Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
1 ซามูเอล 17

ดาวิดกับโกลิอัท

17 ครั้งนั้นชาวฟีลิสเตียรวมพลมาสู้รบและชุมนุมกันที่โสโคห์ในยูดาห์ พวกเขาตั้งค่ายพักที่เอเฟสดัมมิมซึ่งอยู่ระหว่างโสโคห์กับอาเซคาห์ ซาอูลและชนอิสราเอลมารวมพลและตั้งค่ายพักอยู่ที่หุบเขาเอลาห์ ตั้งแนวรบประจันหน้ากับชาวฟีลิสเตีย ชาวฟีลิสเตียยึดเนินเขาด้านหนึ่ง อิสราเอลยึดเนินเขาอีกด้านหนึ่ง มีหุบเขาคั่นกลาง

ยอดนักรบชื่อโกลิอัทจากเมืองกัทออกมาจากค่ายฟีลิสเตีย เขาสูง 6 ศอกกับ 1 ฝ่ามือ[a] เขาสวมหมวกเกราะทองสัมฤทธิ์และสวมเสื้อเกราะทองสัมฤทธิ์หนักประมาณ 57 กิโลกรัม[b] ใส่สนับแข้งทองสัมฤทธิ์ มีหอกทองสัมฤทธิ์คล้องอยู่ที่บ่า ด้ามหอกเหมือนไม้กระพั่นทอผ้า ปลายหอกทำด้วยเหล็กหนักประมาณ 7 กิโลกรัม[c] มีคนแบกโล่เดินนำหน้า

โกลิอัทยืนร้องท้าทหารอิสราเอลว่า “พวกเจ้าจะมาตั้งแถวสู้รบกันทำไม? ข้าก็เป็นฟีลิสเตีย ส่วนพวกเจ้าก็เป็นบริวารของซาอูลไม่ใช่หรือ? จงเลือกคนหนึ่งลงมาสู้กับข้า ถ้าคนของเจ้าฆ่าข้าได้ พวกข้าจะยอมแพ้พวกเจ้า แต่ถ้าข้าชนะและฆ่าเขาได้ พวกเจ้าต้องยอมแพ้เป็นทาสรับใช้พวกข้า” 10 ชาวฟีลิสเตียคนนั้นพูดว่า “วันนี้ข้าขอท้ากองทัพอิสราเอล! ส่งคนมาสู้กับข้าสิ” 11 เมื่อซาอูลและชนอิสราเอลทั้งหมดได้ยินเช่นนี้ ก็พากันหวาดผวาและท้อแท้ใจ

12 ฝ่ายดาวิดเป็นบุตรเจสซีชาวถิ่นเอฟราธาห์จากเบธเลเฮมในเขตยูดาห์ เจสซีมีบุตรชายแปดคน เขาก็ชราและมีอายุมากแล้วในสมัยที่ซาอูลเป็นกษัตริย์ 13 บุตรชายสามคนแรกของเจสซีที่ติดตามซาอูลไปรบมีดังนี้คือ เอลีอับบุตรหัวปี อาบีนาดับบุตรคนที่สอง และชัมมาห์บุตรคนที่สาม 14 ดาวิดเป็นบุตรคนสุดท้อง พี่ชายสามคนแรกติดตามซาอูลไป 15 ส่วนดาวิดไปๆ มาๆ ระหว่างซาอูลกับการเลี้ยงแกะของบิดาที่เบธเลเฮม

16 ชาวฟีลิสเตียคนนี้มายืนร้องท้าเป็นประจำทุกเช้าเย็นตลอดสี่สิบวัน

17 ฝ่ายเจสซีพูดกับดาวิดบุตรชายว่า “จงรีบเอาข้าวคั่วประมาณ 22 ลิตร[d]กับขนมปังสิบก้อนนี้ไปให้พี่ชายของเจ้าที่ค่าย 18 เอาเนยแข็งสิบชิ้นนี้ไปให้ผู้บังคับกอง[e]ของพี่ๆ ด้วย จงดูว่าพวกพี่เป็นอย่างไรกันบ้าง แล้วนำข่าว[f]จากพวกเขากลับมาบอกเราด้วย 19 พวกเขาอยู่กับซาอูลและกองทัพอิสราเอลที่หุบเขาเอลาห์ระหว่างการสู้รบกับคนฟีลิสเตีย”

20 ดาวิดทิ้งฝูงแกะไว้กับคนเลี้ยงอีกคนหนึ่ง แล้วออกเดินทางตามคำสั่งของเจสซีตั้งแต่เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นพร้อมด้วยของฝาก เขามาถึงค่ายพอดีกับที่กองทัพอิสราเอลกำลังจะยกออกไปสนามรบ มีเสียงตะโกนเสียงโห่ร้องออกศึก 21 กองพลอิสราเอลและฟีลิสเตียต่างก็มาตั้งขบวนประจันหน้ากัน 22 ดาวิดทิ้งข้าวของไว้กับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลสัมภาระ แล้ววิ่งออกไปที่แนวรบและทักทายพวกพี่ๆ 23 ขณะกำลังคุยกับพวกพี่ๆ โกลิอัทยอดนักรบชาวฟีลิสเตียจากเมืองกัทก้าวออกจากแถวมายืนร้องท้าเช่นเคย และดาวิดก็ได้ยิน 24 ทันทีที่เห็นโกลิอัทคนอิสราเอลก็พากันวิ่งหนีด้วยความกลัวยิ่งนัก

25 คนอิสราเอลพูดกันว่า “เจ้าเห็นคนนี้ไหม? เขาออกมาสบประมาทอิสราเอลอยู่เป็นประจำ กษัตริย์จะประทานทรัพย์สินมากมายให้แก่คนที่ฆ่าเขาได้ และจะยกพระธิดาให้เป็นภรรยา ยิ่งกว่านั้นครอบครัวของบิดาของเขาจะได้รับการยกเว้นภาษีด้วย”

26 ดาวิดถามคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ว่า “ผู้ที่ฆ่าฟีลิสเตียคนนี้และกู้หน้าให้อิสราเอลจะได้รับบำเหน็จอะไรบ้าง? ชาวฟีลิสเตียผู้ไม่ได้เข้าสุหนัตคนนี้เป็นใครกัน ถึงบังอาจมาร้องท้ากองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่?”

27 พวกเขาก็บอกซ้ำสิ่งที่พูดไปแล้วว่า “คนที่ฆ่าเขาสำเร็จจะได้รับสิ่งต่างๆ ดังกล่าว”

28 เมื่อเอลีอับพี่ชายคนโตของดาวิดได้ยินดาวิดพูดกับคนนั้นก็โกรธ และถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่ แล้วเจ้าทิ้งแกะไม่กี่ตัวในถิ่นกันดารไว้ให้ใครดูแล? ข้ารู้ว่าเจ้าชอบคุยโวและรู้จักใจชั่วช้าของเจ้า นึกอยากมาดูเขารบกันล่ะสิ”

29 ดาวิดตอบว่า “ข้าทำอะไรผิดหรือ? ถามดูไม่ได้หรือ?” 30 แล้วดาวิดเดินไปถามคนอื่นๆ อีกในเรื่องเดิม ก็ได้รับคำตอบอย่างเดียวกัน 31 มีผู้ได้ยินคำพูดของดาวิดจึงไปทูลรายงานซาอูล พระองค์จึงให้คนไปตามตัวดาวิดมาเข้าเฝ้า

32 ดาวิดทูลซาอูลว่า “อย่าให้ผู้ใดเสียขวัญเพราะชาวฟีลิสเตียคนนี้เลย ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะไปรบกับเขา”

33 ซาอูลตรัสว่า “เจ้าออกไปสู้กับชาวฟีลิสเตียคนนั้นไม่ได้หรอก เจ้าเป็นเพียงเด็ก ส่วนเขาเป็นนักรบมาตั้งแต่หนุ่ม”

34 แต่ดาวิดทูลซาอูลว่า “ข้าพระบาทดูแลแกะของบิดา เมื่อมีสิงโตหรือหมีมาคาบแกะไปจากฝูง 35 ข้าพระบาทจะไล่ตามฟาดฟันช่วยแกะนั้นออกมาจากปากของสิงโต หากมันหันมาเล่นงาน ข้าพระบาทก็จะกระชากขนของมัน ฟาดมัน และฆ่าเสีย 36 ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทได้ฆ่าทั้งสิงโตและหมีมาแล้ว ชาวฟีลิสเตียผู้ไม่ได้เข้าสุหนัตคนนี้จะเป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้น เพราะเขามาสบประมาทกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ 37 องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพระบาทจากเขี้ยวเล็บของสิงโตและหมี จะช่วยข้าพระบาทจากมือชาวฟีลิสเตียผู้นี้”

ซาอูลตรัสกับดาวิดว่า “ไปเถิด ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเจ้า”

38 จากนั้นซาอูลก็ให้ดาวิดสวมเครื่องทรงของซาอูลเอง มีเสื้อเกราะและหมวกเกราะทองสัมฤทธิ์ 39 ดาวิดสะพายดาบ ทับเสื้อเกราะ ลองเดินวนไปรอบๆ เพราะไม่คุ้นเคยกับชุดแบบนี้มาก่อน

ดาวิดทูลซาอูลว่า “ข้าพระบาทออกไปอย่างนี้ไม่ได้เพราะไม่เคยชิน” แล้วดาวิดก็ถอดชุดนั้นออก 40 จากนั้นเขาหยิบไม้เท้าและไปเก็บหินเกลี้ยงห้าก้อนจากลำธารใส่ไว้ในย่ามของเขา ในมือถือสลิง เดินเข้าไปหาชาวฟีลิสเตียคนนั้น

41 ขณะนั้นโกลิอัทเดินเข้ามาหาดาวิด มีคนแบกโล่เดินนำหน้า 42 เมื่อเห็นดาวิดซึ่งเป็นเพียงเด็กหนุ่มรูปหล่อผิวพรรณดี ก็นึกดูหมิ่น 43 และกล่าวว่า “เห็นข้าเป็นหมาหรือไง ถึงได้ถือไม้เท้าออกมาหา?” แล้วก็แช่งด่าดาวิดโดยอ้างนามเทพเจ้าต่างๆ ของตน 44 โกลิอัทพูดว่า “มาสิ เดี๋ยวข้าจะแล่เนื้อเจ้าให้นกกาและสัตว์ป่ากิน!”

45 ดาวิดพูดว่า “ท่านถือดาบ ถือหอก และหอกซัดมาสู้กับเรา ส่วนเราจะสู้กับท่านในพระนามพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าของกองทัพอิสราเอลซึ่งท่านลบหลู่ 46 วันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบท่านแก่เรา เราจะฆ่าและตัดหัวท่าน วันนี้เราจะเอาซากศพของกองทัพฟีลิสเตียให้นกกาและสัตว์ป่ากิน แล้วทั้งโลกจะได้รู้ว่ามีพระเจ้าในอิสราเอล 47 คนทั้งปวงที่ชุมนุมกันอยู่ที่นี่จะได้รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงช่วยให้รอดด้วยดาบหรือหอก การศึกครั้งนี้เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์จะทรงมอบเจ้าทุกคนไว้ในมือของพวกเรา”

48 ขณะที่โกลิอัทเข้ามาใกล้เพื่อต่อสู้ ดาวิดก็วิ่งเข้าไปประจันหน้า 49 เอามือล้วงลงไปในย่ามหยิบก้อนหินออกมาคล้องเข้ากับสลิง แล้วเหวี่ยงก้อนหินอัดเข้าที่หน้าผากของโกลิอัท ก้อนหินฝังจมเข้าไป โกลิอัทล้มคว่ำลงกับพื้น

50 เป็นอันว่าดาวิดพิชิตชาวฟีลิสเตียคนนั้นด้วยสลิงและก้อนหิน แม้ไม่มีดาบแต่ก็ล้มเขาได้และฆ่าเขาเสีย

51 ดาวิดวิ่งขึ้นไปยืนบนร่างของเขา ดึงดาบของโกลิอัทออกจากฝักและฆ่าเขา แล้วก็ตัดศีรษะออกมา

เมื่อชาวฟีลิสเตียเห็นวีรบุรุษของตนตายเสียแล้ว ก็หันหลังวิ่งหนีไป 52 คนอิสราเอลและยูดาห์จึงโห่ร้องมีชัย แล้วรุกไล่ฟีลิสเตียไปไกลถึงทางเข้าเมืองกัท[g]และประตูเมืองเอโครน ศพชาวฟีลิสเตียเกลื่อนกลาดตลอดเส้นทางชาอาราอิมที่จะไปยังเมืองกัทและเมืองเอโครน 53 หลังจากนั้นอิสราเอลก็กลับมาปล้นค่ายของชาวฟีลิสเตีย 54 ดาวิดนำศีรษะของโกลิอัทไปยังเยรูซาเล็ม และเก็บอาวุธของเขาไว้ในเต็นท์ของตน

55 ขณะซาอูลทอดพระเนตรดาวิดออกไปสู้กับโกลิอัท พระองค์ตรัสถามแม่ทัพอับเนอร์ว่า “อับเนอร์ เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร?”

อับเนอร์ทูลตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพระบาทไม่ทราบฉันนั้น”

56 ซาอูลตรัสว่า “ไปสืบมาสิว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นลูกของใคร”

57 ทันทีที่ดาวิดกลับจากสังหารโกลิอัท อับเนอร์นำตัวเขามาเข้าเฝ้าซาอูล ดาวิดยังหิ้วศีรษะของโกลิอัทอยู่

58 ซาอูลตรัสถามว่า “พ่อหนุ่ม เจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร?”

ดาวิดทูลว่า “ข้าพระบาทเป็นบุตรของเจสซีแห่งเบธเลเฮม ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท”

โรม 15

15 เราที่เข้มแข็งควรอดทนต่อความพลั้งพลาดของผู้ที่อ่อนแอและไม่ทำตามใจชอบของเราเอง เราแต่ละคนควรทำให้เพื่อนบ้าน พอใจอันเป็นผลดีแก่เขา เพื่อเสริมสร้างเขาขึ้น เพราะแม้แต่พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงทำสิ่งที่พระองค์เองพอพระทัย แต่ตามที่มีเขียนไว้ว่า “การหมิ่นประมาทของผู้ที่สบประมาทพระองค์ได้ตกอยู่แก่ข้าพระองค์”[a] เพราะทุกสิ่งที่เขียนไว้ในอดีตก็เขียนขึ้นเพื่อสอนเรา เพื่อว่าเราจะได้มีความหวังโดยความทรหดอดทนและการให้กำลังใจจากพระคัมภีร์

ขอพระเจ้าผู้ประทานความทรหดอดทนและกำลังใจทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายติดตามพระเยซูคริสต์ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าด้วยปากและใจเดียวกัน พระองค์คือพระเจ้าและพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา

ฉะนั้นจงยอมรับซึ่งกันและกันเหมือนที่พระคริสต์ทรงยอมรับท่าน เพื่อจะนำการสรรเสริญมาถวายแด่พระเจ้า เพราะข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าพระคริสต์ได้กลายเป็นผู้รับใช้ของพวกยิว[b] อันเป็นการสำแดงความสัตย์จริงของพระเจ้า เพื่อยืนยันพระสัญญาที่ทรงให้ไว้กับเหล่าบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อว่าคนต่างชาติจะถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้า เนื่องด้วยพระเมตตาของพระองค์ ตามที่มีเขียนไว้ว่า

“ด้วยเหตุนี้ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางคนต่างชาติ
จะร้องบทเพลงสรรเสริญแด่พระนามของพระองค์”[c]

10 และกล่าวอีกว่า

“คนต่างชาติทั้งหลายเอ๋ย จงชื่นชมยินดีร่วมกับประชากรของพระองค์เถิด”[d]

11 และอีกตอนหนึ่งที่ว่า

“คนต่างชาติทั้งสิ้นเอ๋ย จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
ชนชาติทั้งสิ้นเอ๋ย จงร้องเพลงสรรเสริญพระองค์”[e]

12 และอิสยาห์กล่าวด้วยว่า

“รากแห่งเจสซีจะผุดขึ้น
ผู้ซึ่งจะขึ้นมาเพื่อครอบครองนานาประชาชาติ
คนต่างชาติทั้งหลายจะหวังในพระองค์”[f]

13 ขอพระเจ้าแห่งความหวังทรงให้ท่านบริบูรณ์ด้วยความชื่นชมยินดีและสันติสุขทั้งปวงเมื่อท่านวางใจในพระองค์ เพื่อว่าท่านจะเปี่ยมล้นด้วยความหวังโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์

เปาโลผู้รับใช้มายังคนต่างชาติ

14 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเองแน่ใจว่าพวกท่านเองบริบูรณ์ด้วยความดี เพียบพร้อมด้วยความรู้ และสามารถสั่งสอนกันและกันได้ 15 ที่ข้าพเจ้ากล้าเขียนบางเรื่องถึงท่านราวกับว่าเพื่อจะเตือนท่านในเรื่องเหล่านั้นอีกครั้ง ก็เพราะพระคุณที่พระเจ้าได้ประทานแก่ข้าพเจ้า 16 ให้เป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์มายังคนต่างชาติ ทำหน้าที่ปุโรหิตประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพื่อว่าคนต่างชาติจะได้กลายเป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงยอมรับ ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงชำระให้บริสุทธิ์แล้ว

17 ฉะนั้นในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าภูมิใจในสิ่งต่างๆ ที่ได้ทำให้แก่พระเจ้า 18 ข้าพเจ้าไม่กล้ากล่าวถึงสิ่งใดนอกเหนือจากสิ่งที่พระคริสต์ทรงกระทำผ่านทางข้าพเจ้า ในการนำคนต่างชาติมาเชื่อฟังพระเจ้าด้วยสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พูดและทำ 19 คือด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ โดยทางฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าจึงได้ประกาศข่าวประเสริฐ ของพระคริสต์อย่างครบถ้วนในทุกที่ตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มไปทั่วจนจดเมืองอิลลีริคุม 20 ข้าพเจ้ามุ่งมาดปรารถนาเสมอมาว่าจะประกาศข่าวประเสริฐในที่ซึ่งไม่มีใครรู้จักพระคริสต์ เพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้ไม่ก่อขึ้นบนฐานรากที่คนอื่นวางไว้ 21 ตามที่มีเขียนไว้ว่า

“ผู้ที่ไม่เคยมีใครบอกเรื่องพระองค์จะได้เห็น
และผู้ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนจะเข้าใจ”[g]

22 นี่คือเหตุที่ขัดขวางข้าพเจ้าอยู่เสมอ ทำให้ข้าพเจ้าไม่ได้มาหาพวกท่าน

เปาโลวางแผนจะไปกรุงโรม

23 แต่บัดนี้ไม่มีที่ใดเหลือให้ข้าพเจ้าทำงานในภูมิภาคเหล่านี้แล้ว และเนื่องจากข้าพเจ้าปรารถนาที่จะมาพบพวกท่านหลายปีแล้ว 24 ข้าพเจ้าจึงวางแผนจะมาพบท่านตอนไปประเทศสเปน ข้าพเจ้าหวังว่าจะได้มาเยี่ยมเยียนท่านขณะเดินทางผ่านไป และหวังจะให้ท่านช่วยเหลือข้าพเจ้าในการเดินทางไปที่นั่น หลังจากได้สังสรรค์อยู่กับพวกท่านสักระยะหนึ่ง 25 แต่ขณะนี้ข้าพเจ้ากำลังเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อช่วยเหลือประชากรของพระเจ้าที่นั่น 26 เพราะพี่น้องในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายายินดีที่จะบริจาคให้ผู้ยากไร้ในหมู่ประชากรของพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม 27 พวกเขายินดีที่จะทำเช่นนั้น และอันที่จริงพวกเขาก็เป็นหนี้พี่น้อง เหล่านั้นด้วย เพราะถ้าคนต่างชาติมีส่วนร่วมในพระพรฝ่ายจิตวิญญาณของชาวยิว พวกเขาก็เป็นหนี้พี่น้องชาวยิว เขาควรที่จะแบ่งปันพระพรฝ่ายวัตถุให้พี่น้องเหล่านั้น 28 ดังนั้นหลังจากเสร็จภารกิจนี้ และดูแลจนแน่ใจว่าพวกพี่น้องได้รับผลนี้เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไปประเทศสเปนและแวะเยี่ยมพวกท่านระหว่างทาง 29 ข้าพเจ้ารู้ว่าเมื่อมาหาท่าน ข้าพเจ้าจะมาพร้อมด้วยพระพรอันเต็มบริบูรณ์ของพระคริสต์

30 พี่น้องทั้งหลาย โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราและโดยความรักจากพระวิญญาณข้าพเจ้าขอให้พวกท่านร่วมในการดิ้นรนต่อสู้ของข้าพเจ้าด้วยการอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อข้าพเจ้า 31 ขออธิษฐานให้ข้าพเจ้าได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากผู้ไม่เชื่อทั้งหลายในแคว้นยูเดีย และขอให้ประชากรของพระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็มยอมรับความช่วยเหลือของข้าพเจ้า 32 เพื่อว่าโดยพระประสงค์ของพระเจ้า ข้าพเจ้าจะได้มาหาพวกท่านด้วยความชื่นชมยินดีและได้รับความชื่นใจร่วมกันกับพวกท่าน 33 ขอพระเจ้าแห่งสันติสุขสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด อาเมน

เพลงคร่ำครวญ 2

[a]โอ เมฆแห่งพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ปกคลุมเหนือธิดาแห่งศิโยน![b]
พระองค์ทรงเหวี่ยงความโอ่อ่าตระการของอิสราเอล
จากฟ้าลงดิน
ในวันแห่งพระพิโรธ
พระองค์ไม่ได้ทรงระลึกถึงแท่นรองพระบาทของพระองค์

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำลาย
ที่อาศัยทุกแห่งของยาโคบอย่างไร้ความปรานี
พระองค์ทรงทลายที่มั่นทั้งหลายของธิดาแห่งยูดาห์[c]
ด้วยพระพิโรธของพระองค์
ทรงนำอาณาจักรและเหล่าเจ้านายของยูดาห์
ตกต่ำลงมาถึงดินอย่างน่าอัปยศอดสู

พระองค์ทรงล้มล้างอำนาจทั้งสิ้น[d]ของอิสราเอล
ด้วยพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์
พระองค์ทรงเพิกถอนการปกป้องรักษา
เมื่อศัตรูรุกเข้ามาโจมตี
ทรงเผาผลาญยาโคบเหมือนเปลวไฟลุกโชน
ซึ่งแผดเผาทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ มัน

พระองค์ทรงน้าวคันศรเหมือนทรงเป็นศัตรู
พระหัตถ์ขวาของพระองค์เตรียมพร้อมจะปล่อยลูกศร
ทรงประหารทุกคนผู้เป็นที่ชื่นตาชื่นใจ
เหมือนทรงเป็นศัตรู
ทรงระบายพระพิโรธเหมือนไฟ
แผดเผาเต็นท์ของธิดาแห่งศิโยน

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นเหมือนศัตรู
พระองค์ทรงกลืนกินอิสราเอลให้สิ้นไป
ทรงกวาดล้างปราสาทราชวัง
และทรงทำลายที่มั่นต่างๆ ในอิสราเอล
ทรงทำให้การร้องไห้คร่ำครวญทวีเพิ่มขึ้น
สำหรับธิดาแห่งยูดาห์

พระองค์ทรงทิ้งที่ประทับของพระองค์ให้รกร้างดั่งสวนร้าง
ทรงทำลายสถานนมัสการของพระองค์
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ศิโยนหลงลืม
เทศกาลตามกำหนดและสะบาโตทั้งหลาย
พระองค์ทรงเขี่ยทั้งกษัตริย์และปุโรหิตทิ้ง
ด้วยพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิเสธแท่นบูชา
และทอดทิ้งสถานนมัสการของพระองค์
พระองค์ทรงมอบกำแพงปราสาทราชวัง
ไว้ในมือของศัตรู
เหล่าศัตรูส่งเสียงโห่ร้องในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ราวกับวันฉลองตามเทศกาล

องค์พระผู้เป็นเจ้าตั้งพระทัย
ที่จะทลายกำแพงล้อมรอบธิดาแห่งศิโยน
พระองค์ทรงพิจารณาโทษอย่างถี่ถ้วน[e]
ไม่ได้ทรงยั้งพระหัตถ์จากการทำลายล้าง
ทรงทำให้เชิงเทินและกำแพง
พังทลายไปด้วยกันต่อหน้าพระองค์

ประตูทั้งหลายของเยรูซาเล็มทรุดจมดิน
ลูกกรงประตูทั้งหลายหักทลาย
กษัตริย์และบรรดาเจ้านายตกเป็นเชลยในชาติต่างๆ
บทบัญญัติสูญสิ้นไปแล้ว
และผู้เผยพระวจนะทั้งหลายไม่ได้รับนิมิต
จากองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกต่อไป

10 เหล่าผู้อาวุโสของเยรูซาเล็ม
นั่งซึมอยู่ที่พื้นท่ามกลางความเงียบสงัด
โปรยฝุ่นธุลีบนศีรษะ
และนุ่งห่มผ้ากระสอบ
บรรดาหญิงสาวแห่งเยรูซาเล็ม
ซบหน้าลงกับพื้นด้วยความอับอาย

11 นัยน์ตาของข้าพเจ้าหมองช้ำเพราะการร้องไห้
ข้าพเจ้าทุกข์ระทมอยู่ภายใน
ดวงใจของข้าพเจ้าแหลกสลาย
เพราะพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้าถูกทำลาย
เพราะลูกเล็กเด็กแดงเป็นลม
อยู่ตามถนนหนทางในเมือง

12 “แม่จ๋า ไหนล่ะอาหาร?”
เด็กๆ เอ่ยกับแม่
ขณะหมดแรง
เหมือนคนบาดเจ็บกลางถนน
ขณะชีวิตหลุดลอยไป
จากอ้อมอกแม่

13 ธิดาแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย[f]
เราจะพูดอะไรเพื่อเจ้าได้?
เราจะเปรียบเจ้ากับอะไรหนอ?
ธิดาพรหมจารีแห่งศิโยนเอ๋ย[g]
เราจะเทียบเจ้ากับสิ่งใดดี
เพื่อจะปลอบโยนเจ้าได้?
บาดแผลของเจ้าลึกดั่งทะเล
ใครเล่าจะเยียวยารักษาเจ้าได้?

14 นิมิตของเหล่าผู้เผยพระวจนะของเจ้า
ล้วนจอมปลอมไร้ค่า
พวกเขาไม่ได้ตีแผ่บาปของเจ้า
ทำให้เจ้าต้องตกเป็นเชลยต่อไป
พระดำรัสที่พวกเขาแจ้งเจ้านั้น
จอมปลอมและพาให้หลงผิด

15 คนทั้งปวงที่ผ่านไปมา
ตบมือเยาะเย้ยเจ้า
พวกเขาถากถางและส่ายศีรษะ
สมเพชธิดาแห่งเยรูซาเล็มว่า
“นี่น่ะหรือกรุงที่ได้รับการขนานนาม
ว่างามเพียบพร้อม
เป็นความชื่นชมยินดีของคนทั้งโลก?”

16 ศัตรูทั้งปวงของเจ้า
อ้าปากเย้ยหยันเจ้า
ส่งเสียงเยาะเย้ย ยิงฟันใส่
และกล่าวว่า “ในที่สุดเราก็ทำลายเจ้าลงได้
นี่เป็นวันที่เรารอคอยมานาน
เราอยู่มาจนได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น”

17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำตามที่ดำริไว้
ทรงทำให้สำเร็จตามที่ลั่นวาจาไว้
ซึ่งพระองค์มีประกาศิตไว้เมื่อนานมาแล้ว
พระองค์ทรงล้มเจ้าลงโดยไม่ปรานี
ทรงยอมให้ศัตรูลิงโลดอยู่เหนือเจ้า
พระองค์ทรงเชิดชูพลัง[h]ของศัตรูของเจ้า

18 จิตใจของพวกเขา
ร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า
ปราการของธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย
ให้น้ำตาของเจ้าหลั่งไหลดั่งแม่น้ำ
ตลอดทั้งวันทั้งคืน
อย่าได้หยุดหย่อน
อย่าให้ตาของเจ้าได้พักเลย

19 จงลุกขึ้นร่ำไห้ในยามค่ำคืน
ตั้งแต่เริ่มมืด
จงระบายความในใจของเจ้าออกมาเหมือนสายน้ำ
ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงชูมือขึ้นอ้อนวอนพระองค์
เพื่อชีวิตลูกเล็กเด็กแดงทั้งหลายของเจ้า
ซึ่งเป็นลมไปเพราะความหิวโหย
อยู่ทุกหัวถนน

20 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงทอดพระเนตรและใคร่ครวญเถิด
พระองค์ทรงเคยทำเช่นนี้แก่ใครบ้าง?
ควรหรือที่คนเป็นแม่จะกินเลือดเนื้อเชื้อไขของตน
คือบรรดาลูกในไส้ที่ตนฟูมฟักเลี้ยงดูมา?
ควรหรือที่ปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะจะถูกฆ่า
ในสถานนมัสการขององค์พระผู้เป็นเจ้า?

21 “ทั้งคนหนุ่มคนแก่ทั้งหลาย
นอนคลุกฝุ่นอยู่ด้วยกันกลางถนน
คนหนุ่มคนสาวของข้าพระองค์
ล้มตายด้วยคมดาบ
พระองค์ทรงประหารพวกเขาในวันแห่งพระพิโรธ
ทรงเข่นฆ่าพวกเขาโดยไม่ปรานี

22 “พระองค์ทรงระดมความอกสั่นขวัญแขวนรอบด้านเข้าใส่ข้าพระองค์
เหมือนเกณฑ์คนมาในวันงานเลี้ยงตามเทศกาล
ในวันแห่งพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่มีใครหนีรอดหรือรอดชีวิตไปได้เลยแม้สักคนเดียว
ศัตรูของข้าพระองค์ได้ทำลายล้าง
บรรดาผู้ที่ข้าพระองค์ฟูมฟักเลี้ยงดูมา”

สดุดี 33

33 บรรดาผู้ชอบธรรมเอ๋ย จงร้องเพลงชื่นบานถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ควรแล้วที่ผู้ชอบธรรมจะสรรเสริญพระองค์
จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเสียงพิณ
จงบรรเลงเพลงถวายพระองค์ด้วยพิณสิบสาย
จงขับร้องเพลงบทใหม่ถวายพระองค์
เล่นดนตรีอย่างชำนิชำนาญ และโห่ร้องอย่างชื่นชมยินดี

เพราะพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าถูกต้องและเป็นจริง
พระองค์ทรงซื่อสัตย์ในทุกสิ่งที่ทรงกระทำ
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักความชอบธรรมและความยุติธรรม
แผ่นดินโลกเต็มไปด้วยความรักมั่นคงของพระองค์

โดยพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฟ้าสวรรค์ก็อุบัติขึ้น
ดวงดาวทั้งปวงมีขึ้นโดยลมพระโอษฐ์ของพระองค์
พระองค์ทรงรวบรวมห้วงสมุทรทั้งหลายไว้ด้วยกัน[a]
ทรงเก็บห้วงน้ำลึกไว้ในคลัง
ให้ทั้งโลกเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้า
ให้คนทั้งโลกยำเกรงพระองค์
เพราะพระองค์ตรัส โลกก็อุบัติขึ้น
พระองค์ทรงบัญชา มันก็คงอยู่

10 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้แผนการของประชาชาติทั้งหลายล้มเหลวไป
พระองค์ทรงทำให้เป้าหมายของพวกเขาสูญเปล่า
11 แต่แผนการขององค์พระผู้เป็นเจ้ายั่งยืนนิรันดร์
พระประสงค์ในพระทัยของพระองค์ดำรงอยู่ทุกชั่วอายุ

12 ความสุขมีแก่ประชาชาติที่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้า
คือประชากรซึ่งพระองค์ทรงเลือกเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
13 องค์พระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรลงมาจากฟ้าสวรรค์
และทรงเห็นมวลมนุษยชาติ
14 จากที่ประทับ พระองค์ทรงจับตาดู
ทุกชีวิตในโลก
15 พระองค์ผู้ทรงสร้างจิตใจของทุกคน
ผู้ทรงพิจารณาทุกสิ่งที่เขาทำ

16 กษัตริย์ไม่ได้รอดชีวิตเพราะขนาดของกองทัพ
นักรบไม่ได้รอดชีวิตเพราะพละกำลังมากมายของตน
17 หวังให้ม้าศึกช่วยกอบกู้ก็เปล่าประโยชน์
แม้มันแข็งแรงก็ไม่ได้ช่วยให้รอดปลอดภัย
18 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้าดูบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระองค์
ผู้ที่หวังในความรักมั่นคงของพระองค์
19 เพื่อจะทรงช่วยกู้พวกเขาให้พ้นจากความตาย
และรักษาพวกเขาให้มีชีวิตอยู่ในคราวกันดารอาหาร

20 เรารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความหวัง
พระองค์ทรงเป็นความช่วยเหลือและเป็นโล่ของเรา
21 จิตใจของเราชื่นชมยินดีในพระองค์
เพราะเราวางใจในพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์
22 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เหนือข้าพระองค์ทั้งหลาย
ในเมื่อข้าพระองค์ทั้งหลายฝากความหวังไว้ในพระองค์

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.