M’Cheyne Bible Reading Plan
โซโลมอนอธิษฐานถวายพระวิหาร(A)
12 จากนั้นโซโลมอนประทับยืนอยู่หน้าแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ต่อหน้าชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งหมดและทรงชูพระหัตถ์ขึ้น 13 พระองค์ได้ทรงสร้างยกพื้นทองสัมฤทธิ์กว้างยาวด้านละ 5 ศอก[a] และสูง 3 ศอก[b] ตั้งไว้ตรงกลางลานชั้นนอก พระองค์ประทับยืนอยู่บนยกพื้น จากนั้นทรงคุกเข่าลงต่อหน้าชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งปวง แล้วทรงชูพระหัตถ์ขึ้นฟ้าสวรรค์ 14 พระองค์ตรัสว่า
“ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ทั่วฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกไม่มีพระอื่นใดเสมอเหมือนพระองค์ ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาแห่งความรักต่อเหล่าผู้รับใช้ของพระองค์ซึ่งยังคงดำเนินในทางของพระองค์อย่างสุดใจ 15 พระองค์ทรงรักษาคำมั่นสัญญาต่อดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ผู้เป็นราชบิดาของข้าพระองค์ พระองค์ทรงสัญญาด้วยพระโอษฐ์และทรงกระทำให้สำเร็จด้วยพระหัตถ์ดังเช่นทุกวันนี้
16 “และบัดนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ขอทรงรักษาคำมั่นสัญญาที่ทรงมีต่อดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ผู้เป็นราชบิดาของข้าพระองค์ที่ว่า ‘หากวงศ์วานของเจ้าใส่ใจทำทุกอย่างและดำเนินอยู่ต่อหน้าเราตามบทบัญญัติของเราเหมือนที่เจ้าได้ทำ เจ้าก็จะไม่ขาดคนที่จะขึ้นครองบัลลังก์อิสราเอลต่อหน้าเรา’ 17 ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล บัดนี้ขอทรงโปรดให้เป็นไปตามคำมั่นสัญญาที่ทรงให้ไว้แก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยเถิด
18 “แต่พระเจ้าจะประทับในโลกนี้ร่วมกับมนุษย์จริงๆ หรือ? ในเมื่อฟ้าสวรรค์สูงสุดยังไม่อาจรับพระองค์ไว้ได้ พระวิหารแห่งนี้ซึ่งข้าพระองค์สร้างขึ้นจะยิ่งเล็กน้อยกว่านั้นสักเท่าใด! 19 ถึงกระนั้นข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงสดับฟังคำอธิษฐานและตอบคำวิงวอนขอพระเมตตาซึ่งผู้รับใช้กำลังกราบทูลอยู่ต่อหน้าพระองค์ในวันนี้ 20 ขอพระองค์ทอดพระเนตรพระวิหารแห่งนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน พระวิหารซึ่งพระองค์ตรัสว่าจะเป็นที่สถาปนาพระนามของพระองค์ ขอพระองค์สดับฟังเมื่อผู้รับใช้ของพระองค์อธิษฐานตรงต่อที่แห่งนี้ 21 เมื่อผู้รับใช้และประชากรอิสราเอลของพระองค์อธิษฐานวิงวอนตรงต่อที่แห่งนี้ ขอทรงสดับฟังจากฟ้าสวรรค์อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และเมื่อทรงสดับแล้ว ขอทรงโปรดยกโทษ
22 “เมื่อผู้ใดทำผิดต่อเพื่อนบ้านและต้องสาบาน และเขามาสาบานหน้าแท่นบูชาในพระวิหารนี้ 23 ขอพระองค์ทรงสดับฟังจากฟ้าสวรรค์และวินิจฉัย ขอทรงตัดสินความระหว่างผู้รับใช้ทั้งหลายของพระองค์ ขอทรงลงโทษคนผิดและให้สิ่งที่เขาทำตกแก่ตัวเขาเอง ส่วนผู้บริสุทธิ์ขอทรงประกาศว่าเขาไม่ผิด เป็นอันพิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์
24 “เมื่ออิสราเอลประชากรของพระองค์ทำบาปต่อพระองค์และถูกศัตรูพิชิต หากเขาหันกลับมาหาพระองค์ ร้องทูลออกพระนามของพระองค์ อธิษฐานและทูลวิงวอนต่อพระองค์ในวิหารแห่งนี้ 25 ขอทรงสดับฟังจากฟ้าสวรรค์ และอภัยบาปของเหล่าประชากรอิสราเอลของพระองค์ และนำเขากลับมายังดินแดนซึ่งพระองค์ประทานแก่พวกเขาและบรรพบุรุษของพวกเขา
26 “เมื่อท้องฟ้าถูกปิดและไม่มีฝนเพราะประชากรของพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์ เมื่อเขาอธิษฐานตรงต่อที่แห่งนี้ ร้องทูลออก พระนามของพระองค์ และหันจากบาปของตนเพราะพระองค์ได้ทรงลงโทษเขาแล้ว 27 ขอทรงสดับฟังจากฟ้าสวรรค์และอภัยบาปของประชากรอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ ขอทรงสอนหนทางดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง และประทานฝนแก่ดินแดนซึ่งทรงยกให้เป็นมรดกของเหล่าประชากร
28 “หากเกิดการกันดารอาหารหรือโรคระบาดในดินแดน หรือโรคพืช หรือโรคราน้ำค้าง หรือตั๊กแตนบุกมาทำลาย หรือเหล่าศัตรูมาล้อมเมือง ไม่ว่าจะเป็นโรคหรือภัยพิบัติใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้น 29 เมื่อมีคำอธิษฐานหรือคำทูลวิงวอนจากผู้ใดผู้หนึ่งในหมู่ประชากรอิสราเอลของพระองค์ ซึ่งแต่ละคนย่อมรู้ถึงความทุกข์ใจและความเจ็บปวดของตนดี และชูมือขึ้นตรงต่อพระวิหารแห่งนี้ 30 ขอทรงสดับฟังจากฟ้าสวรรค์ที่ประทับของพระองค์ ขอทรงอภัยโทษและทรงจัดการกับแต่ละคนตามการกระทำของเขาเนื่องจากพระองค์ทรงรู้จักจิตใจของเขา (เพราะพระองค์เท่านั้นทรงทราบจิตใจมนุษย์) 31 เพื่อเขาจะยำเกรงพระองค์และดำเนินในทางของพระองค์ตลอดเวลาที่เขาอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งพระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษของเรา
32 “ส่วนคนต่างชาติซึ่งไม่ใช่อิสราเอลประชากรของพระองค์ แต่ได้มาจากแดนไกลเนื่องด้วยพระนามอันยิ่งใหญ่ พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และพระกรที่เหยียดออกของพระองค์ เมื่อเขามาอธิษฐานตรงต่อพระวิหารแห่งนี้ 33 ขอทรงสดับฟังจากฟ้าสวรรค์ที่ประทับของพระองค์ และขอทรงตอบคำอธิษฐานที่คนต่างชาติผู้นั้นได้ทูลขอต่อพระองค์ เพื่อมวลประชาชาติในโลกจะรู้จักพระนามของพระองค์และยำเกรงพระองค์ เช่นเดียวกับอิสราเอลประชากรของพระองค์เอง และรู้ว่าข้าพระองค์ได้สร้างพระนิเวศแห่งนี้เพื่อพระนามของพระองค์
34 “เมื่อพระองค์ทรงใช้ประชากรของพระองค์ออกไปรบกับศัตรูไม่ว่าที่ใด และเขาอธิษฐานต่อพระองค์มุ่งตรงมายังนครนี้ที่ทรงเลือกสรรไว้ และยังพระวิหารแห่งนี้ซึ่งข้าพระองค์สร้างขึ้นเพื่อพระนามของพระองค์ 35 ขอทรงสดับฟังคำอธิษฐานและคำทูลวิงวอนของเขาจากฟ้าสวรรค์และขอทรงช่วยเหลือเขา
36 “หากพวกเขาทำบาปต่อพระองค์ (เพราะมีใครบ้างที่ไม่ทำบาปเลย) แล้วพระองค์ทรงพระพิโรธเขา และยอมให้ศัตรูพิชิตเขานำเขาไปเป็นเชลยในต่างแดนไม่ว่าใกล้หรือไกล 37 และถ้าเขากลับใจได้ในแดนเชลย สำนึกผิด ทูลวิงวอนต่อพระองค์ในดินแดนนั้น และทูลว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาป ข้าพระองค์ทั้งหลายผิดไปแล้วและได้ประพฤติชั่ว’ 38 และหากเขาหันกลับมาหาพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจในแดนเชลย และอธิษฐานตรงมายังดินแดนแห่งนี้ซึ่งพระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษ ตรงมายังนครซึ่งพระองค์ทรงเลือกสรรและยังพระวิหารแห่งนี้ซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างขึ้นเพื่อพระนามของพระองค์ 39 ก็ขอทรงสดับฟังคำอธิษฐานและคำวิงวอนของเขาจากฟ้าสวรรค์อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และขอทรงช่วยเหลือเขาและอภัยโทษแก่ประชากรของพระองค์ผู้ได้ทำบาปต่อพระองค์
40 “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ บัดนี้ขอทรงทอดพระเนตรและเงี่ยพระกรรณฟังคำอธิษฐานทั้งปวงที่ทูลพระองค์ในที่แห่งนี้
41 “และบัดนี้ข้าแต่พระเจ้าพระยาห์เวห์ ขอทรงลุกขึ้นและเสด็จมายังที่ประทับของพระองค์เถิด
ทั้งพระองค์และหีบพันธสัญญาแห่งฤทธานุภาพของพระองค์
ข้าแต่พระเจ้าพระยาห์เวห์ ขอให้บรรดาปุโรหิตของพระองค์สวมความรอดเป็นอาภรณ์
ขอให้ประชากรของพระองค์ปีติยินดีในความประเสริฐของพระองค์
42 ข้าแต่พระเจ้าพระยาห์เวห์ ขออย่าทรงปฏิเสธผู้ที่ทรงเจิมตั้งไว้
ขอทรงระลึกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่ทรงสัญญาไว้แก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์”
ความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า
5 ทุกคนที่เชื่อว่าพระเยซูคือพระคริสต์ก็บังเกิดจากพระเจ้า และทุกคนที่รักบิดาย่อมรักบุตรของเขาด้วย 2 เช่นนี้แหละเราจึงรู้ว่าเรารักคนทั้งหลายที่เป็นบุตรของพระเจ้า คือโดยการรักพระเจ้าและทำตามพระบัญชาของพระองค์ 3 การรักพระเจ้าคือการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า และพระบัญชาของพระองค์ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง 4 เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าย่อมชนะโลก และความเชื่อของเรานี่แหละคือชัยชนะที่พิชิตโลก 5 ใครเล่าชนะโลก? ก็มีแต่ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าเท่านั้น
6 พระเยซูคริสต์คือผู้ที่เสด็จมาโดยน้ำและพระโลหิต พระองค์ไม่ได้เสด็จมาโดยน้ำเพียงอย่างเดียว แต่โดยน้ำและพระโลหิต และพระวิญญาณทรงเป็นพยานให้เพราะพระวิญญาณทรงเป็นความจริง 7 เพราะมีสามสิ่งที่เป็นพยานคือ 8 พระวิญญาณ น้ำ และพระโลหิต และทั้งสามนี้สอดคล้องกัน 9 ถ้าเรารับคำพยานของมนุษย์ คำพยานของพระเจ้าย่อมยิ่งใหญ่กว่าเพราะเป็นคำพยานจากพระเจ้าเกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ 10 ผู้ที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้าก็มีคำพยานนี้อยู่ในใจ ผู้ที่ไม่เชื่อก็หาว่าพระเจ้ามุสาเพราะไม่เชื่อคำพยานที่พระเจ้าให้เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ 11 คำพยานนี้ก็คือพระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา และชีวิตนี้อยู่ในพระบุตรของพระองค์ 12 ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรของพระองค์ก็ไม่มีชีวิต
บทสรุป
13 ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้มาถึงท่านทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านจะรู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์ 14 นี่คือความมั่นใจที่เรามีเมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเรา 15 และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังเรา เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ เราก็รู้ว่าจะได้รับสิ่งที่เราทูลขอจากพระองค์
16 ถ้าผู้ใดเห็นพี่น้องของตนทำบาปอย่างหนึ่งอย่างใดที่ไม่นำไปสู่ความตาย ผู้นั้นควรอธิษฐานขอ และพระเจ้าจะประทานชีวิตแก่ผู้ที่ทำบาป ข้าพเจ้าหมายถึงคนที่ทำบาปซึ่งไม่นำไปสู่ความตาย บาปที่นำไปสู่ความตายก็มี ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวว่าให้อธิษฐานขอสำหรับคนที่ทำบาปเช่นนั้น 17 การอธรรมทั้งปวงล้วนเป็นบาป แต่บาปที่ไม่นำไปสู่ความตายก็มีอยู่
18 เรารู้ว่าผู้ที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาปต่อไป แต่พระองค์ผู้บังเกิดจากพระเจ้าทรงคุ้มครองเขาไว้ให้ปลอดภัยและมารร้ายไม่อาจทำอันตรายเขา 19 เรารู้ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้าและทั่วทั้งโลกอยู่ใต้การควบคุมของมารร้าย 20 เรายังรู้ด้วยว่าพระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาและได้ประทานความเข้าใจแก่เรา เพื่อเราจะรู้จักพระเจ้าที่แท้จริงและเราอยู่ในพระเจ้าที่แท้จริง คืออยู่ในพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแท้และเป็นชีวิตนิรันดร์
21 ลูกที่รัก จงรักษาตนเองให้พ้นจากรูปเคารพเถิด
1 พระดำรัสที่ผู้เผยพระวจนะฮาบากุกได้รับ
คำร้องทุกข์ของฮาบากุก
2 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์จะต้องร้องทูลขอความช่วยเหลือนานเพียงใด
พระองค์จึงจะทรงสดับฟัง?
หรืออีกนานเพียงใดที่ต้องร้องต่อพระองค์ว่า “โหดร้าย!”
แต่พระองค์ไม่ทรงมาช่วย?
3 เหตุใดพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์มองดูความอยุติธรรม?
เหตุใดพระองค์ทรงทนต่อความผิด?
ความพินาศและความโหดร้ายอยู่ต่อหน้าต่อตาข้าพระองค์
มีการต่อสู้และแก่งแย่งกันมากมาย
4 ฉะนั้นกฎหมายจึงเป็นอัมพาต
และความยุติธรรมไม่ปรากฏ
คนชั่วล้อมกรอบคนชอบธรรม
จนความยุติธรรมถูกบิดเบือนไป
คำตอบขององค์พระผู้เป็นเจ้า
5 พระเจ้าตรัสว่า
“จงมองและคอยเฝ้าดูชนชาติต่างๆ
แล้วจงประหลาดใจอย่างที่สุด
เพราะเรากำลังจะทำบางสิ่งในสมัยของเจ้า
ซึ่งถึงแม้มีใครบอก
เจ้าก็จะไม่เชื่อ
6 เรากำลังจะให้ชาวบาบิโลน[a]มีอำนาจขึ้นมา
พวกเขาเป็นชนชาติที่โหดร้ายและเลือดร้อน
ซึ่งกรีธาทัพไปทั่วโลก
เพื่อยึดครองดินแดนที่ไม่ใช่ของตน
7 พวกเขาเป็นชนชาติที่ใครๆ ก็ขยาดและหวาดกลัว
พวกเขาถือเอาตนเองเป็นกฎหมาย
แสวงหาเกียรติยศให้ตนเอง
8 ม้าของเขาปราดเปรียวยิ่งกว่าเสือดาว
ดุร้ายยิ่งกว่าหมาป่ายามพลบค่ำ
กองทหารม้าของเขาควบตะบึงมา
พลม้าของเขามาจากแดนไกล
พวกเขาเหินมาดุจนกอินทรีโฉบมาขย้ำเหยื่อ
9 พวกเขาทุกคนมุ่งก่อความรุนแรง
ฝูงชน[b]ของพวกเขารุกเข้ามาเหมือนพายุทะเลทราย
และกวาดต้อนเชลยไปเหมือนเม็ดทราย
10 เขาเย้ยหยันกษัตริย์
และเสียดสีเจ้าบ้านผ่านเมือง
พวกเขาหัวเราะเยาะเมืองที่มีป้อมปราการทั้งปวง
พวกเขาก่อเชิงเทินดินและเข้ายึดเมือง
11 แล้วพวกเขาก็กรีธาทัพผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนลม แล้วมุ่งหน้าต่อไป
พวกเขาเป็นคนผิด ซึ่งถือพละกำลังของตนเป็นพระเจ้า”
คำร้องทุกข์ครั้งที่สองของฮาบากุก
12 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่นิรันดร์กาลไม่ใช่หรือ?
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ องค์บริสุทธิ์ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายจะไม่ตาย
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งพวกเขาให้ดำเนินการตามคำพิพากษา
ข้าแต่องค์พระศิลา พระองค์ทรงบัญชาให้พวกเขามาลงโทษ
13 พระเนตรของพระองค์บริสุทธิ์เกินกว่าจะมองดูความชั่ว
พระองค์ไม่ทรงสามารถทนต่อความผิดได้
แล้วเหตุใดพระองค์ทรงทนต่อคนทรยศ?
เหตุใดพระองค์ทรงเงียบอยู่
ขณะที่คนชั่วร้ายกลืนกินคนที่ชอบธรรมกว่าตัวเขา?
14 พระองค์ทรงทำให้มนุษย์เป็นเหมือนปลาในทะเล
เหมือนบรรดาสัตว์ในทะเลที่ไม่มีใครปกครอง
15 ศัตรูผู้ชั่วร้ายได้เกี่ยวพวกเขาขึ้นมาด้วยเบ็ด
จับพวกเขาด้วยแห
และรวบรวมพวกเขาขึ้นมาด้วยอวน
ดังนั้นศัตรูผู้นั้นจึงปีติยินดี
16 ฉะนั้นเขาจึงถวายเครื่องบูชาแก่แหของเขา
และเผาเครื่องหอมแก่อวนของตน
เพราะแหของเขาทำให้เขาอยู่อย่างหรูหรา
และสำราญกับอาหารที่เลือกสรรมาแล้วอย่างดีเลิศ
17 แล้วเขาจะแกะสิ่งที่จับได้ออกมาจากแห
ทำลายชาติต่างๆ อย่างไร้ความเมตตาต่อไปหรือ?
ปัญหาเรื่องสิทธิอำนาจของพระเยซู(A)
20 วันหนึ่งขณะพระเยซูทรงสอนประชาชนอยู่ในลานพระวิหารและประกาศข่าวประเสริฐ พวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และผู้อาวุโสมาหาพระองค์ 2 และทูลว่า “จงบอกเราว่าท่านทำสิ่งเหล่านี้โดยอาศัยสิทธิอำนาจใด? ใครให้สิทธิอำนาจนี้แก่ท่าน?”
3 พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะถามท่านสักข้อเช่นกัน จงบอกเราว่า 4 บัพติศมาของยอห์นมาจากสวรรค์หรือจากมนุษย์?”
5 พวกเขาหารือกันว่า “ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาก็จะถามว่า ‘ทำไมท่านไม่เชื่อยอห์น?’ 6 แต่ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากมนุษย์’ ประชาชนทั้งปวงก็จะเอาหินขว้างเรา เพราะพวกเขาเชื่อว่ายอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ”
7 ดังนั้นพวกเขาจึงทูลตอบว่า “เราไม่ทราบว่ามาจากไหน”
8 พระเยซูตรัสว่า “เราก็จะไม่บอกพวกท่านเช่นกันว่าเราอาศัยสิทธิอำนาจใดที่ทำสิ่งเหล่านี้”
คำอุปมาเรื่องผู้เช่าสวน(B)
9 แล้วพระองค์ตรัสคำอุปมาให้ประชาชนฟังว่า “ชายคนหนึ่งทำสวนองุ่นให้ชาวสวนเช่า แล้วจากไปต่างแดนเสียนาน 10 เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว เขาก็ส่งคนรับใช้ไปหาผู้เช่าเพื่อรับส่วนแบ่งของผลผลิตจากสวนองุ่น แต่พวกผู้เช่าทุบตีและไล่คนรับใช้นั้นกลับมามือเปล่า 11 เขาส่งคนรับใช้อีกคนไป พวกเขาก็ทุบตีคนรับใช้นั้น ทำให้อับอายขายหน้า และไล่กลับมามือเปล่าอีก 12 เขายังส่งคนที่สามไปอีก พวกนั้นก็ทำร้ายคนรับใช้นั้นและโยนออกมา
13 “แล้วเจ้าของสวนองุ่นจึงกล่าวว่า ‘เราจะทำอย่างไรดี? เราจะส่งบุตรชายที่รักของเราไป บางทีพวกนั้นจะเคารพเขา’
14 “แต่เมื่อผู้เช่าเห็นบุตรชายของเจ้าของสวนก็ปรึกษากันว่า ‘นี่ไงทายาท ให้เราฆ่าเขา แล้วมรดกจะตกเป็นของเรา’ 15 ดังนั้นพวกเขาจึงจับบุตรชายเจ้าของสวนโยนออกมานอกสวนองุ่นแล้วฆ่า
“แล้วเจ้าของสวนจะทำอย่างไรกับคนพวกนั้น? 16 เขาย่อมจะมาฆ่าพวกผู้เช่าเหล่านั้น และให้คนอื่นเช่าสวนองุ่นนี้”
เมื่อประชาชนได้ยินดังนี้ก็ทูลว่า “ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย!”
17 พระเยซูทอดพระเนตรตรงไปที่พวกเขาและตรัสว่า “ก็แล้วที่เขียนไว้นั้นหมายความว่าอย่างไร? ที่ว่า
18 ทุกคนที่ตกทับศิลานั้นจะแหลกเป็นชิ้นๆ แต่ศิลานี้ตกทับผู้ใด ผู้นั้นจะแหลกลาญ”
19 พวกธรรมาจารย์และพวกหัวหน้าปุโรหิตหาทางจะจับกุมพระองค์ทันที เพราะรู้ว่าพระองค์ตรัสคำอุปมานี้ว่าพวกตน แต่พวกเขากลัวประชาชน
การเสียภาษีแก่ซีซาร์(C)
20 พวกเขาจับตาดูพระองค์อย่างใกล้ชิดโดยส่งคนสอดแนมซึ่งแสร้งทำเป็นคนซื่อตรงมา หวังจะจับผิดถ้อยคำของพระเยซู จะได้มอบพระองค์ไว้ในอำนาจและการพิพากษาของผู้ว่าการ 21 คนสอดแนมนั้นจึงมาทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ เรารู้ว่าท่านพูดและสอนสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เข้าข้างใคร แต่สอนทางของพระเจ้าตามความจริง 22 เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่เราจะเสียภาษีให้แก่ซีซาร์?”
23 พระเยซูทรงรู้ทันอุบายของพวกเขา จึงตรัสว่า 24 “ไหนเอาเงินหนึ่งเหรียญเดนาริอันมาให้เราดูซิ รูปและคำจารึกบนเหรียญเป็นของใคร?”
25 พวกเขาทูลว่า “ของซีซาร์” พระองค์จึงตรัสว่า “ของของซีซาร์จงให้แก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า”
26 พวกเขาไม่สามารถจับผิดสิ่งที่พระองค์ตรัสต่อสาธารณชนได้ และต้องนิ่งอึ้งเพราะประหลาดใจในคำตอบของพระองค์
เรื่องการเป็นขึ้นจากตายและการแต่งงาน(D)
27 บางคนในพวกสะดูสีซึ่งกล่าวว่าไม่มีการเป็นขึ้นจากตาย มาทูลถามพระเยซูว่า 28 “ท่านอาจารย์ โมเสสเขียนสั่งพวกเราไว้ว่า ถ้าชายใดเสียชีวิตไปโดยไม่มีบุตร พี่ชายหรือน้องชายของเขาต้องแต่งงานกับภรรยาม่ายเพื่อจะมีบุตรสืบสกุลให้ผู้นั้น 29 คราวนี้มีพี่น้องเจ็ดคน พี่คนโตแต่งงานแล้วตายไปโดยไม่มีบุตร 30 คนที่สอง 31 และจากนั้นคนที่สามได้รับนางมาเป็นภรรยา และเป็นอย่างนั้นถัดมาเรื่อยๆ จนถึงคนที่เจ็ด ทั้งหมดล้วนตายโดยไม่มีบุตร 32 ในที่สุดหญิงนั้นก็ตายด้วย 33 แล้วเมื่อเป็นขึ้นจากตาย หญิงนี้จะเป็นภรรยาของใคร ในเมื่อทั้งเจ็ดคนล้วนได้นางเป็นภรรยา?”
34 พระเยซูทรงตอบว่า “คนยุคนี้แต่งงาน ยกให้เป็นสามีภรรยากัน 35 แต่ผู้ที่สมควรมีส่วนในยุคนั้นและในการเป็นขึ้นจากตาย จะไม่แต่งงานหรือยกให้เป็นสามีภรรยากัน 36 และพวกเขาจะไม่ตายอีกเลย เพราะจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ พวกเขาเป็นบุตรของพระเจ้าเนื่องจากเป็นบุตรแห่งการเป็นขึ้นจากตาย 37 แต่ในเรื่องพุ่มไม้นั้น แม้กระทั่งโมเสสยังแสดงให้เห็นว่าคนตายเป็นขึ้นมาใหม่ เพราะเขาเรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ‘พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’[c] 38 พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น เพราะสำหรับพระองค์แล้ว คนทั้งปวงเป็นอยู่”
39 ธรรมาจารย์บางคนทูลว่า “ท่านอาจารย์ ท่านพูดดีแล้ว!” 40 และไม่มีใครกล้าทูลถามพระองค์อีก
พระคริสต์เป็นบุตรของใคร(E)
41 จากนั้นพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาบอกว่าพระคริสต์[d]เป็นบุตรของดาวิด? 42 ดาวิดเองได้ประกาศไว้ในพระธรรมสดุดีว่า
“ ‘พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
ของข้าพเจ้าว่า
“จงนั่งที่ขวามือของเรา
43 จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของเจ้า
เป็นแท่นวางเท้าของเจ้า” ’[e]
44 ในเมื่อดาวิดเรียกพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ แล้วพระองค์จะเป็นบุตรของดาวิดได้อย่างไร?”
45 ขณะประชาชนทั้งปวงกำลังฟังอยู่ พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า 46 “จงระวังพวกธรรมาจารย์ พวกเขาชอบใส่เสื้อชุดยาวเดินไปมา ชอบให้ผู้คนมาคำนับทักทายในย่านตลาด ชอบนั่งในที่ที่สำคัญที่สุดในธรรมศาลาและที่อันทรงเกียรติในงานเลี้ยง 47 เขาริบบ้านของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานยืดยาวให้คนเห็น คนเช่นนี้จะถูกลงโทษอย่างหนักที่สุด”
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.