เป็นบุตรของเรอู

ผู้เป็นบุตรของเปเลก ผู้เป็นบุตรของเอเบอร์

ผู้เป็นบุตรของเชลาห์ 36 ผู้เป็นบุตรของไคนาน

ผู้เป็นบุตรของอารฟาซัด ผู้เป็นบุตรของเชม

ผู้เป็นบุตรของโนอาห์ ผู้เป็นบุตรของลาเมค

37 ผู้เป็นบุตรของเมธูเสลาห์ ผู้เป็นบุตรของเอโนค

ผู้เป็นบุตรของยาเรด ผู้เป็นบุตรของมาหะลาเลล

ผู้เป็นบุตรของเคนาน 38 ผู้เป็นบุตรของเอโนช

ผู้เป็นบุตรของเสท ผู้เป็นบุตรของอาดัม

ผู้เป็นบุตรของพระเจ้า

โยบ 16-17

โยบ

16 แล้วโยบตอบว่า

“ข้าได้ยินเรื่องแบบนี้มามากแล้ว
พวกท่านล้วนเป็นนักปลอบโยนที่แย่จริงๆ!
ถ้อยคำเยิ่นเย้อของท่านไม่มีจบสิ้นเลยหรือ?
อะไรหนอทำให้ท่านโต้แย้งอยู่เรื่อยไป?
ข้าก็พูดเหมือนท่านได้
ถ้าท่านตกอยู่ในสภาพเดียวกับข้า
ข้าก็สามารถยกคำหวานหูมาต่อว่าท่าน
แล้วก็ส่ายหน้าเย้ยท่าน
แต่ปากข้าจะพูดให้กำลังใจท่าน
ปลอบประโลมให้ท่านคลายทุกข์

“แต่แม้ข้าจะพูดไป ความเจ็บปวดของข้าก็ไม่ได้บรรเทาลง
และแม้ข้าจะนิ่งเสีย มันก็ไม่ได้หายไป
ข้าแต่พระเจ้า แน่ทีเดียว พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์อ่อนระโหย
ทรงทำให้ครอบครัวของข้าพระองค์ป่นปี้
ที่ทรงผูกมัดข้าพระองค์ก็กลายเป็นข้อยืนยันอย่างหนึ่ง
ร่างกายซูบผอมของข้าพระองค์ได้ลุกขึ้นและเป็นพยานปรักปรำข้าพระองค์
พระเจ้าทรงจู่โจมข้า ทรงฉีกเนื้อข้าด้วยความโกรธกริ้ว
และทรงแยกเขี้ยวใส่ข้า
ศัตรูจ้องข้าตาลุกวาว
10 ผู้คนอ้าปากเยาะเย้ยข้า
พวกเขาตบแก้มข้าด้วยความดูแคลน
และรวมหัวกันเล่นงานข้า
11 พระเจ้าทรงมอบข้าไว้กับคนอธรรม
ทรงเหวี่ยงข้าไว้ในอุ้งมือของคนชั่ว
12 ข้าอยู่มาอย่างสงบตราบจนพระองค์ทรงฉีกข้า
ทรงจับคอข้าและฟาดจนแหลกลาญ
ทรงแขวนข้าไว้เป็นเป้าของพระองค์
13 นักธนูของพระองค์รุมล้อมข้า
พระองค์ทรงทะลวงไตข้าอย่างไม่ปรานี
น้ำดีของข้าเรี่ยราดอยู่ที่พื้น
14 พระองค์ทรงระเบิดเข้าใส่ข้าครั้งแล้วครั้งเล่า
พระองค์ทรงรี่เข้าใส่ข้าเหมือนนักรบ

15 “ข้าเย็บผ้ากระสอบติดผิวหนังของข้า
และเกลือกหน้าในฝุ่นธุลี
16 หน้าของข้าแดงช้ำเพราะการร้องไห้
รอบดวงตาของข้าเป็นวงคล้ำ
17 ถึงกระนั้นมือของข้าก็สะอาดปราศจากความรุนแรง
และคำอธิษฐานของข้าก็บริสุทธิ์

