M’Cheyne Bible Reading Plan
อับรามและโลทแยกทางกัน
13 ดังนั้น อับรามกับภรรยาจึงนำทรัพย์สิ่งของที่มีออกเดินทางไปจากประเทศอียิปต์ ขึ้นไปจนถึงเนเกบ โดยได้พาโลทไปด้วย
2 ในเวลานั้นอับรามมั่งคั่งบริบูรณ์ด้วยปศุสัตว์ เงิน และทอง 3 แล้วก็ได้เดินทางจากเนเกบต่อไปจนถึงเมืองเบธเอล ไปยังที่ที่เคยตั้งกระโจมไว้ในตอนแรกคือ ระหว่างเมืองเบธเอลกับเมืองอัย 4 และไปยังสถานที่ซึ่งท่านได้สร้างแท่นบูชาเป็นครั้งแรก ท่านร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ณ ที่นั้น 5 ส่วนโลทซึ่งไปกับอับราม ก็ได้พาฝูงแพะแกะ โค และกระโจมไปด้วย 6 ดังนั้น ผืนแผ่นดินจึงไม่กว้างขวางพอที่จะให้เขาทั้งสองอาศัยอยู่ด้วยกัน เพราะต่างก็มีทรัพย์สิน สิ่งของมากมายจนไม่อาจอยู่ร่วมกัน 7 คนเลี้ยงสัตว์ของอับรามและของโลทจึงเกิดทะเลาะวิวาทกัน ในเวลานั้นมีชาวคานาอันและชาวเปริสอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นด้วย
8 อับรามจึงพูดกับโลทว่า “อย่าให้มีการทะเลาะวิวาทระหว่างเจ้ากับเรา และระหว่างคนเลี้ยงสัตว์ของเราทั้งสองฝ่ายเลย เพราะเราต่างก็เป็นญาติพี่น้องกัน 9 มีที่ดินทั้งหมดอยู่ตรงหน้าเจ้ามิใช่หรือ เราต่างแยกกันอยู่เถิด ถ้าเจ้าเลือกทางซ้าย เราก็จะไปทางขวา หรือถ้าเจ้าเลือกทางขวา เราก็จะไปทางซ้าย” 10 โลทจึงเงยหน้าขึ้นมองไปตามทิศที่มุ่งสู่เมืองโศอาร์ และเห็นว่าที่ราบแถบแม่น้ำจอร์แดนมีน้ำท่วมถึงทุกแห่งหนเหมือนกับสวนของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับพื้นที่ของประเทศอียิปต์ ในเวลานั้นพระผู้เป็นเจ้ายังไม่ได้ทำลายเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ 11 ดังนั้นโลทจึงเลือกที่ลุ่มแถบแม่น้ำจอร์แดนทั้งหมดสำหรับตนเอง โลทออกเดินทางไปทางทิศตะวันออก แล้วทั้งสองก็แยกทางกันไป 12 อับรามตั้งรกรากอยู่ในแผ่นดินของคานาอัน ในขณะที่โลทตั้งรกรากอยู่ท่ามกลางเมืองต่างๆ ในบริเวณที่ลุ่ม และตั้งกระโจมของเขาไกลจนถึงเมืองโสโดม 13 ชาวเมืองโสโดมเลวทรามมาก เป็นคนบาปกระทำผิดต่อพระผู้เป็นเจ้า
14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอับรามหลังจากโลทได้แยกทางไปจากท่านแล้วว่า “เจ้าจงเงยหน้าขึ้น และมองดูจากที่ที่เจ้าอยู่ มองไปทางเหนือและทางใต้ ทางตะวันออกและทางตะวันตก 15 เพราะเราจะให้แผ่นดินที่เจ้ามองเห็นแก่เจ้าและแก่ผู้สืบเชื้อสายของเจ้าไปตลอดกาล 16 เราจะให้เจ้ามีทายาทมากมายดั่งฝุ่นผงบนแผ่นดิน เพื่อว่าถ้ามีใครนับฝุ่นผงบนแผ่นดินได้ถ้วน จำนวนทายาทของเจ้าก็จะนับได้ถ้วนเช่นกัน 17 ไปเถิด ก้าวเท้าไปตามความยาวและความกว้างของแผ่นดิน เพราะเราจะยกแผ่นดินนี้ให้แก่เจ้า”
