M’Cheyne Bible Reading Plan
โซโลมอนทรงสร้างพระวิหาร(A)
3 จากนั้นโซโลมอนทรงเริ่มสร้างพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าบนภูเขาโมริยาห์ในกรุงเยรูซาเล็ม ที่ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏแก่ดาวิดราชบิดาของโซโลมอน เดิมเป็นลานนวดข้าวของอาราวนาห์[a]ชาวเยบุสที่ดาวิดทรงเตรียมไว้ 2 พระองค์ทรงเริ่มการก่อสร้างในวันที่สองเดือนที่สองของปีที่สี่ในรัชกาลของพระองค์
3 ฐานรากของพระวิหารของพระเจ้าที่โซโลมอนได้วางนั้นยาว 60 ศอก[b] กว้าง 20 ศอก[c] (โดยใช้หน่วยศอกตามมาตรฐานเดิม) 4 มุขที่ด้านหน้าของพระวิหารยาว 20 ศอกตลอดความกว้างของพระวิหาร และสูง 20 ศอก[d]
พระองค์ทรงบุภายในด้วยทองคำบริสุทธิ์ 5 ห้องโถงกรุด้วยไม้สนบุด้วยทองคำบริสุทธิ์ ตกแต่งด้วยลวดลายต้นอินทผลัมและโซ่ 6 พระองค์ทรงตกแต่งพระวิหารด้วยอัญมณีล้ำค่า และทองคำที่ทรงใช้นั้นมาจากเมืองพารวายิม 7 คาน เพดาน วงกบประตู ผนัง และประตูพระวิหาร ล้วนบุด้วยทองคำ และที่ผนังสลักลวดลายเครูบ
8 ส่วนที่เป็นอภิสุทธิสถาน ความกว้างได้ขนาดกับความกว้างของพระวิหารคือ 20 ศอก ภายในบุด้วยทองคำเนื้อดีหนักประมาณ 21 ตัน[e] 9 หมุดทองคำมีน้ำหนักประมาณ 600 กรัม[f] ส่วนต่างๆ ของชั้นบนก็บุทองคำเช่นกัน
10 ในอภิสุทธิสถาน พระองค์ทรงสร้างเครูบจำลองสองตนหุ้มด้วยทองคำ 11 ช่วงกว้างทั้งหมดของปีกเครูบทั้งสองตนรวม 20 ศอก ปีกข้างหนึ่งของเครูบตัวแรกยาว 5 ศอก[g] จรดกับด้านหนึ่งของผนังห้อง ปีกอีกข้างหนึ่งซึ่งยาว 5 ศอกเช่นกันจรดกับปีกของเครูบอีกตนหนึ่ง 12 ในทำนองเดียวกัน ปีกข้างหนึ่งของเครูบตนที่สองยาว 5 ศอกจรดกับผนังอีกด้านหนึ่ง และปีกอีกข้างหนึ่งซึ่งยาว 5 ศอกเช่นกันจรดกับปีกของเครูบตนแรก 13 ปีกของเครูบเหล่านี้กางออกยาว 20 ศอก ทั้งสองตนยืนหันหน้าไปทางห้องโถง[h]
14 มีม่านทำด้วยผ้าลินินเนื้อดี ปักลวดลายเครูบ ด้วยด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดง
15 ที่ด้านหน้าของพระวิหาร มีเสาหานสองต้นสูง 35 ศอก[i] มีหัวเสาขนาด 5 ศอก 16 โซโลมอนทรงให้ทำโซ่ระย้า[j]ทองคำติดไว้บนหัวเสา และมีทับทิมหนึ่งร้อยผลห้อยติดกับตาข่าย 17 พระองค์ตั้งเสาไว้ด้านหน้าของพระวิหาร เสาทางใต้ชื่อยาคีน[k] ส่วนเสาทางเหนือชื่อโบอาส[l]
เครื่องใช้ต่างๆ ในพระวิหาร(B)
4 โซโลมอนทรงสร้างแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์กว้างยาวด้านละ 20 ศอก[m] สูง 10 ศอก[n] 2 ทรงให้หล่อขันสาครทรงกลมด้วยโลหะสูง 5 ศอก[o] เส้นผ่าศูนย์กลาง 10 ศอกและเส้นรอบวง 30 ศอก[p] 3 ใต้ขอบขันด้านนอกตกแต่งเป็นลายรูปวัวสองแถว ศอก[q]ละสิบตัว หล่อเป็นเนื้อเดียวกันกับขันสาคร
4 ขันสาครนี้ตั้งอยู่บนวัวทองสัมฤทธิ์สิบสองตัว หันหลังเข้าหากันตรงกลาง หันหน้าไปทางทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก ทิศละสามตัว 5 ขันสาครหนาหนึ่งฝ่ามือ[r] ปากขันเหมือนขอบถ้วยซึ่งเหมือนกับดอกลิลลี่บาน จุน้ำได้ประมาณ 66 กิโลลิตร[s]
6 จากนั้นพระองค์สร้างอ่างสิบใบ เพื่อใส่น้ำสำหรับล้างเครื่องเผาบูชา ตั้งอยู่ทางทิศใต้และทิศเหนือด้านละห้าใบ ส่วนขันสาครมีไว้ใส่น้ำให้ปุโรหิตใช้ชำระกาย
7 พระองค์ทรงสร้างคันประทีปทองคำสิบคันหล่อขึ้นตามแบบที่กำหนด และตั้งไว้ในพระวิหารทางทิศใต้และทิศเหนือด้านละห้าคัน
8 พระองค์ยังทรงสร้างโต๊ะสิบตัว ตั้งไว้ในพระวิหารทางทิศเหนือและทิศใต้ด้านละห้าตัว และหล่ออ่างประพรมทองคำหนึ่งร้อยใบ
9 จากนั้นทรงสร้างลานสำหรับปุโรหิตและลานใหญ่ ประตูลานหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์ 10 ขันสาครนั้นตั้งอยู่ทางด้านใต้ที่มุมทิศตะวันออกเฉียงใต้
11 พระองค์ยังทรงให้ทำหม้อ ทัพพี และอ่างประพรมด้วย
ในที่สุดหุรามจึงทำงานที่กษัตริย์โซโลมอนทรงมอบหมายในพระวิหารของพระเจ้าสำเร็จครบถ้วน ได้แก่
12 เสาหานสองต้น
หัวเสารูปบัวคว่ำสองหัว
ตาข่ายประดับหัวเสาสองชุด
13 ทับทิมสี่ร้อยผล สำหรับตาข่ายสองชุด (ตาข่ายแต่ละชุดมีทับทิมสองแถวประดับอยู่บนหัวเสารูปบัวคว่ำ)
14 อ่างพร้อมแท่น
15 ขันสาครและวัวสิบสองตัวซึ่งรองรับขัน
16 หม้อ ทัพพี ขอเกี่ยวเนื้อและเครื่องใช้ไม้สอยทั้งหมด
หุรามอาบีได้ทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดถวายกษัตริย์โซโลมอนสำหรับพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า โดยใช้ทองสัมฤทธิ์ขัดเงา 17 กษัตริย์ทรงให้หล่อสิ่งเหล่านี้ขึ้นด้วยเบ้าดินเหนียวในที่ราบแห่งแม่น้ำจอร์แดนระหว่างเมืองสุคคทและเมืองศาเรธาน[t] 18 โซโลมอนทรงสร้างทุกสิ่งเหล่านี้โดยใช้ทองสัมฤทธิ์จำนวนมหาศาลจนไม่ได้ชั่งไว้
19 โซโลมอนยังได้ทรงทำเครื่องใช้ทั้งปวงที่อยู่ในพระวิหารของพระเจ้า ได้แก่
แท่นบูชาทองคำ
โต๊ะสำหรับวางขนมปังเบื้องพระพักตร์
20 คันประทีปทองคำบริสุทธิ์กับตะเกียงให้ลุกโชติช่วงหน้าสถานนมัสการชั้นใน ตามที่ระบุไว้
21 ลวดลายดอกไม้ ตะเกียงและคีมทำด้วยทองคำ (จากทองคำแท่ง)
22 กรรไกรตัดไส้ตะเกียง อ่างประพรม จานชาม และกระถางไฟ ทั้งหมดทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ ประตูทองคำของพระวิหารคือประตูชั้นในสู่อภิสุทธิสถานและประตูห้องโถง
3 ความรักที่พระบิดาทรงมีต่อเราทั้งหลายนั้นใหญ่หลวงปานใดในการที่เราได้ชื่อว่าบุตรของพระเจ้า! และเราก็เป็นเช่นนั้น! เหตุที่โลกไม่รู้จักเราก็เพราะโลกไม่รู้จักพระองค์ 2 เพื่อนที่รัก บัดนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า ภายหน้าเราจะเป็นอย่างไรเรายังไม่อาจรู้ได้ แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ[a]เราจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น 3 ทุกคนที่มีความหวังในพระองค์เช่นนี้ย่อมชำระตนเองให้บริสุทธิ์เหมือนที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์
4 ทุกคนที่ทำบาปย่อมละเมิดบทบัญญัติ อันที่จริงบาปก็คือการละเมิดบทบัญญัติ 5 แต่ท่านทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ได้มาเพื่อขจัดบาปของเราและในพระองค์ไม่มีบาป 6 ไม่มีใครที่อยู่ในพระองค์แล้วยังทำบาปต่อไป คนที่ทำบาปต่อไปก็ยังไม่ได้เห็นและไม่ได้รู้จักพระองค์
7 ลูกที่รัก อย่าปล่อยให้ใครมาชักจูงท่านให้หลงผิด ผู้ที่ทำสิ่งที่ถูกต้องก็เป็นคนชอบธรรมเหมือนที่พระองค์ทรงชอบธรรม 8 ผู้ที่ทำบาปก็มาจากมารเพราะมารทำบาปมาตั้งแต่ปฐมกาล เหตุที่พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาก็คือเพื่อทำลายกิจการของมาร 9 ไม่มีใครที่เกิดจากพระเจ้าแล้วยังคงทำบาปต่อไป เพราะเมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าดำรงอยู่ในเขา เขาไม่อาจทำบาปต่อไปเพราะเขาได้บังเกิดจากพระเจ้า 10 เช่นนี้แหละเราจึงรู้ว่าใครเป็นบุตรของพระเจ้าและใครเป็นบุตรของมาร กล่าวคือผู้ใดไม่ทำสิ่งที่ถูกต้อง ผู้ใดไม่รักพี่น้องของตน ผู้นั้นไม่ใช่บุตรของพระเจ้า
รักซึ่งกันและกัน
11 นี่เป็นข้อความที่ท่านทั้งหลายได้ยินมาตั้งแต่แรกคือ เราควรรักซึ่งกันและกัน 12 อย่าเป็นเหมือนคาอินผู้เป็นฝ่ายมารและฆ่าน้องชายของตน ทำไมเขาจึงฆ่าน้อง? ก็เพราะการกระทำของตนชั่วร้ายและการกระทำของน้องชอบธรรม 13 พี่น้องทั้งหลาย อย่าแปลกใจถ้าโลกนี้เกลียดชังท่าน 14 เรารู้ว่าเราผ่านพ้นความตายเข้าสู่ชีวิตเพราะเรารักพี่น้องของเรา ผู้ใดไม่รักผู้นั้นยังคงอยู่ในความตาย 15 ผู้ใดเกลียดชังพี่น้องของตนผู้นั้นเป็นฆาตกร ท่านทั้งหลายรู้ว่าไม่มีฆาตกรคนไหนมีชีวิตนิรันดร์ในพระองค์
16 เช่นนี้เราจึงรู้ว่าความรักคืออะไร คือที่พระเยซูคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อเราและเราควรสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง 17 ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สิ่งของ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแต่ยังไม่สงสารเขา ความรักของพระเจ้าจะอยู่ในผู้นั้นได้อย่างไร? 18 ลูกที่รัก อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปาก[b]เท่านั้น แต่ให้เรารักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง 19 ดังนี้แหละเราจึงรู้ว่าเราอยู่ฝ่ายความจริงและทำให้ใจเราสงบต่อหน้าพระเจ้า 20 แม้ในยามที่ใจของเรากล่าวโทษตนเอง เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเราและพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง
21 เพื่อนที่รัก ถ้าใจของเราไม่กล่าวโทษตัวเอง เราก็มั่นใจต่อหน้าพระเจ้า 22 และได้รับทุกสิ่งที่เราทูลขอจากพระองค์ เพราะเราเชื่อฟังพระบัญชาและทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัย 23 พระบัญชาของพระองค์คือ ให้เชื่อในพระนามพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และรักซึ่งกันและกันตามที่ทรงบัญชาเราไว้ 24 ผู้ใดเชื่อฟังพระบัญชา ผู้นั้นก็อยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงอยู่ในผู้นั้น เช่นนี้เราจึงรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ในเรา คือเรารู้โดยพระวิญญาณที่พระองค์ได้ประทานแก่เรา
นีนะเวห์จะล่มสลาย
2 นีนะเวห์เอ๋ย ผู้โจมตีได้รุดหน้ามารบกับเจ้าแล้ว
จงเข้าประจำป้อม
เฝ้าทางไว้
เตรียมตัวให้ทะมัดทะแมง
และระดมกำลังทั้งหมดมา!
2 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงคืนความรุ่งเรืองให้ยาโคบ
เช่นเดียวกับความรุ่งเรืองของอิสราเอล
แม้ผู้ทำลายได้ทำให้มันเริศร้าง
และทำลายเถาองุ่นของมัน
3 โล่ทหารของเขาเป็นสีแดง
นักรบก็สวมชุดสีแดงเข้ม
โลหะที่ตัวรถม้าศึกเปล่งประกายแวบวาบ
ในวันที่พวกเขาเตรียมพร้อม
หอกไม้สนก็กวัดแกว่ง[a]
4 รถม้าศึกห้อตะบึงไปตามถนน
รีบรุดไปมาผ่านลานเมือง
มองดูเหมือนคบเพลิงลุกโชน
พวกเขาวิ่งปราดไปมาเหมือนสายฟ้า
5 เขาระดมกองทหารที่หามาได้
แต่พวกเขาสะดุดล้มกลางทาง
พวกเขากรูเข้าไปที่กำแพงเมือง
โล่ป้องกันตั้งประจำที่
6 ประตูด้านแม่น้ำถูกทำลายลง
และพระราชวังพังครืน
7 มีประกาศิต[b]ให้กรุงนั้น
ถูกจับและพาไปเป็นเชลย
พวกทาสหญิงร้องครวญครางเหมือนนกพิราบ
และตีอกชกตัว
8 นีนะเวห์เป็นเหมือนสระ
และน้ำกำลังจะไหลออกไปหมด
พวกเขาร้องว่า “หยุดก่อน! หยุดก่อน!”
แต่ไม่มีใครหันกลับมา
9 จงปล้นเงิน!
จงปล้นทอง!
ข้าวของมากมายใช้ไม่หมด
ทรัพย์สมบัติจากทุกคลังของนีนะเวห์มีมากเหลือเกิน!
10 มันถูกปล้นทำลาย ถูกริบของมีค่าไปหมด!
หัวใจก็อ่อนล้า แข้งขาก็สิ้นแรง
เนื้อตัวสั่นเทาและทุกคนหน้าซีดเซียว
11 ไหนล่ะถ้ำสิงโต
ที่พวกมันเลี้ยงดูลูกอ่อน
ไหนล่ะราชสีห์พ่อแม่ลูก
ที่ไม่หวั่นเกรงสิ่งใด?
12 สิงโตที่ฆ่าเหยื่อมาให้ลูกๆ ของมันอย่างเพียงพอ
และคาบมาให้คู่ของมัน
แล้วสะสมเหยื่อไว้เต็มถ้ำ
สะสมสัตว์ที่มันฆ่าไว้เต็มรัง
13 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า
“เราเป็นศัตรูกับเจ้า
เราจะเผารถม้าศึกของเจ้าจนควันโขมง
และดาบจะฟาดฟันสิงห์หนุ่มของเจ้า
เราจะไม่เหลือเหยื่อให้เจ้าบนโลกนี้
จะไม่ได้ยินเสียงผู้สื่อสารของเจ้าอีกต่อไป”
คำอุปมาเรื่องหญิงม่ายผู้ไม่ลดละ
18 แล้วพระเยซูตรัสคำอุปมาสอนเหล่าสาวกให้อธิษฐานเสมออย่างไม่ลดละ 2 พระองค์ตรัสว่า “ในเมืองหนึ่งมีผู้พิพากษาคนหนึ่งซึ่งไม่เกรงกลัวพระเจ้าและไม่เห็นแก่หน้ามนุษย์คนใด 3 ในเมืองนั้นมีหญิงม่ายคนหนึ่งที่เพียรมาหาเขา และพร่ำวิงวอนว่า ‘กรุณาให้ความยุติธรรมในคดีของข้าพเจ้าด้วยเถิด’
4 “ผู้พิพากษานั้นปฏิเสธนางอยู่ระยะหนึ่ง แต่ในที่สุดเขานึกในใจว่า ‘ถึงแม้เราไม่เกรงกลัวพระเจ้า และไม่เห็นแก่หน้ามนุษย์คนใด 5 แต่เพราะหญิงม่ายคนนี้คอยกวนใจเราอยู่ตลอดเวลา เราจะให้ความยุติธรรมแก่นาง เพื่อนางจะได้ไม่มารบกวนให้เราระอาใจ!’ ”
6 และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงฟังคำพูดของผู้พิพากษาอยุติธรรมคนนี้ 7 แล้วพระเจ้าจะไม่ให้ความยุติธรรมแก่ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรหรือ? ในเมื่อเขาร้องทูลพระองค์ทั้งวันทั้งคืน พระองค์จะทรงผัดผ่อนเขาอยู่ร่ำไปหรือ? 8 เราบอกท่านว่า พระองค์จะทรงดูแลให้พวกเขาได้รับความยุติธรรมโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา พระองค์จะพบความเชื่อในโลกหรือ?”
คำอุปมาเรื่องฟาริสีกับคนเก็บภาษี
9 สำหรับบางคนที่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเองและดูถูกคนอื่นทั้งปวงนั้น พระเยซูตรัสคำอุปมานี้ว่า 10 “ชายสองคนไปที่พระวิหารเพื่ออธิษฐาน คนหนึ่งเป็นฟาริสี และอีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี 11 ฟาริสีคนนั้นยืนขึ้นอธิษฐานเกี่ยวกับ[a] ตนเองว่า ‘ข้าแต่พระเจ้าขอบพระคุณพระองค์ ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่เป็นโจรปล้น ทำชั่ว ล่วงประเวณี หรือเป็นอย่างคนเก็บภาษีคนนี้ 12 ข้าพระองค์ถืออดอาหารสัปดาห์ละสองครั้ง และถวายสิบลดจากทุกสิ่งที่ได้มา’
13 “แต่คนเก็บภาษีนั้นยืนไกลออกไป เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นฟ้า แต่ทุบตีอกของตนและพูดว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปด้วยเถิด’
14 “เราบอกท่านว่า คนนี้ต่างหากที่กลับบ้านไปโดยถือว่าเป็นผู้ชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้า เพราะทุกคนที่ยกตนเองขึ้นจะถูกทำให้ต่ำลง และผู้ที่ถ่อมตนลงจะได้รับการเชิดชูขึ้น”
พระเยซูกับเด็กเล็กๆ(A)
15 ประชาชนอุ้มทารกมาให้พระเยซูทรงแตะต้อง เมื่อเหล่าสาวกเห็นก็ตำหนิพวกเขา 16 แต่พระเยซูทรงเรียกเด็กๆ เข้ามาหาพระองค์และตรัสว่า “จงให้เด็กเล็กๆ มาหาเราและอย่าขัดขวางเขาเลย เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนเด็กๆ เหล่านี้ 17 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ใดไม่รับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ ผู้นั้นจะไม่มีวันได้เข้าอาณาจักรพระเจ้าเลย”
ขุนนางผู้ร่ำรวย(B)
18 ขุนนางคนหนึ่งทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรบ้างจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?”
19 พระเยซูตรัสตอบว่า “ทำไมท่านจึงบอกว่าเราประเสริฐ? นอกจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครอื่นที่ประเสริฐ 20 ท่านก็รู้บทบัญญัติที่ว่า ‘อย่าล่วงประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’[b]”
21 เขาทูลว่า “ทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าถือปฏิบัติมาตั้งแต่เด็ก”
22 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินดังนั้น ก็ตรัสกับเขาว่า “ท่านยังขาดอยู่อย่างหนึ่ง จงขายทุกสิ่งที่มีและแจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้นจงตามเรามา”
23 เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้นก็เศร้าสลด เพราะเขาร่ำรวยมาก 24 พระเยซูทรงมองดูเขาและตรัสว่า “ยากนักที่คนรวยจะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า! 25 อันที่จริง ให้อูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่าที่คนรวยจะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า”
26 บรรดาผู้ที่ได้ฟังเช่นนี้ทูลถามว่า “ถ้าเช่นนั้น ใครจะรอดได้?”
27 พระเยซูตรัสตอบว่า “สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ เป็นไปได้สำหรับพระเจ้า”
28 เปโตรทูลว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ละทุกสิ่งที่มีมาติดตามพระองค์!”
29 พระเยซูตรัสแก่พวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ไม่มีผู้ใดที่ละทิ้งบ้านเรือน หรือภรรยา หรือพี่น้อง หรือบิดามารดา หรือลูกๆ เพื่ออาณาจักรของพระเจ้า 30 แล้วจะไม่ได้รับผลตอบแทนหลายเท่าในยุคนี้ และชีวิตนิรันดร์ในยุคหน้า”
ทรงพยากรณ์อีกว่าจะต้องสิ้นพระชนม์(C)
31 พระเยซูทรงพาสาวกทั้งสิบสองคนเลี่ยงออกมาและตรัสบอกพวกเขาว่า “พวกเรากำลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และทุกอย่างที่บรรดาผู้เผยพระวจนะเขียนไว้เกี่ยวกับบุตรมนุษย์จะสำเร็จ 32 พระองค์จะถูกมอบให้คนต่างชาติ พวกเขาจะเยาะเย้ย ดูหมิ่น ถ่มน้ำลายรด โบยตี และฆ่าพระองค์ 33 ในวันที่สามพระองค์จะเป็นขึ้นมาใหม่”
34 เหล่าสาวกไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เลย ความหมายของสิ่งเหล่านี้ถูกปิดบังจากพวกเขาและพวกเขาไม่รู้ว่าพระองค์กำลังตรัสถึงเรื่องอะไร
ขอทานตาบอดมองเห็น(D)
35 เมื่อพระเยซูเสด็จมาใกล้เมืองเยรีโค มีชายตาบอดคนหนึ่งกำลังนั่งขอทานอยู่ริมทาง 36 เมื่อได้ยินเสียงฝูงชนเดินผ่าน เขาจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น 37 คนเหล่านั้นบอกเขาว่า “พระเยซูแห่งนาซาเร็ธกำลังเสด็จผ่าน”
38 ชายตาบอดคนนั้นจึงร้องขึ้นว่า “พระเยซูบุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาข้าพระองค์ด้วยเถิด!”
39 บรรดาผู้ที่เดินนำหน้าตำหนิและบอกให้เขาเงียบ แต่เขายิ่งร้องดังขึ้นอีกว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาข้าพระองค์ด้วยเถิด!”
40 พระเยซูทรงหยุดและตรัสสั่งให้คนพาเขามาหาพระองค์ เมื่อเขาเข้ามาใกล้พระเยซูตรัสถามว่า 41 “ท่านต้องการให้เราทำอะไรให้?”
เขาทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อยากมองเห็น”
42 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงมองเห็นเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ท่านหายแล้ว” 43 ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นได้และตามพระเยซูไป พร้อมกับสรรเสริญพระเจ้า เมื่อคนทั้งปวงเห็นเช่นนั้นก็สรรเสริญพระเจ้าด้วย
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.