M’Cheyne Bible Reading Plan
อับราฮัมกับอาบีเมเลค
20 อับราฮัมย้ายถิ่นฐานจากที่นั่นไปทางดินแดนเนเกบ และตั้งรกรากระหว่างคาเดชและเมืองชูร์ และท่านอาศัยอยู่อย่างคนต่างด้าวที่เมืองเก-ราร์ 2 อับราฮัมพูดถึงซาราห์ภรรยาของตนว่า “นางเป็นน้องสาวของข้าพเจ้า” ดังนั้นอาบีเมเลคกษัตริย์แห่งเก-ราร์ใช้คนไปพาตัวซาราห์มาพบ 3 แต่คืนวันหนึ่งพระเจ้าปรากฏแก่อาบีเมเลคในฝัน และกล่าวกับท่านว่า “ระวังเถิด เจ้าตายแน่ เพราะหญิงที่เจ้าได้ตัวมานั้น นางมีสามีแล้ว” 4 ขณะนั้นอาบีเมเลคยังไม่ได้เข้าถึงตัวนาง จึงพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทำให้บรรดาผู้มีความชอบธรรมถึงแก่ชีวิตหรือ 5 ตัวเขาเองมิใช่หรือที่พูดกับข้าพเจ้าว่า ‘นางเป็นน้องสาวของข้าพเจ้า’ และตัวนางเองก็พูดว่า ‘เขาเป็นพี่ชายของข้าพเจ้า’ ข้าพเจ้ากระทำไปด้วยความจริงใจและความบริสุทธิ์” 6 แล้วพระเจ้ากล่าวกับท่านในฝันว่า “เรารู้ว่าเจ้าทำไปด้วยความจริงใจของเจ้า และเราเป็นผู้ป้องกันเจ้าไม่ให้กระทำบาปต่อเรา เราจึงไม่ได้ปล่อยให้เจ้าถูกต้องตัวนาง 7 เอาล่ะ จงคืนภรรยาของชายนั้นไปเสีย เพราะว่าเขาเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และเขาจะอธิษฐานให้เจ้า เจ้าจะได้ไม่ตาย แต่ถ้าเจ้าไม่คืนนางไป จงรู้ด้วยว่าเจ้าจะต้องตายแน่ ทั้งตัวเจ้าและทุกคนที่อยู่ในปกครองของเจ้า”
8 ดังนั้น อาบีเมเลคจึงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เรียกผู้รับใช้ทุกคนมา และเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พวกเขาต่างพากันกลัวเป็นอย่างยิ่ง 9 อาบีเมเลคจึงเรียกอับราฮัมมาและกล่าวว่า “ท่านทำอะไรกับพวกเรา และเราทำอะไรผิดต่อท่านนักหรือ ท่านจึงได้ทำให้เราและอาณาจักรของเราต้องบาปหนักเช่นนี้ ท่านกระทำสิ่งที่ไม่อันควรแก่เราเลย” 10 อาบีเมเลคกล่าวกับอับราฮัมว่า “ท่านคิดอะไรอยู่ ถึงได้ทำเช่นนี้” 11 อับราฮัมพูดว่า “ข้าพเจ้ากระทำไปก็เพราะคิดว่า ไม่มีใครที่เกรงกลัวพระเจ้าในที่นี้ และข้าพเจ้าจะถูกฆ่าโดยเหตุจากภรรยาของข้าพเจ้า 12 นอกจากนั้นแล้ว นางยังเป็นน้องสาวของข้าพเจ้าจริงๆ คือ เป็นลูกสาวของบิดาข้าพเจ้า แต่ไม่ใช่ลูกสาวที่เกิดจากมารดาข้าพเจ้า ต่อมานางได้มาเป็นภรรยาข้าพเจ้า 13 เมื่อพระเจ้าทำให้ข้าพเจ้าเร่ร่อนออกจากบ้านของบิดาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าบอกนางว่า ‘สิ่งที่เจ้าจะช่วยฉันได้คือ ทุกๆ แห่งที่เราไป จงพูดถึงฉันว่า ฉันเป็นพี่ชายของเจ้า’”
14 แล้วอาบีเมเลคก็มอบแพะแกะ โค บ่าวรับใช้ชายหญิงให้แก่อับราฮัม และคืนซาราห์ภรรยาให้แก่ท่าน 15 อาบีเมเลคกล่าวว่า “ดูเถิด ดินแดนของเราที่ท่านเห็นในเบื้องหน้านี้ จงตั้งรกรากในที่ใดก็ได้ตามที่ท่านพอใจ” 16 ท่านกล่าวกับซาราห์ว่า “ส่วนเจ้า เราก็ได้ให้เหรียญเงิน 1,000 เหรียญแก่พี่ชายของเจ้าเพื่อพิสูจน์ต่อหน้าคนทั้งปวงที่อยู่กับเจ้า และให้ทุกคนเห็นว่าเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด” 17 แล้วอับราฮัมก็อธิษฐานต่อพระเจ้า พระเจ้ารักษาอาบีเมเลคและภรรยาของท่าน รวมทั้งบรรดาบ่าวรับใช้หญิงให้ตั้งครรภ์ได้ 18 ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ปิดครรภ์ของทุกคนในครัวเรือนของอาบีเมเลค เพราะเรื่องซาราห์ภรรยาของอับราฮัม