18 ดังนั้น อับรามจึงย้ายกระโจมของท่าน มาตั้งรกรากอยู่ข้างสวนโอ๊กของมัมเรที่อยู่ในเฮโบรน ครั้นแล้วจึงสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า
บุตรมนุษย์เป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต
12 ครั้งหนึ่งในวันสะบาโต[a] พระเยซูเดินผ่านไปในทุ่งนา เหล่าสาวกของพระองค์หิว จึงเริ่มเด็ดรวงข้าวมาขยี้ในมือกิน 2 เมื่อพวกฟาริสีเห็นจึงพูดกับพระองค์ว่า “ดูเถิด พวกสาวกของท่านทำสิ่งต้องห้ามในวันสะบาโต” 3 พระองค์กล่าวกับเขาว่า “ท่านไม่เคยอ่านเลยหรือว่า ครั้งที่ดาวิดกับพรรคพวกที่ไปด้วยได้ทำอะไรบ้างเมื่อรู้สึกหิว 4 คราวที่ดาวิดได้เข้าไปในพระตำหนักของพระเจ้า และรับประทานขนมปังอันบริสุทธิ์ ซึ่งเขาและพรรคพวกไม่มีสิทธิ์รับประทาน แต่เป็นของพวกปุโรหิตเท่านั้น 5 หรือท่านไม่เคยอ่านในกฎบัญญัติหรือว่า ในวันสะบาโตพวกปุโรหิตในพระวิหารละเมิดกฎวันสะบาโตและไม่มีความผิด 6 เราขอบอกท่านว่า สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าพระวิหารอยู่ที่นี่ 7 แต่ถ้าท่านรู้ความหมายนี้แล้ว ‘เราต้องการความเมตตา ไม่ต้องการเครื่องสักการะ’[b] ท่านก็จะไม่กล่าวโทษคนที่ไม่มีความผิด 8 เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต”
9 แล้วพระองค์จากสถานที่นั้นไป และเข้าไปในศาลาที่ประชุมของพวกเขา 10 มีชายมือลีบคนหนึ่งอยู่ที่นั่น พวกเขาถามพระองค์ว่า “ถูกต้องตามกฎบัญญัติหรือที่รักษาผู้คนในวันสะบาโต” เขาถามดังนั้นเพื่อจะได้ใช้เป็นข้อกล่าวหาพระองค์ 11 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “ถ้าคนใดคนหนึ่งในพวกท่านมีแกะตัวหนึ่งซึ่งตกบ่อในวันสะบาโต ท่านจะไม่คว้าและดึงตัวขึ้นไว้หรือ 12 แล้วมนุษย์คนหนึ่งมีค่ามากกว่าแกะเพียงไร ฉะนั้นการทำดีในวันสะบาโตถูกต้องตามกฎบัญญัติ” 13 ครั้นแล้วพระองค์กล่าวกับชายนั้นว่า “จงยื่นมือออกมาเถิด” เมื่อเขาทำตาม มือของเขาก็หายเป็นปกติเหมือนอีกข้างหนึ่ง 14 พวกฟาริสีจึงออกไป และปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรจึงฆ่าพระองค์ได้
ผู้รับใช้ที่พระเจ้าเลือก
15 พระเยซูทราบดีจึงเดินออกไปจากที่นั้น มีคนจำนวนมากติดตามพระองค์ไป และพระองค์รักษาทุกคนให้หายขาด 16 พระองค์สั่งพวกเขาไม่ให้บอกคนอื่นเกี่ยวกับพระองค์ 17 เพื่อว่าจะได้เป็นไปตามสิ่งที่กล่าวไว้โดยผ่านอิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า
18 “นี่คือผู้รับใช้ของเรา ซึ่งเป็นผู้ที่เราได้เลือกไว้แล้ว
ผู้ที่เรารักและพึงพอใจยิ่งนัก
เราจะมอบวิญญาณของเราไว้ให้ท่าน
และท่านจะประกาศความยุติธรรมแก่บรรดาคนนอก
19 ท่านจะไม่ทะเลาะวิวาทและร้องเสียงดัง
และไม่มีใครได้ยินเสียงของท่านตามถนน
20 ไม้อ้อที่หักแล้วท่านจะไม่ทำลาย
ไส้ตะเกียงที่ริบหรี่ท่านจะไม่ทำให้ดับ
จนกว่าท่านจะมีชัยในความยุติธรรม
21 และบรรดาคนนอกจะฝากความหวังไว้กับท่าน”[c]
พระเยซูและเบเอลเซบูล
22 ครั้นแล้วมีคนพาชายใบ้ตาบอดซึ่งมีมารสิงอยู่มาหาพระองค์ พระองค์รักษาเขาให้หายขาด ชายใบ้จึงพูดได้และมองเห็น 23 คนทั้งปวงต่างก็อัศจรรย์ใจพากันพูดว่า “ชายผู้นี้เป็นบุตรของดาวิดหรือ” 24 เมื่อพวกฟาริสีได้ยินดังนั้นจึงพูดว่า “ชายผู้นี้ขับพวกมารออกได้โดยใช้เบเอลเซบูลหัวหน้าของพวกมารเท่านั้น” 25 พระเยซูทราบความคิดของคนเหล่านั้นจึงกล่าวว่า “อาณาจักรใดก็ตามที่แบ่งแยกกันเองก็จะพินาศ และบ้านหรือเมืองใดๆ ที่แบ่งแยกกันเองก็จะล่มสลาย 26 ถ้าซาตานขับซาตานออก มันก็แบ่งภาคออกจากกัน แล้วอาณาจักรของมันจะยืนหยัดได้อย่างไร 27 ถ้าเราขับมารโดยใช้เบเอลเซบูล แล้วผู้ติดตามของท่านเองล่ะ จะใช้ใครขับ ฉะนั้นแล้วเขาเหล่านั้นก็เป็นผู้ตัดสินความของท่าน 28 แต่ถ้าเราขับพวกมารโดยพระวิญญาณของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงท่านแล้ว 29 การที่จะบุกรุกเข้าบ้านของคนที่มีกำลังมากและยึดทรัพย์สมบัติของเขาไป ก็จะต้องมัดตัวผู้ที่มีกำลังมากไว้เสียก่อน แล้วจึงจะปล้นเอาทรัพย์ไปจากบ้านได้ 30 ใครที่ไม่เป็นฝ่ายเราก็เป็นฝ่ายค้านเรา และคนที่ไม่เก็บรวบรวมกับเราก็กระจัดกระจายไป 31 ฉะนั้นเราขอบอกท่านว่า มนุษย์จะได้รับการยกโทษบาปและการหมิ่นประมาททุกประเภท แต่การหมิ่นประมาทพระวิญญาณจะไม่ได้รับการยกโทษ 32 ใครก็ตามที่กล่าวแย้งต่อบุตรมนุษย์ยังจะได้รับการยกโทษอยู่ แต่ใครก็ตามที่กล่าวแย้งพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะไม่ได้รับการยกโทษทั้งในยุคนี้และยุคที่จะมาถึง
33 ผลไม้ดีย่อมเกิดจากต้นไม้ดี ผลไม้เลวย่อมเกิดจากต้นไม้เลว เราดูคุณภาพของต้นไม้ได้จากผลของมัน 34 พวกชาติอสรพิษ ท่านเป็นคนชั่ว แล้วจะพูดสิ่งที่ดีได้อย่างไร ปากย่อมพูดแต่สิ่งที่อยู่ในใจ 35 คนดีย่อมส่งสิ่งดีที่สะสมอยู่ในใจออกมา และคนชั่วย่อมส่งสิ่งชั่วออกจากใจเช่นกัน 36 เราขอบอกท่านว่า ในวันพิพากษา มนุษย์ต้องรับผิดชอบคำพูดทุกคำที่เขาพูดโดยไม่ระวัง 37 ท่านจะพ้นผิดหรือจะถูกกล่าวโทษก็ตามแต่คำที่ท่านพูด”
ปรากฏการณ์อัศจรรย์ของโยนาห์
38 ครั้นแล้วอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสีบางคนจึงตอบพระองค์ว่า “อาจารย์ พวกเราต้องการเห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์จากท่าน” 39 พระองค์กล่าวตอบพวกเขาว่า “คนในช่วงกาลเวลาอันชั่วโฉดและไม่ภักดีต่อพระเจ้าแสวงหาปรากฏการณ์อัศจรรย์แต่จะไม่ได้รับนอกจากปรากฏการณ์อัศจรรย์ของโยนาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเท่านั้น 40 โยนาห์อยู่ในท้องปลามหึมา 3 วัน 3 คืนฉันใด บุตรมนุษย์จะอยู่ที่ใจกลางโลก 3 วัน 3 คืนฉันนั้น 41 ชาวนีนะเวห์จะผงาดขึ้นในวันพิพากษา และกล่าวหาคนในช่วงกาลเวลานี้ ชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเพราะคำประกาศของโยนาห์ และเวลานี้ผู้ที่เหนือกว่าโยนาห์อยู่ที่นี่แล้ว 42 ราชินีแห่งทิศใต้[d]จะลุกผงาดขึ้นในวันพิพากษา และกล่าวหาคนในช่วงกาลเวลานี้ ด้วยว่าพระนางมาจากปลายฟ้าเพื่อฟังสติปัญญาของกษัตริย์ซาโลมอน และบัดนี้ผู้ที่เหนือกว่ากษัตริย์ซาโลมอนอยู่ที่นี่
43 เมื่อวิญญาณร้ายออกมาจากคนหนึ่ง มันก็เที่ยวหาที่แล้งเพื่อพำนัก เมื่อไม่พบ 44 มันจึงพูดว่า ‘ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าจากมา’ เมื่อมาถึงก็กลับพบว่าบ้านนั้นว่าง ถูกปัดกวาดจนสะอาดเรียบร้อย 45 มันจึงไปเอาพวกวิญญาณอีก 7 ตนที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าเข้าไปอยู่ในบ้านนั้น ในที่สุดอาการของคนนั้นก็ทรุดหนักลงกว่าเดิม นั่นแหละเป็นทางที่จะเกิดขึ้นกับคนในช่วงกาลเวลาอันชั่วโฉดนี้”
มารดาและน้องชายของพระเยซู
46 ขณะที่พระองค์กำลังกล่าวกับฝูงชนอยู่ มารดาและพวกน้องชายที่ยืนอยู่ข้างนอกอยากจะพูดกับพระองค์ 47 และมีคนมาบอกพระองค์ว่า “มารดาและพวกน้องชายของท่านกำลังยืนอยู่ข้างนอกอยากจะพูดกับท่าน” 48 พระองค์ตอบคนที่มาบอกพระองค์ว่า “ใครเป็นมารดาและน้องชายของเรา” 49 พระองค์ชี้ไปทางสาวกของพระองค์และกล่าวว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา 50 ใครก็ตามที่กระทำตามความประสงค์ของพระบิดาของเราในสวรรค์ คนนั้นก็เป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา”
กษัตริย์ส่งเนหะมีย์ไปยูดาห์
2 ในเดือนนิสาน ปีที่ยี่สิบแห่งการครองราชย์ของกษัตริย์อาร์ทาเซอร์ซีส เมื่อเป็นเวลาถวายเหล้าองุ่น ข้าพเจ้าก็รับเหล้าองุ่นมาถวายกษัตริย์ ข้าพเจ้าไม่เคยเศร้าโศกต่อหน้าท่านมาก่อน 2 กษัตริย์กล่าวกับข้าพเจ้าว่า “ทำไมเจ้าจึงหน้าเศร้า ในเมื่อเจ้าก็ไม่ได้เจ็บป่วย นี่คงไม่ใช่อะไรอื่น แต่เป็นความทุกข์ใจ” 3 ข้าพเจ้าตอบกษัตริย์ว่า “ขอให้กษัตริย์มีชีวิตยิ่งยืนนานเถิด หน้าข้าพเจ้าจะไม่เศร้าได้อย่างไร ในเมื่อเมืองซึ่งเป็นที่ฝังศพของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า เหลือแต่ซากปรักหักพัง และประตูเมืองก็ถูกไฟไหม้เสียหาย” 4 กษัตริย์จึงกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าต้องการขอสิ่งใด” ดังนั้นข้าพเจ้าจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ 5 และข้าพเจ้าตอบกษัตริย์ว่า “ถ้าหากว่าเป็นที่พอใจของกษัตริย์ และถ้าผู้รับใช้ของท่านเป็นที่พอใจของท่าน ขอท่านโปรดให้ข้าพเจ้าไปยังยูดาห์ เมืองซึ่งเป็นที่ฝังศพของบรรพบุรุษของข้าพเจ้าเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะสร้างเมืองขึ้นใหม่” 6 ราชินีนั่งข้างกษัตริย์ และกษัตริย์กล่าวกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าจะไปนานแค่ไหน เมื่อไหร่เจ้าจะกลับมา” เมื่อข้าพเจ้ากำหนดวันเวลา กษัตริย์ก็พอใจที่ให้ข้าพเจ้าไป 7 ข้าพเจ้าตอบกษัตริย์ว่า “ถ้ากษัตริย์จะโปรด กรุณาให้ข้าพเจ้าถือจดหมายไปยังผู้ว่าราชการของแคว้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส เพื่อพวกเขาจะอนุญาตให้ข้าพเจ้าเดินทางผ่านไปจนถึงยูดาห์ 8 และจดหมายถึงอาสาฟผู้รักษาป่าไม้ของกษัตริย์ เพื่อเขาจะได้มอบไม้ทำคานค้ำประตูป้อมปราการที่ข้างพระวิหาร และก่อกำแพงเมือง และก่อสร้างบ้านที่ข้าพเจ้าจะได้อาศัยอยู่” กษัตริย์ก็ประทานสิ่งที่ข้าพเจ้าขอ ด้วยว่ามืออันประเสริฐของพระเจ้าของข้าพเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า
เนหะมีย์สำรวจกำแพงเยรูซาเล็ม
9 ข้าพเจ้าไปหาบรรดาผู้ว่าราชการแคว้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และยื่นจดหมายของกษัตริย์ให้แก่พวกเขา กษัตริย์ได้ให้พวกกองทัพทหารและทหารม้าไปกับข้าพเจ้าด้วย 10 แต่เมื่อสันบาลลัทชาวโฮโรน และโทบียาห์เจ้าหน้าที่ชาวอัมโมน ทราบเรื่องนี้ จึงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ที่มีคนเข้ามาสนใจทุกข์สุขของชาวอิสราเอล
11 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไปยังเยรูซาเล็ม และอยู่ที่นั่น 3 วัน 12 ข้าพเจ้ากับชายอีกสองสามคนที่มาด้วยก็เริ่มปฏิบัติงานในเวลากลางคืน ข้าพเจ้าไม่ได้บอกผู้ใดว่า พระเจ้าของข้าพเจ้าดลใจข้าพเจ้าให้ทำอะไรเพื่อเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าไม่ได้นำสัตว์อื่นไปด้วย ยกเว้นสัตว์ตัวที่ข้าพเจ้าขี่ไป 13 ในเวลากลางคืนข้าพเจ้าออกไปข้างประตูหุบเขา ไปยังน้ำพุมังกรและประตูมูลสัตว์ และข้าพเจ้าสำรวจกำแพงเยรูซาเล็มที่พังลง และประตูเมืองที่ถูกไฟเผา 14 และข้าพเจ้าเลยไปดูที่ประตูน้ำพุและสระน้ำของกษัตริย์ แต่สัตว์ที่ข้าพเจ้าขี่นั้น ผ่านเข้าไปไม่ได้ 15 แล้วในเวลากลางคืนข้าพเจ้าก็ขึ้นไปข้างหุบเขา และสำรวจกำแพง และกลับเข้ามาทางประตูหุบเขา 16 พวกเจ้าหน้าที่ไม่ทราบว่าข้าพเจ้าไปไหนหรือไปทำอะไร และข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้บอกชาวยิว บรรดาปุโรหิต ขุนนาง เจ้าหน้าที่ และคนอื่นๆ ที่จะทำการก่อสร้าง
17 แล้วข้าพเจ้าพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านก็เห็นว่าพวกเราตกอยู่ในความลำบาก เยรูซาเล็มเหลือแต่ซาก ประตูเมืองถูกเผา เรามาสร้างกำแพงเยรูซาเล็มกันเถิด พวกเราจะได้ไม่ต้องเผชิญกับการดูหมิ่นอีกต่อไป” 18 และข้าพเจ้าบอกพวกเขาเรื่องที่พระเจ้าของข้าพเจ้าได้คุ้มครองข้าพเจ้าตลอดมา และเรื่องที่กษัตริย์ได้กล่าวกับข้าพเจ้า พวกเขาจึงตอบว่า “เรามาเริ่มสร้างกันใหม่เถิด” ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมตัวกันทำงานที่ดีนั้น 19 แต่เมื่อสันบาลลัทชาวโฮโรน โทบียาห์เจ้าหน้าที่ชาวอัมโมน และเกเชมชาวอาหรับทราบเรื่อง จึงเยาะเย้ยและดูหมิ่นเรา และพูดว่า “พวกเจ้าทำอะไรกันนี่ พวกเจ้าต่อต้านกษัตริย์หรือ” 20 ข้าพเจ้าจึงตอบว่า “พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทำให้พวกเราประสบความสำเร็จ และพวกเราเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ และเราจะเริ่มสร้างกำแพงขึ้นใหม่ แต่พวกท่านไม่มีส่วน ไม่มีสิทธิ และไม่สามารถเรียกร้องสิ่งใดในเยรูซาเล็ม”
เปโตรตามทูตสวรรค์ออกไปจากคุก
12 ในระยะเวลานั้น กษัตริย์เฮโรดจับกุมบางคนที่มีส่วนร่วมในคริสตจักร โดยเจตนาจะข่มเหงคนเหล่านั้น 2 เฮโรดสั่งฆ่ายากอบซึ่งเป็นพี่ชายของยอห์นด้วยดาบ 3 เมื่อท่านเห็นว่าชาวยิวพอใจก็คิดจะจับกุมเปโตรด้วย เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในระหว่างเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ 4 หลังจากที่ท่านได้จับกุมเปโตรแล้วก็สั่งจำคุก มีทหาร 4 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คนคุมตัวไว้ เฮโรดตั้งใจที่จะพิจารณาคดีต่อหน้าประชาชนหลังจากเทศกาลปัสกา 5 ขณะที่เปโตรถูกจำคุก คริสตจักรก็ตั้งจิตอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อท่านมากยิ่งขึ้น
6 ในคืนก่อนที่เฮโรดจะนำตัวเปโตรออกพิจารณาคดี เปโตรนอนอยู่ระหว่างทหาร 2 คนโดยมีโซ่ล่ามไว้ 2 เส้น และมีพวกทหารยามเฝ้าอยู่ทางเข้า 7 ในทันใดนั้น ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏ และมีแสงส่องในเรือนจำ ทูตสวรรค์สัมผัสเปโตรที่สีข้างให้ตื่นขึ้นแล้วกล่าวว่า “เร็วๆ ลุกขึ้นเถิด” แล้วโซ่ก็หลุดออกจากข้อมือของเปโตร 8 ทูตสวรรค์กล่าวกับเปโตรว่า “จงสวมเสื้อผ้าและรองเท้าของท่านเถิด” เปโตรก็ทำตาม ทูตสวรรค์จึงกล่าวต่อไปว่า “สวมเสื้อคลุมแล้วตามเรามา” 9 เปโตรก็ตามทูตสวรรค์ออกไปจากคุก แต่ไม่คิดว่าที่ทูตสวรรค์กระทำอยู่นั้นเป็นความจริง คิดว่าที่เห็นเป็นเพียงภาพนิมิตเท่านั้น 10 เมื่อทั้งสองผ่านยามชั้นที่หนึ่งและที่สองมา แล้วก็มาถึงประตูเหล็กทางเข้าสู่เมือง ประตูก็เปิดออกเองให้เขาทั้งสองผ่านไปได้ เมื่อออกมาได้ไกลประมาณถนนหนึ่ง ทูตสวรรค์ก็จากท่านไปโดยฉับพลัน 11 เปโตรรู้สึกตัวขึ้นจึงพูดว่า “ข้าพเจ้าทราบแน่แล้วว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของเฮโรด และจากทุกสิ่งที่ชาวยิวคาดหมายว่าจะทำ”
12 เมื่อท่านตระหนักเช่นนั้นแล้ว จึงไปยังบ้านของมารีย์มารดาของยอห์นที่มีอีกชื่อหนึ่งว่ามาระโก ที่นั่นมีผู้คนจำนวนมากกำลังร่วมกันอธิษฐานอยู่ 13 ครั้นเปโตรเคาะประตูทางเข้าด้านนอก เด็กรับใช้หญิงชื่อโรดาก็มาฟังที่ประตู 14 และจำเสียงของเปโตรได้ จึงเกิดความยินดี วิ่งกลับไปโดยไม่ได้เปิดประตูให้ พลางร้องว่า “เปโตรอยู่ที่ประตู” 15 เขาเหล่านั้นบอกเธอว่า “เธอเสียสติแล้ว” เมื่อเธอยืนกรานว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ พวกเขาจึงกล่าวว่า “คงต้องเป็นทูตสวรรค์ของท่าน” 16 แต่เปโตรก็ยังเคาะประตูอยู่ เมื่อคนเหล่านั้นเปิดประตูแล้ว เห็นท่านยืนอยู่ก็พากันแปลกใจ 17 เปโตรโบกมือให้พวกเขาเงียบ แล้วอธิบายว่าพระผู้เป็นเจ้าได้นำท่านออกจากคุกได้อย่างไร ท่านพูดว่า “จงรายงานเรื่องนี้ให้ยากอบและพวกพี่น้องทราบด้วย” แล้วท่านก็เดินทางไปยังที่อื่นต่อไป
18 พอรุ่งเช้า ก็เกิดความอลหม่านไม่น้อยในหมู่ทหาร เพราะไม่ทราบว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับเปโตร 19 ส่วนเฮโรดก็ค้นหาแต่ไม่พบเช่นกัน จึงไต่สวนพวกทหารยามและสั่งฆ่าเสีย แล้วก็ลงจากแคว้นยูเดียไปพักอยู่ที่เมืองซีซารียาชั่วระยะหนึ่ง
20 ช่วงนั้นเฮโรดกำลังบาดหมางกับชาวเมืองไทระและเมืองไซดอนอยู่ และชาวเมืองของทั้งสองได้ร่วมใจกันเข้าพบท่าน โดยเกลี้ยกล่อมบลัสตัสต้นห้องของกษัตริย์เฮโรดได้ แล้วก็ขอเป็นไมตรี เพราะพวกเขาต้องอาศัยอาหารจากดินแดนของเฮโรดเลี้ยงคนในเขตเมืองของพวกเขา
เฮโรดสิ้นชีวิต
21 เมื่อถึงวันที่กำหนดไว้ เฮโรดสวมเสื้อคลุมของกษัตริย์อยู่บนบัลลังก์ และกล่าวคำปราศรัยแก่ผู้คน 22 ฝ่ายผู้คนก็ร้องตะโกนว่า “นี่คือเสียงของเทพเจ้า ไม่ใช่เสียงของคน” 23 ทันใดนั้นเอง ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าได้บันดาลให้ท่านล้มเจ็บ เป็นเพราะว่าเฮโรดไม่ได้สรรเสริญยกย่องพระเจ้า และท่านก็ถูกหนอนกินจนสิ้นชีวิต
24 คำกล่าวของพระเจ้ากลับแผ่ขยายและเพิ่มพูนไปมากยิ่งขึ้น
25 เมื่อบาร์นาบัสและเซาโลทำหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายเสร็จแล้ว จึงได้กลับไปจากเมืองเยรูซาเล็ม และได้พายอห์นที่มีอีกชื่อหนึ่งว่ามาระโกไปด้วย
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation