Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ปฐมกาล 7

แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโนอาห์ว่า “จงเข้าไปในเรือพร้อมกับครอบครัวของเจ้า เพราะเราเห็นว่าเจ้าเป็นคนชอบธรรมคนเดียวในบรรดาคนชั่วอายุนี้ จงนำสัตว์เหล่านี้ไปกับเจ้าด้วย คือสัตว์ที่ไม่เป็นมลทินทุกชนิดอย่างละเจ็ดคู่ทั้งตัวผู้กับคู่ของมัน สัตว์ที่เป็นมลทินทุกชนิดอย่างละคู่ทั้งตัวผู้กับคู่ของมัน และนกทุกชนิดอย่างละเจ็ดคู่ทั้งตัวผู้และตัวเมีย เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของสัตว์ทุกชนิดบนโลก อีกเจ็ดวันเราจะให้ฝนตกบนโลกนี้สี่สิบวันสี่สิบคืน และเราจะกวาดล้างสิ่งมีชีวิตทั้งปวงซึ่งเราสร้างขึ้นนั้นไปจากแผ่นดินโลก”

โนอาห์ก็ทำทุกสิ่งตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

โนอาห์มีอายุหกร้อยปีเมื่อเกิดน้ำท่วมโลก โนอาห์และบรรดาบุตรชายของเขา พร้อมทั้งภรรยาของโนอาห์และบรรดาบุตรสะใภ้ก็เข้าไปอยู่ในเรือเพื่อหลบภัยน้ำท่วม สัตว์ที่เป็นมลทินและไม่เป็นมลทิน นก สัตว์ที่เลื้อยคลาน สัตว์ทุกประเภทเป็นคู่ๆ ทั้งตัวผู้และตัวเมียก็มาหาโนอาห์และเข้าไปในเรือตามที่พระเจ้าทรงบัญชาโนอาห์ไว้ 10 อีกเจ็ดวันต่อมาน้ำก็ท่วมโลก

11 ในวันที่สิบเจ็ดของเดือนที่สอง ซึ่งเป็นปีที่โนอาห์มีอายุได้หกร้อยปี ตาน้ำบาดาลพลุ่งทะลักขึ้นมาและประตูน้ำแห่งฟ้าสวรรค์ก็เปิดออก 12 ฝนก็เทลงมาบนโลกตลอดสี่สิบวันสี่สิบคืน

13 ในวันนั้นเองโนอาห์กับภรรยาและบุตรชายทั้งสามคือ เชม ฮาม และยาเฟท รวมทั้งบุตรสะใภ้ของเขาก็เข้าไปในเรือ 14 พวกเขาได้นำสัตว์ทุกชนิดจากสัตว์ป่า สัตว์เลี้ยง สัตว์ที่เลื้อยคลาน นกและสัตว์มีปีกไปด้วย 15 บรรดาสัตว์ทุกชนิดที่มีลมหายใจแห่งชีวิตได้มาหาโนอาห์และเข้าไปในเรือเป็นคู่ๆ 16 สัตว์ที่เข้าไปในเรือคือสัตว์ตัวผู้และตัวเมียของสัตว์ทุกชนิดตามที่พระเจ้าทรงบัญชาโนอาห์ แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปิดประตูเรือ

17 ตลอดสี่สิบวัน น้ำก็ท่วมสูงจนหนุนเรือให้ลอยขึ้น 18 ปริมาณน้ำบนโลกเพิ่มขึ้นมากจนยกเรือให้ลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ 19 น้ำท่วมโลกรุนแรงมากจนมิดภูเขาสูงทั้งหมดที่อยู่ใต้ฟ้า 20 ระดับน้ำสูงเหนือยอดเขาต่างๆ ขึ้นไปกว่า 15 ศอก[a][b] 21 สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ทั่วโลกก็พินาศ ทั้งนก สัตว์เลี้ยง สัตว์ป่า สัตว์ที่เลื้อยคลาน และมวลมนุษยชาติ 22 สรรพสิ่งที่มีลมหายใจแห่งชีวิตและดำรงชีวิตอยู่บนบกก็ตายหมด 23 สิ่งมีชีวิตทั้งปวงบนโลกไม่ว่าคน สัตว์ สัตว์ที่เลื้อยคลาน และนกในอากาศล้วนถูกกวาดล้างไปจากโลก เหลือรอดอยู่แต่โนอาห์และสิ่งมีชีวิตที่อยู่กับเขาในเรือ

24 น้ำท่วมโลกอยู่นาน 150 วัน

มัทธิว 7

ตัดสินผู้อื่น(A)

“อย่าตัดสิน มิฉะนั้นท่านเองจะถูกตัดสินด้วย เพราะท่านตัดสินผู้อื่นอย่างไร ท่านจะถูกตัดสินอย่างนั้น ท่านตวงให้ไปด้วยทะนานอันใด ท่านก็จะได้รับเท่ากับทะนานอันนั้น

“เหตุใดท่านมองดูผงขี้เลื่อยในตาของพี่น้อง แต่ไม่ใส่ใจกับไม้ทั้งท่อนในตาของท่านเอง? ท่านพูดกับพี่น้องได้อย่างไรว่า ‘ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของท่านเถิด’ ในเมื่อตลอดเวลานั้นท่านเองมีไม้ทั้งท่อนอยู่ในตา? เจ้าคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาเจ้าเองก่อน แล้วเจ้าจะเห็นชัดเพื่อจะเขี่ยผงออกจากตาของพี่น้องได้

“อย่าให้ของบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้สุกร มิฉะนั้นมันจะเหยียบย่ำไว้ใต้เท้า แล้วหันมาฉีกท่านเป็นชิ้นๆ

จงขอ จงหา จงเคาะ(B)

“จงขอแล้วท่านจะได้รับ จงหาแล้วท่านจะพบ จงเคาะแล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน เพราะทุกคนที่ขอก็ได้รับ คนที่แสวงหาก็พบ และคนที่เคาะ ประตูก็จะเปิดให้แก่เขา

“ใครบ้างในพวกท่านถ้าบุตรขอขนมปังจะให้ก้อนหิน? 10 หรือถ้าบุตรขอปลาจะให้งูแก่เขา? 11 ถ้าแม้ท่านเองซึ่งเป็นคนชั่วยังรู้จักให้สิ่งดีๆ แก่บุตรของท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์จะประทานสิ่งดีแก่บรรดาผู้ที่ทูลขอต่อพระองค์ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด! 12 ฉะนั้นในทุกสิ่งจงทำต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านอยากให้เขาทำต่อท่าน เพราะนี่สรุปสาระของหนังสือบทบัญญัติและหนังสือผู้เผยพระวจนะ

ประตูแคบและประตูกว้าง

13 “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะประตูใหญ่และทางกว้างนำไปสู่ความพินาศและคนเป็นอันมากเข้าไปทางนั้น 14 ส่วนประตูเล็กและทางแคบนำไปสู่ชีวิตและมีเพียงไม่กี่คนที่ค้นพบ

ต้นไม้และผลของมัน

15 “จงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ เขามาหาพวกท่านในคราบแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย 16 ท่านจะรู้จักเขาโดยผลของเขา กอหนามจะออกผลเป็นองุ่นและพุ่มหนามจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ? 17 ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้ที่ดีทุกต้นย่อมให้ผลที่ดี ส่วนต้นไม้เลวย่อมให้ผลที่เลว 18 ต้นไม้ดีไม่อาจให้ผลเลวและต้นไม้เลวไม่อาจให้ผลดี 19 ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่ให้ผลดีก็ถูกโค่นและโยนลงในไฟ 20 ฉะนั้นท่านจะรู้จักเขาได้จากผลของเขา

21 “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้นที่จะได้เข้า 22 หลายคนจะพูดกับเราในวันนั้นว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ ขับผีในพระนามของพระองค์ และทำการอัศจรรย์มากมายมิใช่หรือ?’ 23 เมื่อนั้นเราจะบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว จงไปให้พ้น!’

คนโง่และคนฉลาด(C)

24 “ฉะนั้นทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและนำไปปฏิบัติก็เป็นเหมือนคนฉลาดที่สร้างบ้านของตนบนศิลา 25 ถึงฝนตก กระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ำบ้านนั้นแต่บ้านก็ไม่ได้พังลงเพราะมีฐานรากอยู่บนศิลา 26 ส่วนผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราแต่ไม่ได้นำไปปฏิบัติก็เป็นเหมือนคนโง่ที่สร้างบ้านของตนบนทราย 27 เมื่อฝนตก กระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ำบ้านนั้นบ้านก็พังทลายลง”

28 เมื่อพระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้จบแล้ว ฝูงชนก็พากันเลื่อมใสในคำสอนของพระองค์ 29 เพราะพระองค์ทรงสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอำนาจต่างจากพวกธรรมาจารย์ของพวกเขา

เอสรา 7

เอสรามายังเยรูซาเล็ม

หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ระหว่างรัชกาลกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสแห่งเปอร์เซีย เอสราผู้เป็นบุตรของเสไรอาห์ ผู้เป็นบุตรของอาซาริยาห์ ผู้เป็นบุตรของฮิลคียาห์ ผู้เป็นบุตรของชัลลูม ผู้เป็นบุตรของศาโดก ผู้เป็นบุตรของอาหิทูบ ผู้เป็นบุตรของอามาริยาห์ ผู้เป็นบุตรของอาซาริยาห์ ผู้เป็นบุตรของเมราโยท ผู้เป็นบุตรของเศราหิยาห์ ผู้เป็นบุตรของอุสซี ผู้เป็นบุตรของบุคคี ผู้เป็นบุตรของอาบีชูวา ผู้เป็นบุตรของฟีเนหัส ผู้เป็นบุตรของเอเลอาซาร์ ผู้เป็นบุตรของอาโรนหัวหน้าปุโรหิต เอสราผู้นี้เดินทางมาจากบาบิโลน เอสราเป็นครูผู้เชี่ยวชาญในบทบัญญัติของโมเสสซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลประทาน กษัตริย์ประทานทุกอย่างตามที่เขาทูลขอ เพราะพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาอยู่เหนือเขา ชาวอิสราเอลบางคนรวมทั้งปุโรหิต คนเลวี นักร้อง ยามเฝ้าประตู และผู้ช่วยงานในพระวิหารร่วมเดินทางมายังเยรูซาเล็มในปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสด้วย

เอสรามาถึงเยรูซาเล็มในเดือนที่ห้าปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลของกษัตริย์องค์นั้น เอสราออกเดินทางจากบาบิโลนวันที่หนึ่งเดือนที่หนึ่ง และมาถึงเยรูซาเล็มในวันที่หนึ่งเดือนที่ห้า เพราะพระหัตถ์อันทรงพระคุณของพระเจ้าอยู่เหนือเอสรา 10 เพราะเอสราได้อุทิศตนในการศึกษาและปฏิบัติตามบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเพื่อสอนกฎหมายและบทบัญญัตินั้นในอิสราเอล

สาส์นของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสถึงเอสรา

11 นี่เป็นสำเนาพระราชสาส์นของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสถึงเอสราผู้เป็นปุโรหิตและเป็นครูซึ่งรอบรู้เกี่ยวกับพระบัญชาและกฎหมายขององค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับอิสราเอล ความว่า

12 [a] จากจอมกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส

ถึงปุโรหิตเอสราผู้สอนบทบัญญัติของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์

สวัสดี

13 บัดนี้ เราออกกฤษฎีกาว่า ชาวอิสราเอลคนใดในราชอาณาจักรของเรา รวมทั้งปุโรหิตและคนเลวีที่ประสงค์จะกลับไปยังเยรูซาเล็มกับท่านก็ไปได้ 14 กษัตริย์และที่ปรึกษาทั้งเจ็ดของพระองค์ส่งท่านไปเพื่อสอบถามถึงเรื่องยูดาห์และเยรูซาเล็มเกี่ยวกับบทบัญญัติของพระเจ้าซึ่งอยู่ในมือของท่าน 15 ยิ่งกว่านั้นจงนำทองคำและเงินซึ่งกษัตริย์กับที่ปรึกษาของพระองค์มอบถวายด้วยความสมัครใจแด่พระเจ้าแห่งอิสราเอลผู้ประทับในเยรูซาเล็มไปด้วย 16 พร้อมทั้งเงินและทองทั้งหมดที่รวบรวมได้จากแคว้นบาบิโลนกับของถวายตามความสมัครใจจากประชาชนและบรรดาปุโรหิต สำหรับพระวิหารของพระเจ้าในเยรูซาเล็ม 17 จงใช้เงินเหล่านี้ซื้อวัวผู้ แกะผู้ ลูกแกะตัวผู้ เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชา แล้วถวายบนแท่นบูชาของพระวิหารของพระเจ้าของท่านในเยรูซาเล็ม

18 เงินและทองที่เหลืออาจจะใช้ทำอะไรก็ได้ตามแต่ท่านและพี่น้องชาวยิวของท่านเห็นสมควรตามพระประสงค์ของพระเจ้าของท่าน 19 จงนำเครื่องใช้ทั้งหมดซึ่งเรามอบให้ท่านดูแลไปถวายพระเจ้าแห่งเยรูซาเล็มเพื่อใช้สำหรับการนมัสการในพระวิหารของพระเจ้าของท่าน 20 อนุญาตให้เบิกปัจจัยอื่นที่จำเป็นสำหรับพระวิหารของพระเจ้าของท่านจากคลังหลวงได้

21 บัดนี้เรา กษัตริย์อารทาเซอร์ซีส ขอบัญชามายังนายคลังทุกแห่งในมณฑลที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติสว่า จงจัดหาสิ่งต่างๆ แก่ปุโรหิตเอสราผู้สอนบทบัญญัติของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์อย่างสุดความสามารถตามที่เขายื่นคำขอ 22 จนถึงจำนวนเงินหนักประมาณ 3.4 ตัน[b] ข้าวสาลีประมาณ 22 กิโลลิตร[c] เหล้าองุ่นประมาณ 2.2 กิโลลิตร[d] น้ำมันมะกอกประมาณ 2.2 กิโลลิตร และเกลือไม่จำกัดจำนวน 23 จงจัดหาทุกสิ่งที่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ทรงระบุไว้อย่างแข็งขันเพื่อพระวิหารของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ เหตุใดจึงต้องให้พระเจ้าทรงพระพิโรธต่อราชอาณาจักรของกษัตริย์และโอรสของพระองค์เล่า? 24 พึงรู้อีกด้วยว่าพวกท่านไม่มีสิทธิอำนาจที่จะเรียกเก็บภาษีอากร บรรณาการ หรือค่าธรรมเนียมใดๆ จากปุโรหิต คนเลวี นักร้อง ยามเฝ้าประตู ผู้ช่วยงานพระวิหาร หรือคนงานอื่นๆ ในพระนิเวศของพระเจ้า

25 สำหรับท่าน เอสรา จงใช้สติปัญญาซึ่งพระเจ้าประทานให้แต่งตั้งตุลาการกับเจ้าหน้าที่เพื่อให้ความยุติธรรมแก่ประชากรทุกคนที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติสซึ่งรู้บทบัญญัติของพระเจ้า ส่วนผู้ที่ไม่รู้จักบทบัญญัติ ท่านก็จงสอนเขา 26 ผู้ใดไม่ยอมปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้าของท่านและกฎหมายของกษัตริย์ ต้องถูกลงอาญาถึงตาย ถูกเนรเทศ ริบทรัพย์ หรือจำคุก

27 ขอถวายสรรเสริญแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของเรา ผู้ทรงบันดาลให้กษัตริย์มีพระทัยที่จะนำเกียรติยศมาสู่พระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าในเยรูซาเล็มเช่นนี้ 28 ผู้ทรงโปรดปรานและเชิดชูข้าพเจ้าต่อหน้ากษัตริย์ ต่อหน้าเหล่าที่ปรึกษาและข้าราชสำนักผู้ทรงอำนาจทั้งปวง เพราะว่าพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าอยู่เหนือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงมีใจกล้า รวบรวมผู้นำจากอิสราเอลขึ้นไปกับข้าพเจ้า

กิจการของอัครทูต 7

คำให้การของสเทเฟนต่อสภาแซนเฮดริน

แล้วมหาปุโรหิตจึงถามเขาว่า “จริงตามคำฟ้องร้องนี้หรือ?”

สเทเฟนตอบว่า “พี่น้องและผู้อาวุโสทั้งหลาย โปรดฟังข้าพเจ้า! พระเจ้าผู้ทรงเกียรติสิริทรงปรากฏแก่อับราฮัมบรรพบุรุษของเราขณะที่เขายังอยู่ในดินแดนเมโสโปเตเมียก่อนจะมาอาศัยในเมืองฮาราน พระเจ้าตรัสว่า ‘จงละบ้านเมืองของเจ้าและชนชาติของเจ้าไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงแก่เจ้า’[a]