การหย่าร้าง
19 เมื่อพระเยซูกล่าวสิ่งเหล่านั้นจบแล้ว ก็ไปจากแคว้นกาลิลีจนถึงแคว้นยูเดีย คืออีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน 2 มหาชนยังคงติดตามพระองค์ไป และพระองค์รักษาโรคของพวกเขาให้หายขาดที่นั่น
3 พวกฟาริสีบางคนมาทดสอบพระองค์โดยถามว่า “ถูกต้องตามกฎหรือไม่ ถ้าผู้ชายจะหย่าร้างภรรยาด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม” 4 พระองค์กล่าวตอบว่า “ท่านไม่เคยอ่านหรือว่า พระองค์ผู้ได้สร้างมนุษย์ตั้งแต่ครั้งปฐมกาล ได้สร้างทั้งชายและหญิง 5 และกล่าวว่า ‘ด้วยเหตุนี้ ผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไป และผูกพันอยู่กับภรรยาของตน และทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียวกัน’[a] 6 ดังนั้นเขาไม่ใช่คนสองคนอีกต่อไป แต่เป็นหนึ่งเดียวกัน ฉะนั้นอะไรก็ตามที่พระเจ้าได้เชื่อมสัมพันธ์กันแล้ว ก็อย่าให้ผู้ใดแยกจากกันเลย” 7 พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า “แล้วทำไมโมเสสจึงออกคำสั่งให้ยื่นใบหย่าร้าง แล้วสามารถหย่าร้างภรรยาได้” 8 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “เป็นเพราะความแข็งกระด้างในจิตใจของท่าน โมเสสจึงได้อนุญาตให้ท่านหย่าร้างจากภรรยา แต่มิได้เป็นเช่นนั้นในปฐมกาล 9 เราขอบอกท่านว่า ใครก็ตามที่หย่าร้างจากภรรยาของตนและไปสมรสกับหญิงอื่นนับว่าผิดประเวณี ยกเว้นกรณีที่ภรรยาประพฤติผิดทางเพศ”
10 เหล่าสาวกพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับภรรยาเป็นเช่นนี้ การที่ไม่สมรสก็จะดีกว่า”
11 พระองค์กล่าวว่า “มิใช่ทุกคนที่สามารถรับข้อนี้ได้ มีเพียงบางคนที่พระเจ้าจะให้รับได้เท่านั้น 12 เพราะมีพวกขันทีที่เป็นแต่กำเนิด บ้างก็เป็นพวกที่มนุษย์กระทำให้เป็น และบ้างก็ไม่สมรสเพื่ออาณาจักรแห่งสวรรค์ ใครที่สามารถรับข้อนี้ได้ก็ให้เขารับไป”
เด็กๆ มาหาพระเยซู
13 ครั้นแล้วมีคนนำเด็กๆ มาหาพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้วางมือทั้งสองบนตัวพวกเขาและอธิษฐานให้ แต่บรรดาสาวกห้ามไว้ 14 พระเยซูกล่าวว่า “ปล่อยให้เด็กๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามพวกเขาเลย เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของคนอย่างเด็กเหล่านี้” 15 หลังจากพระองค์ได้วางมือทั้งสองบนตัวพวกเขา และอธิษฐานให้ แล้วพระองค์ก็จากที่นั่นไป
เศรษฐีหนุ่ม
16 ครั้งหนึ่งมีคนหนึ่งมาถามพระองค์ว่า “อาจารย์ ข้าพเจ้าควรจะทำอะไรที่ประเสริฐ เพื่อได้รับชีวิตอันเป็นนิรันดร์” 17 พระองค์กล่าวว่า “ทำไมท่านจึงถามเราว่าอะไรประเสริฐ มีเพียงผู้เดียวที่ประเสริฐ แต่ถ้าท่านปรารถนาจะได้ชีวิต ก็จงปฏิบัติตามพระบัญญัติ” 18 เขาพูดว่า “ข้อไหนบ้าง” พระเยซูกล่าวว่า “อย่าฆ่าคน อย่าผิดประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ 19 จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า และจงรักเพื่อนบ้านของเจ้าให้เหมือนรักตนเอง”[b] 20 ชายหนุ่มพูดกับพระองค์ว่า “สิ่งเหล่านี้ข้าพเจ้าปฏิบัติตามอยู่แล้ว ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีก” 21 พระเยซูกล่าวว่า “ถ้าท่านอยากเป็นผู้ที่ดีเพียบพร้อมทุกประการ ก็จงไปขายสิ่งของที่ท่านมีเพื่อแจกจ่ายให้แก่คนยากไร้ แล้วท่านจะมีสมบัติในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” 22 เมื่อชายหนุ่มคนนั้นได้ยินคำที่กล่าวแล้ว ก็เดินจากไปด้วยความเศร้า เพราะเขาเป็นคนที่มีทรัพย์สมบัติมากมาย
23 พระเยซูกล่าวกับพวกสาวกว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ยากที่คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ 24 เราขอบอกเจ้าอีกว่า ตัวอูฐจะผ่านเข้ารูเข็มก็ยังจะง่ายกว่าที่คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า” 25 เมื่อพวกสาวกได้ยินดังนั้นก็อัศจรรย์ใจยิ่งนักและพูดว่า “แล้วใครเล่าที่จะมีชีวิตรอดพ้นได้” 26 พระเยซูมองดูพวกเขาแล้วกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์จะช่วยตนเองให้รอดพ้น แต่ไม่มีสิ่งใดยากเกินกว่าที่พระเจ้าจะทำได้” 27 เปโตรพูดตอบพระองค์ว่า “ดูเถิด พวกเราได้สละทุกสิ่งและติดตามพระองค์มา แล้วพวกเราจะได้รับอะไร” 28 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ในโลกใหม่เมื่อบุตรมนุษย์นั่งบนบัลลังก์อันสง่างามของท่าน พวกเจ้าที่ติดตามเราก็จะนั่งบนบัลลังก์ทั้งสิบสองและตัดสินความ 12 เผ่าของอิสราเอลด้วย 29 ทุกคนที่สละบ้าน พี่น้องชายหญิง พ่อแม่ ลูกๆ หรือไร่นาเพื่อนามของเรา เขาจะได้รับจากพระเจ้ามากเป็น 100 เท่า และจะได้รับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ 30 แต่มีคนจำนวนมากที่เป็นคนแรกก็จะเป็นคนสุดท้าย และคนสุดท้ายก็จะเป็นคนแรก
อิสราเอลสารภาพบาป
9 ในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนนี้ ประชาชนอิสราเอลอดอาหาร และนุ่งห่มด้วยผ้ากระสอบ และมาชุมนุมกัน มีฝุ่นผงบนศีรษะ 2 ชาวอิสราเอลแยกตนออกจากชาวต่างชาติ และยืนสารภาพบาปทั้งของตนและของบรรพบุรุษ 3 เขาทั้งหลายยืนขึ้นอ่านจากหนังสือกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา นานถึง 3 ชั่วโมง จากนั้นก็สารภาพและนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขาอีก 3 ชั่วโมง 4 ชาวเลวีที่ยืนบนขั้นบันไดคือ เยชูอา บานี ขัดมีเอล เช-บานิยาห์ บุนนี เชเรบิยาห์ บานี และเคนานี และพวกเขาร้องเสียงดังต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา 5 เยชูอา ขัดมีเอล บานี ฮาชับเนยาห์ เชเรบิยาห์ โฮดียาห์ เช-บานิยาห์ และเปธาหิยาห์ ซึ่งเป็นชาวเลวี ก็พูดว่า “จงลุกขึ้นยืน และสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน จากนิรันดร์กาลจนถึงนิรันดร์กาล สรรเสริญพระนามอันยิ่งใหญ่ ซึ่งได้รับการยกย่องเหนือพระพรและคำสรรเสริญทั้งปวง
6 พระองค์คือพระผู้เป็นเจ้า พระองค์เพียงผู้เดียว พระองค์ได้สร้างฟ้าสวรรค์ สวรรค์อันสูงสุดพร้อมด้วยหมู่ดาวทั้งปวง แผ่นดินโลกและทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น ทะเลและทุกสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านั้น พระองค์ให้ชีวิตแก่สิ่งทั้งปวง และหมู่ดาวก็นมัสการพระองค์ 7 พระองค์คือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้เลือกอับราม และนำท่านออกไปจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดีย และตั้งชื่อท่านว่า อับราฮัม 8 พระองค์พบว่าท่านมีใจภักดี ณ เบื้องหน้าพระองค์ และทำพันธสัญญากับท่าน เพื่อมอบดินแดนของชาวคานาอัน ชาวฮิต ชาวอาโมร์ ชาวเปริส ชาวเยบุส และชาวเกอร์กาช ให้แก่ผู้สืบเชื้อสายของท่าน และพระองค์ได้รักษาคำสัญญา เพราะพระองค์มีความชอบธรรม
9 และพระองค์เห็นความทุกข์ทรมานของบรรพบุรุษของเราในอียิปต์ และได้ยินเสียงร้องของพวกเขาที่ทะเลแดง 10 และแสดงปรากฏการณ์และสิ่งมหัศจรรย์ต่อต้านฟาโรห์และบรรดาผู้รับใช้ และประชาชนทั้งปวงในแผ่นดินของเขา เพราะพระองค์ทราบว่า พวกเขาประพฤติด้วยความยโสต่อบรรพบุรุษของเรา และพระองค์ทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่เลื่องลือ อย่างที่เป็นมาจนถึงทุกวันนี้ 11 และพระองค์ทำให้ทะเลแยกออกจากกันต่อหน้าพวกเขา เพื่อให้พวกเขาผ่านน้ำทะเลไปได้บนพื้นดินแห้ง และพระองค์เหวี่ยงพวกที่ตามล่าให้จมลงในน้ำลึก ดั่งก้อนหินที่จมดิ่งลงในกระแสน้ำอันแรงกล้า 12 พระองค์นำพวกเขาในตอนกลางวันในรูปลักษณ์ของเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลัก และในตอนกลางคืนในรูปลักษณ์ของเพลิงไฟขนาดมหึมาดั่งเสาหลัก เพื่อส่องสว่างนำพวกเขาให้เดินตามทางที่ควรจะไป 13 พระองค์ลงมาบนภูเขาซีนาย และกล่าวแก่พวกเขาจากท้องฟ้า และให้การตัดสินที่ถูกต้อง กฎบัญญัติที่แท้ กฎเกณฑ์และพระบัญญัติที่ดีแก่พวกเขา 14 และพระองค์ให้พวกเขาทราบถึงวันสะบาโตอันบริสุทธิ์ของพระองค์ และบัญชาพวกเขาในเรื่องพระบัญญัติ กฎเกณฑ์ และกฎบัญญัติ ผ่านทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ 15 เมื่อพวกเขาหิว พระองค์ก็ให้อาหารตกลงมาจากฟ้าแก่พวกเขา เมื่อพวกเขากระหาย พระองค์ก็ให้น้ำไหลออกมาจากหิน และพระองค์บัญชาพวกเขาให้เข้าไปยึดครองแผ่นดินที่พระองค์ได้ปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่พวกเขา
16 แต่พวกเขาและบรรพบุรุษของเราต่างยโสและดื้อด้าน และไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ 17 พวกเขาไม่ยอมฟัง และไม่ระลึกถึงสิ่งอัศจรรย์ที่พระองค์กระทำในหมู่พวกเขา แต่หัวดื้อและแต่งตั้งหัวหน้าเพื่อให้นำพวกเขากลับไปเป็นทาสในอียิปต์ แต่พระองค์เป็นพระเจ้าพร้อมจะยกโทษ พระองค์มีพระคุณและความสงสาร ไม่โกรธง่าย เปี่ยมด้วยความรักอันมั่นคง และไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขา 18 แม้เวลาที่พวกเขาได้หล่อรูปลูกโคทองคำ และพูดว่า ‘นี่คือพระเจ้าของพวกเจ้า ผู้นำเจ้าออกมาจากอียิปต์’ และก็ได้พูดหมิ่นประมาทพระองค์อย่างร้ายแรง 19 พระองค์มีความเมตตายิ่งนัก และไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขาในถิ่นทุรกันดาร เมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลักนำทางล่วงหน้าพวกเขาในตอนกลางวันไม่ได้ห่างไปจากพวกเขา เพลิงไฟขนาดมหึมาดั่งเสาหลักในตอนกลางคืน เพื่อส่องความสว่างช่วยให้พวกเขาเดินตามทางที่ควรจะไป 20 พระองค์ประทานพระวิญญาณประเสริฐของพระองค์เพื่อสอนพวกเขา และไม่ขยักมานาของพระองค์จากปากของพวกเขา และให้น้ำแก่พวกเขาเมื่อกระหาย 21 พระองค์ช่วยพวกเขาให้อยู่รอดในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาไม่ขาดเหลือสิ่งใด เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ไม่ฉีกขาด และเท้าก็ไม่บวม
22 พระองค์มอบบรรดาอาณาจักรและประชาชาติให้แก่พวกเขา และพระองค์จัดเขตที่ดินอันแสนไกลให้ด้วย พวกเขาจึงยึดแผ่นดินของสิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบน และแผ่นดินของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน 23 พระองค์เพิ่มบุตรหลานมากมายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าให้แก่พวกเขา พระองค์นำพวกเขาไปในแผ่นดินที่พระองค์ได้บอกแก่บรรพบุรุษ เพื่อให้เข้าไปยึดครอง 24 ดังนั้นบรรดาผู้สืบเชื้อสายจึงเข้าไปยึดครองแผ่นดิน และพระองค์ทำให้บรรดาผู้อยู่อาศัยในแผ่นดินคานาอันพ่ายแพ้ต่อหน้าเขาทั้งปวง และมอบไว้ในมือของพวกเขา รวมทั้งบรรดากษัตริย์และประชาชนของแผ่นดิน และกระทำต่อคนเหล่านั้นตามที่ต้องการ 25 พวกเขายึดเมืองต่างๆ ที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่ง และแผ่นดินอันอุดม และยึดบ้านเรือนซึ่งมีข้าวของเครื่องใช้พร้อม บ่อก็ขุดไว้แล้ว สวนองุ่น สวนมะกอก และต้นไม้ชนิดมีผลจำนวนมาก ดังนั้น พวกเขารับประทานอย่างอิ่มหนำ ได้สุขสำราญกับความประเสริฐเลิศล้ำของพระองค์
26 แม้กระนั้น พวกเขาก็ยังดื้อดึงและขัดขืนต่อพระองค์ และหันหลังให้กฎบัญญัติของพระองค์ และฆ่าบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระองค์ ซึ่งได้เตือนพวกเขาให้หันกลับเข้าหาพระองค์ และพวกเขาพูดหมิ่นประมาทมาก 27 ฉะนั้นพระองค์มอบพวกเขาไว้ในมือของพวกศัตรูซึ่งกดขี่ข่มเหง และในเวลาที่พวกเขาทนทุกข์ พวกเขาก็ร่ำร้องต่อพระองค์ และพระองค์ได้ยินจากฟ้าสวรรค์ และเนื่องจากความเมตตาเป็นล้นพ้นของพระองค์ พระองค์มอบบรรดาผู้ช่วยให้พ้นภัยแก่พวกเขาให้พ้นจากมือของพวกศัตรู 28 แต่หลังจากที่บรรพบุรุษมีโอกาสได้พักชั่วครู่ พวกเขาก็กระทำสิ่งชั่วร้ายต่อหน้าพระองค์อีก พระองค์ปล่อยพวกเขาไว้ในมือของพวกศัตรู จนต้องตกอยู่ใต้การปกครองของเหล่าศัตรูด้วย เมื่อพวกเขาหันมาและร้องต่อพระองค์ พระองค์ได้ยินจากสวรรค์ และเนื่องจากความเมตตาของพระองค์ พระองค์ก็ช่วยพวกเขาให้หลุดพ้นไปได้หลายครั้ง 29 พระองค์เตือนพวกเขาเพื่อให้กลับมาปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระองค์ แต่พวกเขาก็ยังยโส และไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ แต่กลับทำผิดต่อคำบัญชาของพระองค์ ถ้าผู้ใดกระทำตาม ผู้นั้นก็จะมีชีวิต และพวกเขาหันหลังให้พระองค์ และดื้อด้านไม่ยอมเชื่อฟัง 30 เป็นเวลาหลายปีที่พระองค์ทนต่อพวกเขา และเตือนพวกเขาผ่านทางบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าด้วยพระวิญญาณของพระองค์ แต่พวกเขาก็ยังไม่เงี่ยหูฟัง ฉะนั้นพระองค์จึงมอบพวกเขาไว้ในมือของประชาชาติในแผ่นดิน 31 แม้กระนั้น พระองค์ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาจบชีวิตลง หรือทอดทิ้งพวกเขา เนื่องจากพระองค์มีความเมตตายิ่งนัก พระองค์เป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระคุณและความเมตตา
32 ฉะนั้น บัดนี้ พระเจ้าของพวกเรา พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พร้อมด้วยอานุภาพและน่าเกรงขาม พระองค์รักษาพันธสัญญาและความรักอันมั่นคง ขอพระองค์อย่าเห็นว่าความลำบากทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นกับพวกเรา กับบรรดากษัตริย์ เหล่าเจ้านาย ปุโรหิต ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า บรรพบุรุษ และกับชนชาติทั้งปวงของพระองค์ เป็นสิ่งเล็กน้อยเลย นับตั้งแต่สมัยกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย มาจนถึงทุกวันนี้ 33 พระองค์ได้ให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นแก่พวกเราด้วยความชอบธรรม เพราะพระองค์รักษาคำมั่นสัญญา ในขณะที่พวกเราได้ประพฤติอย่างชั่วร้าย 34 บรรดากษัตริย์ของพวกเรา เหล่าเจ้านาย ปุโรหิต และบรรพบุรุษของพวกเราไม่ได้รักษากฎบัญญัติ และไม่เอาใจใส่ต่อพระบัญญัติและคำสั่งของพระองค์ ซึ่งพระองค์ให้แก่พวกเขา 35 แม้พวกเขาจะอยู่ในอาณาจักรของตนเอง มีความสุขท่ามกลางสิ่งดีๆ ที่พระองค์มอบให้ ในแผ่นดินอันกว้างใหญ่และบริบูรณ์ซึ่งพระองค์เตรียมให้ที่ตรงหน้าพวกเขา พวกเขาก็ยังไม่ได้รับใช้พระองค์ หรือหันจากการกระทำที่ชั่วร้าย 36 ดูเถิด พวกเราเป็นทาสในวันนี้ ในแผ่นดินที่พระองค์มอบให้แก่บรรพบุรุษของเราเพื่อได้รับผลประโยชน์และสิ่งดีๆ จากแผ่นดิน ดูเถิด พวกเราเป็นทาส 37 ผลเก็บเกี่ยวที่ได้รับอย่างอุดมสมบูรณ์ก็ตกถึงมือของกษัตริย์ ผู้ที่พระองค์ประสงค์ให้ปกครองเหนือพวกเรา เนื่องจากบาปของเรา พวกเขาควบคุมทั้งตัวเราและสัตว์เลี้ยงตามใจปรารถนาของพวกเขา พวกเราจึงเป็นทุกข์ยิ่งนัก
38 เป็นเพราะสิ่งดังกล่าวนี้ พวกเราจึงเขียนคำสัญญาเป็นข้อผูกมัด มีชื่อของเหล่าเจ้านาย ชาวเลวี และปุโรหิตของพวกเรากำกับไว้
ที่เมืองเอเฟซัส
19 ขณะที่อปอลโลอยู่ที่เมืองโครินธ์ เปาโลก็เดินทางไปตามถนนตอนในจนถึงเมืองเอเฟซัส แล้วท่านพบกับสาวกบางคนที่นั่น 2 ท่านถามพวกเขาว่า “เวลาที่ท่านเชื่อนั้น ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า” เขาทั้งหลายตอบว่า “เปล่า พวกเราไม่เคยได้ยินเลยว่ามีพระวิญญาณบริสุทธิ์” 3 ดังนั้นเปาโลถามว่า “แล้วท่านได้รับบัพติศมาใดเล่า” พวกเขาตอบว่า “บัพติศมาของยอห์น” 4 เปาโลกล่าวว่า “บัพติศมาของยอห์นเป็นบัพติศมาของการกลับใจ ยอห์นบอกผู้คนให้เชื่อในองค์ผู้ที่กำลังจะมาภายหลัง คือพระเยซู” 5 เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว เขาเหล่านั้นก็ได้รับบัพติศมาในพระนามของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า 6 เมื่อเปาโลวางมือทั้งสองของท่านบนตัวเขาเหล่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ลงมาสถิตกับพวกเขา แล้วเขาก็พูดภาษาที่ตนไม่รู้จักและเผยคำกล่าวของพระเจ้า 7 รวมผู้คนทั้งหมดได้ประมาณ 12 คน
8 เปาโลได้เข้าไปในศาลาที่ประชุม และกล่าวด้วยใจกล้าหาญต่อไปเป็นเวลา 3 เดือน โดยกล่าวชี้แจงถึงอาณาจักรของพระเจ้าอย่างน่าเชื่อถือ 9 แต่เมื่อมีบางคนที่เกิดใจแข็งและไม่ยอมเชื่อ ทั้งยังว่าร้ายเรื่อง “วิถีทางนั้น” ต่อหน้าชุมชน ท่านก็ถอนตัวออกไปจากเขาเหล่านั้น ท่านได้พาพวกสาวกไปด้วย เพื่ออภิปรายทุกวันในห้องประชุมของทีรันนัส 10 ท่านได้กระทำเช่นนี้ติดต่อกันเป็นเวลา 2 ปี ดังนั้นทุกคนที่อาศัยอยู่ในแคว้นเอเชียทั้งชาวยิวและกรีก จึงได้ยินคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า
11 พระเจ้าได้กระทำสิ่งอัศจรรย์เป็นพิเศษผ่านเปาโล 12 จนแม้ว่าผ้าเช็ดหน้าและผ้ากันเปื้อนที่ถูกต้องตัวเปาโล แล้วก็เอาไปวางบนผู้ป่วย โรคต่างๆ ก็หายขาดได้ และพวกวิญญาณร้ายก็ออกไปจากร่างคนที่ถูกสิง 13 แต่ชาวยิวบางคนเที่ยวไปทำตนเป็นคนขับไล่วิญญาณร้าย โดยใช้พระนามของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า ในการขับไล่พวกวิญญาณร้ายด้วยคำพูดว่า “เราสั่งให้เจ้าออกมาในพระนามของพระเยซูที่เปาโลประกาศ” 14 มหาปุโรหิตชาวยิวผู้หนึ่งชื่อเสวา เขามีบุตรชาย 7 คนที่ปฏิบัติเช่นนั้น 15 วันหนึ่งวิญญาณร้ายตอบพวกเขาว่า “เรารู้ว่าพระเยซูคือผู้ใด และเปาโลนั้นเราก็รู้ แต่เจ้าล่ะ เป็นใครกัน” 16 แล้วชายที่มีวิญญาณร้ายสิงอยู่ก็กระโจนเข้าใส่ และทำร้ายจนชายทั้งเจ็ดพ่ายแพ้ราบคาบ พวกเขาต้องวิ่งหนีออกจากบ้านทั้งๆ ที่เปลือยกายและบาดเจ็บด้วย 17 เมื่อชาวยิวและกรีกที่อาศัยอยู่ในเมืองเอเฟซัสได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น ต่างก็เกิดความหวาดกลัว และพระนามของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นที่ยกย่องสรรเสริญอย่างสูง 18 คนที่เชื่อจำนวนมากจึงมาสารภาพการกระทำที่ชั่วร้ายอย่างเปิดเผย 19 คนจำนวนมากที่เคยใช้เวทมนตร์คาถา ก็นำตำรับตำราซึ่งประมาณค่าได้ทั้งหมดถึง 50,000 ดร๊าคม่า[a]มารวมกันและเผาต่อหน้าคนทั้งปวง 20 ด้วยวิธีการนี้ คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าก็แผ่ขยายไปไกลและมีฤทธานุภาพมากขึ้นไปอีก
21 ครั้นสิ้นเหตุการณ์เหล่านั้นแล้ว เปาโลก็ได้ตัดสินใจไปยังเมืองเยรูซาเล็ม โดยเดินทางผ่านเข้าไปในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายา ท่านกล่าวว่า “หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ไปที่นั่นแล้ว ข้าพเจ้าต้องไปเยี่ยมเมืองโรมด้วย” 22 ท่านได้ส่งผู้ช่วย 2 คนคือทิโมธีกับเอรัสทัสไปยังแคว้นมาซิโดเนีย ขณะที่ท่านอยู่ในแคว้นเอเชียต่อเพียงระยะสั้น
23 เวลานั้นได้เกิดความวุ่นวายไม่น้อยในเรื่อง “วิถีทางนั้น” 24 เนื่องจากเดเมตริอัส ช่างเงินที่ได้ทำวิหารจำลองของเทพเจ้าอาร์เทมิสได้ช่วยให้พวกช่างเงินอื่นๆ มีงานทำกันไม่น้อย 25 เดเมตริอัสเรียกพวกช่างเงินเหล่านั้นพร้อมกับช่างทั้งหลายที่มีอาชีพแบบเดียวกับเขาให้มาประชุมกัน กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายทราบแล้วว่าพวกเราหาเงินได้มากจากอาชีพนี้ 26 และท่านทั้งเห็นและได้ยินว่า เปาโลคนนี้ได้เกลี้ยกล่อมคนจำนวนมากให้ลุ่มหลง ทั้งในเมืองเอเฟซัสและเกือบทั่วทั้งแคว้นเอเชียก็ว่าได้ เปาโลพูดว่าบรรดาเทพเจ้าที่คนทำขึ้นนั้นไม่ใช่พวกเทพเจ้าเลย 27 นอกจากจะทำให้ชื่อเสียงในอาชีพของพวกเราเสียหายแล้ว วิหารของเทพเจ้าอาร์เทมิสผู้ยิ่งใหญ่จะถูกดูหมิ่น ความยิ่งใหญ่ของนางซึ่งผู้คนนมัสการทั่วทั้งแคว้นเอเชียและทั่วโลกก็จะตกต่ำลงไปด้วย”
28 เมื่อพวกเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธแค้น พากันร้องตะโกนว่า “ผู้ยิ่งใหญ่คือเทพเจ้าอาร์เทมิสแห่งเมืองเอเฟซัส” 29 แล้วทั่วทั้งเมืองก็เกิดความสับสนวุ่นวาย ผู้คนได้จับตัวกายอัสและอาริสทาร์คัสผู้ร่วมเดินทางของเปาโลจากแคว้นมาซิโดเนีย แล้วพร้อมใจกันฉุดเขาทั้งสองไปที่โรงละคร 30 เปาโลต้องการจะปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชน แต่พวกสาวกไม่ยอมให้ท่านทำดังนั้น 31 แม้เจ้าหน้าที่ประจำแคว้นบางคนซึ่งเป็นเพื่อนของเปาโลก็ยังให้คนไปขอร้องท่านไม่ให้ไปที่โรงละคร 32 ที่ประชุมเกิดอลหม่านวุ่นวาย บ้างก็ร้องตะโกนว่าอย่างนี้ บ้างก็ร้องตะโกนว่าอย่างนั้น คนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงกรูมาอยู่ที่นั่น 33 ชาวยิวผลักให้อเล็กซานเดอร์ออกไปข้างหน้า บ้างก็ตะโกนกำกับเขา อเล็กซานเดอร์ก็โบกมือให้เงียบเพื่อจะพูดแก้คดีต่อหน้าฝูงชน 34 แต่เมื่อเขาเหล่านั้นทราบว่าเขาเป็นชาวยิว จึงได้ร้องตะโกนเป็นเสียงเดียวกันนานประมาณ 2 ชั่วโมงว่า “ผู้ยิ่งใหญ่คือเทพเจ้าอาร์เทมิสแห่งเมืองเอเฟซัส”
35 เจ้าหน้าที่ประจำเมืองทำให้ฝูงชนสงบลงและประกาศว่า “ท่านชาวเมืองเอเฟซัส ทั่วโลกไม่รู้หรอกหรือว่า เมืองเอเฟซัสรับผิดชอบในการดูแลรักษาวิหารของเทพเจ้าอาร์เทมิสผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้รักษารูปเคารพของนางซึ่งได้ตกลงมาจากสวรรค์ 36 ฉะนั้นเมื่อไม่สามารถปฏิเสธความจริงเหล่านี้ได้ ท่านควรจะนิ่งเงียบไว้ อย่าวู่วามทำสิ่งใดลงไป 37 ท่านได้นำตัวชายเหล่านี้มาที่นี่ แม้ว่าเขาไม่ได้ปล้นวิหารหรือดูหมิ่นเทพเจ้าของเรา 38 ถ้าหากว่าเดเมตริอัสและกลุ่มช่างเงินเป็นความกับผู้ใดแล้ว ศาลก็เปิดรออยู่ ผู้ว่าราชการแคว้นก็มี ให้พวกเขาไปฟ้องกันได้ 39 ถ้าหากท่านต้องการสิ่งใดเกินกว่านี้ก็จงตกลงกันในที่ประชุมสามัญ 40 สถานการณ์เท่าที่เป็นอยู่นี้ พวกเราอาจถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการจลาจลที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุผลพอเพียง ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเราจะไม่มีข้ออ้างพอแก่การจลาจลคราวนี้ได้” 41 หลังจากที่เขาพูดจบแล้วก็ให้เลิกประชุมกัน
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation