M’Cheyne Bible Reading Plan
5 เมื่องานทั้งสิ้นที่กษัตริย์ซาโลมอนทำสำหรับพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าเสร็จสิ้นลงแล้ว ซาโลมอนก็ได้นำสิ่งที่ดาวิดบิดาของท่านได้ถวาย คือเครื่องเงิน ทองคำ และภาชนะต่างๆ มาเก็บไว้ในคลังพระตำหนักของพระเจ้า
นำหีบเข้ามาในพระตำหนัก
2 จากนั้นซาโลมอนก็เรียกประชุมที่เยรูซาเล็ม เพื่อให้บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอล หัวหน้าเผ่าทุกคน และบรรดาหัวหน้าตระกูลของชาวอิสราเอล เป็นผู้นำหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า ขึ้นมาจากเมืองของดาวิด คือศิโยน 3 ชาวอิสราเอลทั้งปวงรวมตัวกันเข้ามาเฝ้ากษัตริย์ระหว่างงานเทศกาล ซึ่งเป็นเดือนที่เจ็ด 4 เมื่อบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลมาถึง พวกเลวีก็ยกหีบ 5 และพวกเขาได้นำหีบ กระโจมที่นัดหมาย และภาชนะอันบริสุทธิ์ทั้งหมดในกระโจมขึ้นมา พวกปุโรหิตที่เป็นชาวเลวีเป็นผู้หามสิ่งเหล่านั้น 6 กษัตริย์ซาโลมอนและชาวอิสราเอลทั้งมวลที่รวมตัวอยู่ด้วยกันกับท่าน ณ เบื้องหน้าหีบ ได้ถวายแกะและโคมากมายจนนับไม่ถ้วน 7 แล้วเหล่าปุโรหิตก็ได้นำหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้ามายังพระตำหนักชั้นในของพระวิหาร คือในอภิสุทธิสถาน โดยวางไว้ที่ใต้ปีกเครูบทั้งสอง 8 ด้วยว่าเครูบกางปีกขึ้นปกเหนือที่วางหีบ เพื่อโน้มเหนือหีบและคานหาม 9 คานหามนั้นยาวมากจนมองเห็นปลายทั้งสองข้างได้จากวิสุทธิสถานซึ่งอยู่ด้านหน้าพระตำหนักชั้นใน แต่มองไม่เห็นจากลานด้านนอก และคานหามก็ยังอยู่ที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้ 10 ในหีบไม่มีสิ่งใดนอกจากแผ่นศิลา 2 แผ่นที่โมเสสบรรจุไว้เมื่ออยู่ที่โฮเรบ ที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทำพันธสัญญากับบรรดาผู้สืบเชื้อสายของอิสราเอล ในช่วงเวลาที่พวกเขาออกจากอียิปต์ 11 และเมื่อปุโรหิตออกจากวิสุทธิสถาน (เนื่องจากปุโรหิตทั้งหมดที่อยู่ที่นั่นได้ชำระตัวให้บริสุทธิ์แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในกองเวรใด 12 และนักร้องชาวเลวีทั้งหมด อาสาฟ เฮมาน และเยดูธูน บุตรชายของพวกเขา และบรรดาพี่น้อง ต่างก็แต่งกายด้วยผ้าป่านเนื้อดี มีฉาบ พิณสิบสาย และพิณเล็ก ยืนอยู่ทางตะวันออกของแท่นบูชา พร้อมกับปุโรหิต 120 คนที่เป่าแตรยาว[a] 13 คนเป่าแตรและนักร้องมีหน้าที่บรรเลงร้องเพลงประสานกันเป็นหนึ่งเดียว สรรเสริญและขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า) และเมื่อพวกเขาร้องเพลงพร้อมกับแตรยาว ฉาบ และเครื่องดนตรีอื่นๆ สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าว่า
“เพราะพระองค์ประเสริฐ
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล”
พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าก็เต็มไปด้วยเมฆ 14 ทำให้บรรดาปุโรหิตไม่สามารถยืนปฏิบัติหน้าที่ได้เนื่องจากเมฆนั้น เพราะพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏขึ้นในพระตำหนักของพระเจ้า
ซาโลมอนอวยพรประชาชน