“ดังนั้นเขาจึงออกจากดินแดนของชาวเคลเดียไปตั้งรกรากที่เมืองฮาราน เมื่อบิดาของเขาสิ้นชีวิตแล้วพระเจ้าทรงส่งเขามายังดินแดนนี้ที่พวกท่านอาศัยอยู่ในปัจจุบัน พระเจ้าไม่ได้ประทานกรรมสิทธิ์ใดๆ ให้เขาที่นี่แม้แต่ที่ดินเท่าฝ่าเท้า แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าเขากับลูกหลานของเขาจะครอบครองดินแดนนี้ทั้งๆ ที่ขณะนั้นอับราฮัมยังไม่มีบุตร พระเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘ลูกหลานของเจ้าจะเป็นคนต่างด้าวในต่างแดนและจะตกเป็นทาสถูกกดขี่รังแกสี่ร้อยปี แต่เราจะลงโทษชนชาติที่เขาเป็นทาสรับใช้ และหลังจากนั้นเขาจะออกจากดินแดนนั้นมานมัสการเราที่นี่’[b] แล้วพระองค์ประทานพันธสัญญาแห่งการเข้าสุหนัตให้อับราฮัม และต่อมาอับราฮัมก็ได้บุตรชื่ออิสอัคและท่านให้เขาเข้าสุหนัตเมื่ออายุแปดวัน หลังจากนั้นอิสอัคมีบุตรชื่อยาโคบและยาโคบเป็นบิดาของบรรพบุรุษทั้งสิบสองนั้น

“เพราะบรรพบุรุษเหล่านั้นอิจฉาโยเซฟจึงขายเขาไปเป็นทาสอยู่ที่ประเทศอียิปต์ แต่พระเจ้าสถิตกับเขา 10 และช่วยให้เขาพ้นจากความทุกข์ร้อนทั้งปวง ทรงให้เขามีสติปัญญาและได้รับความดี ความชอบจากฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ถึงกับตั้งให้ครอบครองทั้งอียิปต์และราชสำนัก

11 “ต่อมาเกิดการกันดารอาหารทั่วทั้งอียิปต์และคานาอันทำให้เกิดความทุกข์เข็ญครั้งใหญ่และบรรพบุรุษของเราหาอาหารไม่ได้เลย 12 เมื่อยาโคบได้ข่าวว่าที่อียิปต์มีข้าวจึงให้เหล่าบรรพบุรุษของเราไปที่นั่นเป็นครั้งแรก 13 พอครั้งที่สองโยเซฟแสดงตัวต่อพี่น้องและฟาโรห์ทรงทราบเกี่ยวกับครอบครัวของโยเซฟ 14 หลังจากนั้นโยเซฟจึงส่งคนไปรับยาโคบบิดาของเขาและครอบครัวของเขาทั้งหมด 75 คนมา 15 ยาโคบจึงลงไปอยู่ประเทศอียิปต์ เขาและเหล่าบรรพบุรุษของเราได้สิ้นชีวิตที่นั่น 16 ศพของพวกเขาถูกนำกลับมาไว้ในสุสานที่เชเคมซึ่งอับราฮัมได้จ่ายเงินจำนวนหนึ่งซื้อจากบุตรของฮาโมร์

17 “เมื่อใกล้ถึงกำหนดที่พระเจ้าจะทรงให้เป็นจริงตามพระสัญญาซึ่งทรงให้ไว้กับอับราฮัม จำนวนประชากรของเราในอียิปต์ก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก 18 แล้วกษัตริย์อีกองค์หนึ่งซึ่งไม่รู้จักโยเซฟเลยได้ขึ้นครองอียิปต์ 19 พระองค์ทรงใช้อุบายเล่นงานชนชาติของเรากดขี่เหล่าบรรพบุรุษของเราบังคับให้ทิ้งทารกเกิดใหม่ของเราให้ตายไป

20 “ครั้งนั้นโมเสสเกิดมามีลักษณะพิเศษกว่าเด็กทั่วไป[c] จึงได้รับการเลี้ยงดูในบ้านบิดาของเขาจนอายุสามเดือน 21 เมื่อถูกนำไปทิ้งไว้นอกบ้านพระธิดาของฟาโรห์ก็ได้รับไปเลี้ยงดูเป็นโอรสของตน 22 โมเสสได้รับการศึกษาในวิชาความรู้ทั้งปวงของอียิปต์ ทรงอำนาจทั้งด้านวาจาและการกระทำ

23 “เมื่อโมเสสอายุสี่สิบปีก็ตัดสินใจไปเยี่ยมเยียนอิสราเอลพี่น้องร่วมชาติ 24 เขาเห็นชาวอิสราเอลคนหนึ่งถูกชาวอียิปต์รังแกก็เข้าไปป้องกันและแก้แค้นแทนโดยฆ่าชาวอียิปต์คนนั้น 25 โมเสสคิดว่าพี่น้องร่วมชาติของตนจะตระหนักว่าพระเจ้าทรงใช้เขาให้มาช่วยพวกเขาแต่พวกเขาไม่ได้ตระหนักเช่นนั้น 26 วันรุ่งขึ้นโมเสสพบชาวอิสราเอลสองคนกำลังต่อสู้กันจึงพยายามไกล่เกลี่ยโดยกล่าวว่า ‘เพื่อนเอ๋ย พวกท่านเป็นพี่น้องกัน มาทำร้ายกันเองทำไม?’

27 “แต่คนที่กำลังทำร้ายอีกคนหนึ่งอยู่กลับผลักโมเสสออกไปและกล่าวว่า ‘ใครตั้งเจ้าเป็นเจ้านายปกครองและเป็นตุลาการตัดสินพวกเรา? 28 เจ้าอยากจะฆ่าฉันอย่างที่ฆ่าชาวอียิปต์เมื่อวานนี้หรือ?’[d] 29 เมื่อโมเสสได้ยินเช่นนั้นจึงหนีไปมีเดียน เขาตั้งรกรากที่นั่นในฐานะคนต่างด้าวและมีบุตรชายสองคน

30 “สี่สิบปีผ่านไป ทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาปรากฏแก่โมเสสในพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟในถิ่นกันดารใกล้ภูเขาซีนาย 31 โมเสสเห็นแล้วก็อัศจรรย์ใจ ขณะเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า 32 ‘เราเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ’[e] โมเสสกลัวจนตัวสั่นและไม่กล้าที่จะมอง

33 “แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘จงถอดรองเท้าออกเพราะเจ้ากำลังยืนอยู่บนที่บริสุทธิ์ 34 เราได้เห็นความทุกข์เข็ญของประชากรของเราในอียิปต์แล้ว เราได้ยินเสียงคร่ำครวญของเขา เราจึงลงมาเพื่อปลดปล่อยเขาทั้งหลายให้เป็นอิสระ มาเถิด บัดนี้เราจะส่งเจ้ากลับไปยังอียิปต์’[f]

35 “โมเสสคนเดียวกันนี้ที่ถูกพวกเขาปฏิเสธว่า ‘ใครตั้งเจ้าให้เป็นผู้ปกครองและเป็นตุลาการ?’ พระเจ้าเองได้ทรงส่งเขามาเป็นผู้ปกครองและเป็นผู้ปลดปล่อยของพวกเขาผ่านทางทูตสวรรค์ผู้ได้ปรากฏแก่เขาในพุ่มไม้ 36 โมเสสนำพวกเขาออกจากอียิปต์ และได้ทำหมายสำคัญและปาฏิหาริย์ต่างๆ ในอียิปต์ที่ทะเลแดง[g]และตลอดสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดาร

37 “โมเสสคนนี้เองที่บอกชนอิสราเอลว่า ‘พระเจ้าจะทรงส่งผู้เผยพระวจนะเช่นข้าพเจ้ามาคนหนึ่งสำหรับท่านจากหมู่ประชากรของพวกท่านเอง’[h] 38 เขาอยู่กับชุมนุมชนในถิ่นกันดาร อยู่กับทูตสวรรค์ที่กล่าวกับเขาบนภูเขาซีนาย และอยู่กับบรรพบุรุษของเราทั้งหลาย และเขาได้รับพระวจนะอันทรงชีวิตซึ่งสืบทอดมาถึงเรา

39 “แต่เหล่าบรรพบุรุษไม่ยอมเชื่อฟัง กลับปฏิเสธเขา และมีใจปรารถนาจะกลับไปอียิปต์ 40 พวกเขาบอกอาโรนว่า ‘ช่วยสร้างเทพเจ้าขึ้นมานำพวกเราไป เพราะเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโมเสสผู้ที่พาพวกเราออกมาจากอียิปต์!’[i] 41 ครั้งนั้นเหล่าประชากรได้ทำเทวรูปลูกวัว พวกเขาถวายเครื่องบูชาแก่เทวรูปนั้นและเฉลิมฉลองเพื่อเป็นเกียรติแก่สิ่งที่สร้างขึ้นด้วยน้ำมือของตน 42 แต่พระเจ้าทรงหันหลังให้พวกเขาและทรงปล่อยให้พวกเขานมัสการสิ่งต่างๆ ในท้องฟ้า เป็นจริงตามที่เขียนไว้ในหนังสือของบรรดาผู้เผยพระวจนะว่า

“ ‘พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ตลอดสี่สิบปีในถิ่นกันดาร
เจ้าได้ถวายเครื่องบูชาและมอบของถวายแก่เราหรือ?
43 เจ้าตั้งสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งพระโมเลค
และดวงดาวแห่งเรฟานเทพเจ้าของเจ้า
คือรูปเคารพต่างๆ ซึ่งเจ้าสร้างขึ้นกราบไหว้
ฉะนั้นเราจะส่งเจ้าไปเป็นเชลย’[j]ในดินแดนที่ไกลยิ่งกว่าบาบิโลน

44 “บรรพบุรุษของเรามีพลับพลาแห่งพันธสัญญาอยู่ด้วยในถิ่นกันดาร ซึ่งสร้างขึ้นตามที่พระเจ้าทรงบัญชาโมเสสตามแบบที่โมเสสได้เห็น 45 เมื่อได้รับพลับพลาแล้วบรรพบุรุษของเราภายใต้การบังคับบัญชาของโยชูวาก็นำพลับพลานั้นไปกับพวกเขาเมื่อเข้ายึดครองดินแดนจากชนชาติต่างๆ ที่พระเจ้าทรงขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าพวกเขา พลับพลาคงอยู่ในดินแดนจนถึงสมัยของดาวิด 46 ผู้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าและดาวิดทูลขอที่จะสร้างที่ประทับถวายพระเจ้าของยาโคบ[k] 47 แต่เป็นโซโลมอนที่สร้างพระนิเวศถวายพระองค์

48 “อย่างไรก็ดี องค์ผู้สูงสุดไม่ได้ประทับในนิเวศที่มนุษย์สร้างขึ้นตามที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวว่า

49 “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา
และโลกเป็นที่วางเท้าของเรา
ก็แล้วนิเวศที่เจ้าจะสร้างให้เราเป็นแบบไหนเล่า?
หรือที่พำนักสำหรับเราอยู่ที่ไหน?
50 มือของเราเองมิใช่หรือที่ได้สร้างสิ่งทั้งปวงเหล่านี้?’[l]

51 “ท่านเหล่าประชากรผู้หัวแข็ง ผู้มีจิตใจและหูที่ไม่ได้เข้าสุหนัต! ท่านก็เป็นเหมือนบรรพบุรุษของท่าน พวกท่านต่อต้านพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ! 52 มีผู้เผยพระวจนะคนไหนบ้างที่ไม่ถูกบรรพบุรุษของท่านข่มเหง? พวกเขาฆ่าแม้กระทั่งบรรดาผู้ที่พยากรณ์ถึงการเสด็จมาขององค์ผู้ชอบธรรมและบัดนี้พวกท่านได้ทรยศและประหารพระองค์ 53 ท่านผู้ได้รับบทบัญญัติซึ่งประทานผ่านทูตสวรรค์แต่ไม่ได้เชื่อฟังบทบัญญัตินั้น”

สเทเฟนถูกหินขว้างตาย

54 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินเช่นนี้ก็โกรธจัดและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่สเทเฟน 55 ฝ่ายสเทเฟนเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เงยหน้าขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ เห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้า และเห็นพระเยซูประทับยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 56 เขากล่าวว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นฟ้าสวรรค์เปิดออกและบุตรมนุษย์ประทับยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”

57 ถึงตรงนี้พวกเขาอุดหูพร้อมกับตะโกนสุดเสียงและพากันกรูเข้าใส่สเทเฟน 58 แล้วลากเขาออกจากกรุงและรุมขว้างก้อนหินใส่ ขณะเดียวกันเหล่าพยานผู้ปรักปรำสเทเฟนถอดเสื้อวางไว้แทบเท้าชายหนุ่มที่ชื่อเซาโล

59 ขณะพวกเขาเอาหินขว้างใส่นั้นสเทเฟนอธิษฐานว่า “ข้าแต่องค์พระเยซูเจ้า ขอทรงรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์” 60 แล้วคุกเข่าลงพร้อมกับร้องว่า “พระองค์เจ้าข้า ขออย่าทรงถือโทษพวกเขาเนื่องด้วยบาปนี้” แล้วเขาก็ขาดใจตาย

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.