18 “พื้นพสุธาเอ๋ย อย่าซ่อนเลือดของข้าไว้นะ
อย่ากลบเสียงร้องทุกข์ของข้าเลย!
19 บัดนี้พยานของข้าอยู่ในฟ้าสวรรค์
ทนายของข้าอยู่เบื้องบน
20 ผู้อ้อนวอนแทนข้าคือเพื่อนของข้า[a]
ขณะที่ข้าหลั่งน้ำตาต่อพระเจ้า
21 ผู้นั้นช่วยวิงวอนพระเจ้าแทนมนุษย์
เหมือนเพื่อนช่วยอ้อนวอนแทนกัน

22 “อีกไม่กี่ปีข้าก็จะเดินทางไป
โดยไม่หวนคืนมาอีก

17 จิตวิญญาณของข้าแหลกสลาย
วันคืนของข้าหดสั้นลง
หลุมฝังศพรอข้าอยู่
แน่ทีเดียว กลุ่มนักเยาะเย้ยรุมล้อมข้า
ตาของข้าต้องมองดูความเกลียดชังของพวกเขา

“ข้าแต่พระเจ้า โปรดให้ข้าพระองค์มีสิ่งค้ำประกันตามที่ทรงเรียกร้อง
ใครเล่าจะค้ำประกันให้ข้าพระองค์?
พระองค์ทรงปิดความคิดจิตใจของพวกเขาไว้จากความเข้าใจ
ฉะนั้นจะไม่ทรงปล่อยให้พวกเขามีชัยชนะ
หากคนใดปรักปรำเพื่อนเพราะเห็นแก่สินบน
ลูกหลานของเขาจะตามืดมัวไป

“พระเจ้าทรงกระทำให้ข้าตกเป็นขี้ปากของทุกคน
พวกเขาถ่มน้ำลายใส่หน้าข้า
ตาของข้ามืดมัวเพราะความทุกข์โศก
และทุกส่วนในร่างกายของข้าเป็นเพียงเงา
คนชอบธรรมใจหายเมื่อเห็นข้า
ผู้บริสุทธิ์ถูกปลุกขึ้นให้ต่อต้านคนอธรรม
แต่คนชอบธรรมจะยึดมั่นอยู่ในวิถีของตน
ผู้ที่มือสะอาดจะเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ

10 “ส่วนพวกท่านทุกคน มาสิ ลองดูอีก!
ข้าจะไม่พบสักคนที่มีปัญญาในพวกท่านเลย
11 วันคืนของข้าผ่านพ้นไป แผนการต่างๆ ของข้าป่นปี้หมด
ความปรารถนาในใจข้าย่อยยับไป
12 พวกเขาเปลี่ยนกลางคืนเป็นกลางวัน
และในความมืด พวกเขากล่าวว่า ‘ความสว่างมาใกล้แล้ว’
13 หากแดนผู้ตายเป็นที่พักพิงเดียวที่ข้าหวัง
หากข้าต้องกางที่นอนอยู่ในความมืดมิด
14 หากข้าเรียกความเน่าเปื่อยว่า ‘พ่อ’
และเรียกหนอนว่า ‘แม่’ หรือ ‘พี่สาว’
15 เมื่อนั้นความหวังของข้าอยู่ที่ไหน?
มีใครบ้างพบความหวังในตัวข้า?
16 มันจะลงสู่ประตูแห่งความตายหรือ?
จะลงไปในธุลีดินกับข้าหรือ?”

1 โครินธ์ 4

อัครทูตของพระคริสต์

ดังนั้นแล้วคนทั้งหลายจึงควรถือว่าพวกเราเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ และควรถือว่าพวกเราเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายสิ่งล้ำลึกของพระเจ้า ผู้ได้รับมอบหมายนั้นต้องเป็นคนที่พิสูจน์แล้วว่าสัตย์ซื่อ ข้าพเจ้าไม่ค่อยใส่ใจหากถูกท่านหรือใครคนไหนมาตัดสิน อันที่จริงข้าพเจ้าไม่ตัดสินตัวเองด้วยซ้ำ จิตสำนึกของข้าพเจ้าไม่ได้ฟ้องว่าข้าพเจ้าทำผิด แต่นั่นไม่ทำให้ข้าพเจ้าไร้ผิด องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเป็นผู้ตัดสินข้าพเจ้า ฉะนั้นอย่าด่วนตัดสินก่อนกำหนด จงรอคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงนำสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในความมืดมาสู่ความสว่างและจะเผยแรงจูงใจทั้งหลายซึ่งอยู่ในใจของคนทั้งปวง เมื่อนั้นแต่ละคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้า

พี่น้องทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้ายกเรื่องตัวเองกับอปอลโลมาพูดก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพื่อท่านจะได้เรียนรู้จากพวกเราถึงความหมายของคำกล่าวที่ว่า “อย่าไปไกลกว่าที่เขียนไว้” แล้วท่านจะไม่ยกคนนั้นมาข่มคนนี้ เพราะใครเล่าทำให้ท่านผิดแผกจากคนอื่น? สิ่งที่ท่านมีอยู่นั้นมีอะไรบ้างที่ท่านไม่ได้รับมา? และถ้าท่านได้รับสิ่งเหล่านั้นมาจริงแล้ว ทำไมจึงพูดโอ้อวดราวกับว่าท่านไม่ได้รับมา?

ท่านมีทุกสิ่งที่ท่านต้องการแล้ว! ท่านมั่งมีแล้ว! ท่านเป็นราชาแล้วโดยที่ไม่มีพวกเรา! ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านเป็นราชาจริงๆ เพื่อพวกเราจะได้เป็นราชาร่วมกับท่าน! เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าพระเจ้าทรงให้เราเหล่าอัครทูตปรากฏอยู่ท้ายขบวน เหมือนผู้ที่ถูกลงโทษให้ถึงตายในสังเวียน ตกเป็นเป้าสายตาของทั้งจักรวาลทูตสวรรค์และมนุษย์ 10 พวกเราเป็นคนโง่เขลาเพื่อเห็นแก่พระคริสต์ แต่ท่านฉลาดนักในพระคริสต์! เราอ่อนแอ แต่ท่านเข้มแข็ง! ท่านทรงเกียรติ เราเสื่อมศักดิ์ศรี! 11 จวบจนบัดนี้เราหิวโหยและกระหาย พันกายด้วยผ้าขี้ริ้ว ถูกทารุณ เราไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง 12 เราตรากตรำทำงานด้วยมือของเราเอง เมื่อถูกแช่งด่าเราก็ให้พร เมื่อถูกข่มเหงเราก็ทนเอา 13 เมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสีเราก็ชี้แจงอย่างอ่อนโยน ตราบจนวินาทีนี้เราเป็นเหมือนกากเดนของพิภพ เป็นขยะของโลก

14 ที่ข้าพเจ้าเขียนมาเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อให้ท่านอับอาย แต่เพื่อเตือนท่านในฐานะลูกที่รักของข้าพเจ้า 15 ถึงแม้ว่าท่านมีผู้ปกครองดูแลนับหมื่นในพระคริสต์ แต่ท่านมีบิดาคนเดียว เพราะในพระเยซูคริสต์ข้าพเจ้าได้เป็นบิดาของท่านโดยทางข่าวประเสริฐ 16 ฉะนั้นข้าพเจ้าขอให้ท่านเลียนแบบข้าพเจ้า 17 ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้ากำลังจะส่งทิโมธีลูกที่รักของข้าพเจ้าซึ่งสัตย์ซื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าให้มาหาท่าน เพื่อเตือนท่านให้ระลึกถึงวิถีชีวิตของข้าพเจ้าในพระเยซูคริสต์ อันสอดคล้องกับทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าสอนทุกหนทุกแห่งในทุกคริสตจักร

18 บางคนในพวกท่านได้หยิ่งผยองขึ้นมาราวกับข้าพเจ้าจะไม่มาหาท่าน 19 แต่ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ข้าพเจ้าจะมาหาท่านในไม่ช้านี้แล้ว เมื่อนั้นข้าพเจ้าจะได้รู้ไม่เพียงสิ่งที่คนยโสพวกนั้นพูด แต่ฤทธิ์อำนาจที่เขามีด้วย 20 เพราะอาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของคำพูด แต่เป็นเรื่องฤทธิ์อำนาจ 21 ท่านชอบแบบไหนมากกว่า? จะให้ข้าพเจ้าถือแส้มาหาท่าน หรือมาด้วยความรักและด้วยใจอ่อนโยน?

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.