6 ครั้นแล้วซาโลมอนกล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวว่า พระองค์จะพำนักอยู่ในเมฆอันมืดทึบ[b] 2 ข้าพเจ้าได้สร้างพระตำหนักอันงามตระการถวายแด่พระองค์ เพื่อเป็นสถานที่ให้พระองค์พำนักตลอดไป” 3 แล้วกษัตริย์ก็หันมายังที่ประชุมของอิสราเอลซึ่งกำลังยืนอยู่ และให้พรแก่พวกเขา 4 ท่านกล่าวว่า
“สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล พระองค์ได้กระทำตามสัญญาด้วยวาจาที่ได้ให้แก่ดาวิดบิดาของเราด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ พระองค์กล่าวว่า 5 ‘นับตั้งแต่วันที่เรานำอิสราเอลชนชาติของเราออกจากแผ่นดินอียิปต์ เราไม่ได้เลือกเมืองใดจากเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล เพื่อสร้างตำหนักให้เป็นที่ยกย่องนามของเรา และเราไม่ได้เลือกผู้ใดมาเป็นผู้ปกครองอิสราเอลชนชาติของเรา 6 แต่เราได้เลือกเยรูซาเล็มให้เป็นที่ยกย่องนามของเรา และเราได้เลือกดาวิดมาเป็นผู้ปกครองอิสราเอลชนชาติของเรา’ 7 ดาวิดบิดาของเราตั้งใจจะสร้างพระตำหนักเพื่อยกย่องพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล 8 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับดาวิดบิดาของเราว่า ‘เพราะว่าเจ้าตั้งใจจะสร้างตำหนักเพื่อยกย่องนามของเรา ความตั้งใจของเจ้านั้นดี 9 อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เจ้าที่จะเป็นผู้สร้างตำหนัก แต่บุตรของเจ้าที่จะเกิดแก่เจ้า จะเป็นผู้สร้างตำหนักเพื่อยกย่องนามของเรา’[c] 10 บัดนี้พระผู้เป็นเจ้าก็ได้กระทำตามสัญญา เพราะว่าเราได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งของดาวิดบิดาของเรา และนั่งครองบัลลังก์ของอิสราเอล อย่างที่พระผู้เป็นเจ้าได้สัญญาไว้ และเราได้สร้างพระตำหนักเพื่อยกย่องพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล 11 และเราได้วางหีบอันเป็นที่เก็บพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งพระองค์ทำกับชาวอิสราเอลไว้ที่นั่นแล้ว”
ทดสอบวิญญาณ
4 ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อในทุกวิญญาณ แต่จงทดสอบว่าวิญญาณนั้นมาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะในโลกมีผู้เผยคำกล่าวจอมปลอมมากมายแล้ว 2 ท่านจะทราบพระวิญญาณของพระเจ้าได้ก็คือ ทุกวิญญาณที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้มาบังเกิดเป็นร่างกายมนุษย์ เป็นผู้ที่มาจากพระเจ้า 3 แต่วิญญาณใดที่ไม่ยอมรับพระเยซู ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า และเป็นวิญญาณฝ่ายศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งท่านได้ยินได้ฟังแล้วว่ากำลังมา และขณะนี้อยู่ในโลกแล้ว 4 ลูกๆ เอ๋ย ท่านมาจากพระเจ้า และมีชัยชนะต่อเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ผู้สถิตในตัวท่านนั้นยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก 5 เขาเหล่านั้นเป็นฝ่ายโลก ฉะนั้นเขาจึงพูดถึงฝ่ายโลก และโลกก็ฟังเขา 6 พวกเราทั้งหลายเป็นฝ่ายพระเจ้า ใครก็ตามที่รู้จักพระเจ้าก็ฟังเรา ใครที่ไม่อยู่ฝ่ายพระเจ้าก็ไม่ฟังเรา ทั้งนี้พวกเราจึงแยกแยะวิญญาณฝ่ายความจริงและวิญญาณฝ่ายเท็จได้
พระเจ้าคือความรัก
7 ท่านที่รักทั้งหลาย จงรักซึ่งกันและกันเถิด เพราะความรักมาจากพระเจ้า ทุกคนที่มีความรักก็เกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระองค์ 8 ใครก็ตามที่ไม่มีความรักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าคือความรัก 9 ความรักของพระเจ้าได้ปรากฏแก่เรา ก็คือพระองค์ได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาในโลก เพื่อให้เราได้มีชีวิตโดยผ่านพระองค์ 10 ความรักเป็นเช่นนี้คือ มิใช่ว่าเรารักพระเจ้า แต่พระองค์ได้รักเรา และส่งพระบุตรของพระองค์ให้เป็นเครื่องสักการะเพื่อชดใช้บาปของเรา 11 ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้ารักเราเช่นนั้น เราก็ควรรักซึ่งกันและกันด้วย 12 ยังไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า ถ้าเรารักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็ดำรงอยู่ในตัวเรา และความรักของพระองค์ก็บริบูรณ์อยู่ในเราด้วย
13 เราทราบว่าเราดำรงอยู่ในพระองค์ และพระองค์ดำรงอยู่ในเรา เพราะว่าพระองค์ได้มอบพระวิญญาณของพระองค์ให้แก่เราแล้ว 14 เราได้เห็นและยืนยันว่าพระบิดาได้ส่งพระบุตรให้เป็นผู้ช่วยโลกให้รอดพ้น 15 ผู้ใดที่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็ดำรงอยู่ในผู้นั้น และผู้นั้นก็ดำรงอยู่ในพระเจ้า 16 เราทราบและเชื่อในความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา พระเจ้าคือความรัก ผู้ใดที่ดำรงอยู่ในความรักก็ดำรงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าดำรงอยู่ในผู้นั้น 17 ทั้งนี้ความรักจึงบริบูรณ์ในตัวเรา เพื่อว่าเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะตามที่พระองค์เป็นอยู่ เราก็เป็นอยู่ด้วยในโลกนี้ 18 ไม่มีความกลัวอยู่ในความรัก เพราะความรักที่บริบูรณ์ขจัดความกลัวเสีย ความกลัวเกี่ยวโยงกับการลงโทษ ผู้มีความกลัวจึงไม่มีความรักที่บริบูรณ์ 19 เรารักก็เพราะพระองค์ได้รักเราก่อน 20 ถ้าผู้ใดกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารักพระเจ้า” แต่ก็ยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นเป็นคนโกหก ด้วยว่าผู้ไม่รักพี่น้องที่ตนมองเห็น ผู้นั้นก็ไม่สามารถรักพระเจ้าที่ตนไม่เคยเห็นได้ 21 และเราได้ข้อบัญญัติที่มาจากพระองค์ คือผู้ใดที่รักพระเจ้าก็ต้องรักพี่น้องของตนด้วย
วิบัติจงเกิดแก่นีนะเวห์
3 วิบัติจงเกิดแก่เมืองที่นองเลือด
ซึ่งเต็มด้วยความมดเท็จและการปล้นระดม
ผู้คนตกเป็นเหยื่อไม่จบสิ้น
2 มีเสียงแส้หวด
เสียงล้อรถศึกเคลื่อนกระทบกัน
ม้าควบ
และรถศึกเขย่าโครมคราม
3 ทหารม้ารุดหน้าไป
ดาบวาววับ
และหอกประกายวูบวาบ
คนถูกฆ่าตายมากมาย
ศพกองเป็นพะเนิน
ร่างคนเกลื่อนกลาด
ผู้คนสะดุดร่างคนตาย
4 สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นก็เพราะกิเลสตัณหาของความแพศยา
ความงามสง่าและเสน่ห์ที่อันตรายถึงชีวิต
นางทำให้บรรดาประชาชาติลุ่มหลง
และพวกเขาตกเป็นทาสของนาง
5 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้
“ดูเถิด เราคัดค้านเจ้า
และเราจะยกกระโปรงของเจ้าปิดหน้าเจ้าเสีย
เราจะให้บรรดาประชาชาติดูความเปลือยเปล่าของเจ้า
อาณาจักรเหล่านั้นจะเห็นความอับอายของเจ้า
6 เราจะขว้างความโสโครกลงที่ตัวเจ้า
และจะกระทำต่อเจ้าด้วยการดูหมิ่น
และเจ้าจะตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน
7 ทุกคนที่มองดูเจ้าจะถอยห่างจากเจ้า และพูดดังนี้ว่า
‘นีนะเวห์เป็นที่รกร้าง ใครจะแสดงความเห็นใจนาง’
เราจะหาบรรดาผู้ปลอบประโลมเจ้าได้จากที่ไหน”
8 เจ้าดีกว่าเธเบส
ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำไนล์หรือ
เธเบสมีน้ำล้อมรอบ
มีทะเลเป็นพลังคุ้มกัน
มีน้ำเป็นเหมือนกำแพง
9 คูชและอียิปต์เป็นพลังอันแข็งแกร่งของเธเบสอย่างไม่มีจำกัด
พูตและลิเบียเป็นสัมพันธมิตรของเธเบส
10 ถึงกระนั้นเธเบสก็ยังต้องลี้ภัย
และถูกจับไปเป็นเชลยศึก
บรรดาเด็กทารกถูกเหวี่ยงกระดูกหักตาย
ตามถนนทุกแห่ง
นางจับฉลากเป็นการตัดสินเลือกบรรดาผู้มีเกียรติ
และผู้นำทุกคนถูกล่ามโซ่
11 เจ้าด้วยที่จะมึนเมา
เจ้าจะต้องไปหลบซ่อนตัว
และหาที่พักพิงจากศัตรู
12 ป้อมปราการของเจ้าทุกแห่งเป็นเหมือนต้นมะเดื่อ
ที่มีผลสุกรุ่นแรก
ถ้าหากต้นถูกเขย่า
ผลก็จะร่วงหล่นเข้าปากของผู้กิน
13 ดูเถิด บรรดาทหารของเจ้า
เป็นผู้หญิงทั้งหมด
ประตูเมืองในแผ่นดินของเจ้า
เปิดกว้างให้ศัตรู
ไฟเผาผลาญลูกกรงของเจ้า
14 จงตุนน้ำดื่มไว้ยามศัตรูล้อมเมือง
คุ้มกันป้อมปราการของเจ้าให้แข็งแกร่ง
เตรียมดินเหนียวทำอิฐ
และผสมปูนสอ
15 ไฟจะเผาผลาญเจ้าที่นั่น
ดาบจะห้ำหั่นเจ้า
และเจ้าจะถูกกลืนกินอย่างที่ตั๊กแตนกิน
จงทวีคนอย่างตั๊กแตน
ทวีคนอย่างตั๊กแตนใหญ่
16 เจ้าได้เพิ่มจำนวนพ่อค้าของเจ้ามากขึ้น
จนมีจำนวนมากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า
แต่พวกเขากัดกินแผ่นดินจนหมดเกลี้ยง
และบินหนีไปอย่างตั๊กแตน
17 เหล่าจอมพลของเจ้าเป็นเหมือนตั๊กแตนใหญ่
และผู้สูงศักดิ์ของเจ้าเป็นเหมือนฝูงตั๊กแตนเล็กที่ปักหลักอยู่บนกำแพงในวันที่หนาวเย็น
แต่เมื่อแดดส่อง พวกเขาก็บินหนีไป
ไม่มีใครรู้ว่าไปไหน
18 โอ กษัตริย์ของอัสซีเรียเอ๋ย
บรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะของท่านนอนหลับ
ผู้ยิ่งใหญ่ของท่านเอนกายพัก
ประชาชนของท่านกระจัดกระจายไปบนภูเขา
โดยไม่มีใครมารวบรวมพวกเขาเข้าด้วยกันได้
19 ไม่มีอะไรที่อาจบรรเทาความเจ็บปวดของนีนะเวห์ได้
และบาดแผลก็ฉกรรจ์นัก
ทุกคนที่ได้ยินเรื่องของพวกเจ้า
ก็ปรบมือเมื่อเจ้าล้มลง
มีใครบ้างที่ไม่รู้ถึงความโหดร้าย
ที่ไม่มีวันจบสิ้นของพวกเจ้า
ศักเคียสหัวหน้าคนเก็บภาษี
19 ขณะที่พระเยซูกำลังเดินทางผ่านเข้าไปในเมืองเยรีโค 2 มีชายผู้หนึ่งชื่อศักเคียสเป็นหัวหน้าคนเก็บภาษีผู้มั่งมีอยู่ที่นั่น 3 เขาอยากจะเห็นว่าพระเยซูคือใคร แต่เขาเป็นคนเตี้ยจึงมองไม่เห็นเพราะมีผู้คนมุงอยู่เนืองแน่น 4 ศักเคียสจึงวิ่งไปปีนขึ้นต้นมะเดื่อ เพื่อจะได้เห็นพระเยซูเมื่อพระองค์กำลังเดินผ่านมาทางนั้น 5 เมื่อพระเยซูมาถึงจุดนั้นก็มองเห็นเขา และกล่าวว่า “ศักเคียสเอ๋ย จงรีบลงมาเถิด วันนี้เราจะต้องไปพักอยู่ที่บ้านเจ้า” 6 ศักเคียสจึงรีบลงมาเพื่อต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี 7 ทุกคนที่เห็นก็เริ่มบ่นพึมพำว่า “พระองค์ไปเป็นผู้รับเชิญของคนบาปแล้ว” 8 แต่ศักเคียสยืนขึ้นและพูดกับพระเยซูเจ้าว่า “ดูเถิด พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าจะมอบทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งของข้าพเจ้าแก่คนยากไร้ทันที ถ้าหากว่าข้าพเจ้าได้โกงสิ่งใดจากผู้ใดก็ตาม ข้าพเจ้าจะจ่ายคืนเป็น 4 เท่า” 9 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “วันนี้ความรอดพ้นมาถึงบ้านนี้แล้ว เพราะชายคนนี้เป็นบุตรของอับราฮัมด้วย 10 ด้วยว่าบุตรมนุษย์ได้มาเพื่อแสวงหาและช่วยผู้หลงหายให้รอดพ้น”
อุปมาเรื่องผู้รับใช้ 10 คนกับเงินมินา
11 เพราะพระองค์เข้าใกล้เมืองเยรูซาเล็ม ผู้คนที่กำลังฟังอยู่จึงคิดว่า อาณาจักรของพระเจ้าจะปรากฏขึ้นทันที พระองค์จึงกล่าวเป็นอุปมาต่อไปอีก 12 พระองค์กล่าวว่า “มีชายผู้หนึ่งเกิดมาในตระกูลขุนนาง ท่านเดินทางไปยังต่างแดนเพื่อรับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ แล้วจะกลับมาอีก 13 ดังนั้นจึงเรียกผู้รับใช้ 10 คนมาและมอบเงินให้แก่พวกเขา 10 มินา[a] และกล่าวว่า ‘จงใช้เงินนี้ให้เป็นประโยชน์ จนกว่าเราจะกลับมา’ 14 แต่ชาวเมืองนั้นเกลียดท่านและได้ส่งกลุ่มตัวแทนมาบอกว่า ‘พวกเราไม่ต้องการให้ชายผู้นี้มาเป็นกษัตริย์ของเรา’ 15 อย่างไรก็ตาม ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ และได้เดินทางกลับไป ท่านให้ตามหาพวกผู้รับใช้ซึ่งได้รับเงินไว้ เพื่อดูว่าแต่ละคนได้ผลกำไรเท่าไหร่ 16 คนแรกมาบอกว่า ‘นายท่าน มินาของท่านเพิ่มอีก 10 มินาแล้ว’ 17 ท่านตอบเขาว่า ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดี เป็นเพราะว่าเจ้าได้รับการไว้วางใจในสิ่งเล็กน้อยแล้ว จงดูแล 10 เมืองเถิด’ 18 คนที่สองมาบอกว่า ‘นายท่าน มินาของท่านเพิ่มอีก 5 มินาแล้ว’ 19 ท่านตอบว่า ‘เจ้าจงดูแล 5 เมืองเถิด’ 20 แล้วผู้รับใช้อีกคนมาบอกว่า ‘นายท่าน มินาของท่านอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าได้เก็บห่อไว้ในผ้า 21 ข้าพเจ้าเกรงกลัวเพราะว่าท่านเป็นคนเข้มงวด ท่านหยิบสิ่งที่ไม่ได้วางไว้ และเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้หว่าน’ 22 ท่านตอบว่า ‘เราจะตัดสินเจ้าด้วยคำพูดของเจ้าเอง เจ้าเป็นผู้รับใช้ที่ชั่วช้า เจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าเราเป็นคนเข้มงวด หยิบสิ่งที่เราไม่ได้วางไว้ และเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราไม่ได้หว่าน 23 แล้วทำไมเจ้าจึงไม่ฝากเงินไว้ในธนาคาร เพื่อว่าเวลาที่เรากลับมา เราจะได้มาเอาเงินพร้อมดอกเบี้ยด้วย’ 24 แล้วท่านกล่าวกับพวกที่กำลังยืนอยู่ด้วยว่า ‘จงเอามินาของเขาไปให้กับคนที่มี 10 มินา’ 25 เขาทั้งหลายพูดว่า ‘นายท่าน เขามี 10 มินาแล้ว’ 26 ท่านตอบว่า ‘เราขอบอกเจ้าว่า ทุกคนที่มีก็จะได้รับมากขึ้น แต่สำหรับผู้ที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่เขามีก็จะถูกริบไปจากเขา 27 แต่จงนำตัวศัตรูที่ไม่อยากให้เราเป็นกษัตริย์มาฆ่าต่อหน้าเราที่นี่’”
พระเยซูเข้าไปในเมืองเยรูซาเล็ม
28 หลังจากที่พระเยซูกล่าวจบแล้ว ก็เดินนำหน้าพวกเขาไปเพื่อขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม 29 ขณะที่พระองค์เข้ามาใกล้หมู่บ้านเบธฟายีและเบธานีที่อยู่ในบริเวณภูเขามะกอก พระองค์ส่งสาวก 2 คนไปโดยกล่าวว่า 30 “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเข้าไปแล้วเจ้าจะได้พบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ที่นั่น เป็นลาที่ยังไม่เคยมีผู้ใดขึ้นขี่เลย จงแก้เชือกมันแล้วจูงมาที่นี่ 31 ถ้ามีผู้ใดถามว่า ‘ทำไมท่านจึงแก้เชือกมัน’ จงบอกเขาว่า ‘พระองค์ท่านจำเป็นต้องใช้มัน’” 32 เมื่อสาวกไปก็ได้พบตามสิ่งที่พระองค์ได้กล่าวไว้ 33 ขณะที่พวกเขากำลังแก้เชือกลูกลาอยู่ เจ้าของก็ถามพวกเขาว่า “ทำไมท่านจึงแก้เชือกลูกลา” 34 เหล่าสาวกตอบว่า “พระองค์ท่านจำเป็นต้องใช้มัน” 35 แล้วได้นำตัวมันมาให้พระเยซู พวกเขาปูเสื้อตัวนอกของเขาเองบนลูกลา แล้วจึงยกพระองค์ขึ้นลา 36 ขณะที่พระองค์ขึ้นลาไป ผู้คนต่างก็ปูเสื้อตัวนอกของพวกเขาลงบนถนน 37 เมื่อพระองค์เข้ามาใกล้ถนนที่เป็นทางลงจากภูเขามะกอก สาวกกลุ่มใหญ่ก็เริ่มสรรเสริญพระเจ้าอย่างรื่นเริงด้วยเสียงอันดัง เพราะเขาเหล่านั้นได้เห็นสิ่งอัศจรรย์ทั้งปวงแล้ว 38 “ขอกษัตริย์ผู้มาในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นสุขเถิด”[b] “สันติสุขจงบังเกิดในสวรรค์และพระบารมีในที่สูงสุด” 39 ฟาริสีบางคนในกลุ่มพูดกับพระเยซูว่า “อาจารย์ จงห้ามพวกสาวกของท่านเถิด” 40 พระองค์ตอบว่า “เราขอบอกท่านว่า ถ้าเขานิ่งเงียบแล้วพวกหินก็จะส่งเสียงร้องเอง”
41 ขณะที่พระองค์เข้าไปใกล้จนเห็นตัวเมือง พระองค์ร้องไห้ด้วยความสงสารต่อเมืองนั้น 42 และกล่าวว่า “โธ่..แม้แต่ตัวเจ้าเอง หากว่าในวันนี้เจ้ารู้ว่า อะไรจะนำสันติสุขมาสู่เจ้า แต่ขณะนี้สิ่งเหล่านั้นกลับถูกซ่อนไว้จากสายตาของเจ้า 43 วันนั้นจะมาถึงเมื่อพวกศัตรูของเจ้าก่อรั้วกั้น ตีโอบ และล้อมเจ้าไว้ทุกด้าน 44 พวกเขาจะทำลายเจ้าและแม้แต่ลูกๆ โดยสิ้นเชิงภายในเขตกำแพงของเจ้า และเขาจะไม่ปล่อยให้หินตั้งซ้อนกันอยู่ เพราะเจ้าไม่รู้ว่าเป็นเวลาที่พระเจ้ามาเยี่ยมพวกเจ้า”
พระเยซูขับไล่พวกพ่อค้าที่พระวิหาร
45 พระเยซูเข้าไปในบริเวณพระวิหารและเริ่มขับไล่พวกพ่อค้าพาณิชย์ 46 พระองค์กล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “มีบันทึกไว้ว่า ‘ตำหนักของเราจะเป็นตำหนักอธิษฐาน’[c] แต่พวกท่านได้ทำให้กลายเป็น ‘ถ้ำโจร’”[d]
47 ทุกๆ วันพระองค์จะสอนที่พระวิหาร ขณะที่บรรดามหาปุโรหิต อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและผู้นำมวลชนได้พยายามที่จะฆ่าพระองค์เสีย 48 แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถหาทางได้ เพราะว่าผู้คนทั้งปวงล้วนตั้งใจฟังคำพูดของพระองค์
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation