Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
โยชูวา 4

เมื่อเหล่าประชากรข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปทุกคนแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า “จงคัดเลือกชายสิบสองคนจากเหล่าประชากรเผ่าละหนึ่งคน และสั่งพวกเขาให้ยกก้อนหินมาสิบสองก้อน จากกลางแม่น้ำจอร์แดนตรงที่เหล่าปุโรหิตยืน และตั้งไว้ในสถานที่ซึ่งเจ้าจะไปตั้งค่ายพักค่ำวันนี้”

โยชูวาจึงเรียกชายสิบสองคนนั้นซึ่งคัดเลือกจากชนอิสราเอลเผ่าละหนึ่งคนมา และสั่งว่า “จงออกไปกลางแม่น้ำจอร์แดนตรงที่หีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านตั้งอยู่ แล้วแบกหินขึ้นบ่ามาคนละหนึ่งก้อน ตามจำนวนเผ่าของชนอิสราเอล เพื่อเป็นอนุสรณ์ท่ามกลางพวกท่าน ในอนาคตเมื่อลูกหลานของท่านถามว่า ‘หินเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไร?’ จงบอกพวกเขาว่าแม่น้ำจอร์แดนแยกออกต่อหน้าหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อหีบข้ามแม่น้ำจอร์แดน น้ำในแม่น้ำจอร์แดนก็แยกขาดจากกัน หินเหล่านี้จะเป็นอนุสรณ์เตือนใจชนอิสราเอลตลอดไป”

ชนอิสราเอลก็ทำตามที่โยชูวาสั่ง พวกเขาขนหินสิบสองก้อนจากกลางแม่น้ำจอร์แดนตามจำนวนเผ่าของอิสราเอล ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาโยชูวาไว้ และยกมาวางลงในสถานที่ตั้งค่ายพักแรมของพวกเขาในคืนวันนั้น โยชูวาให้นำหินสิบสองก้อนที่เคยอยู่กลางแม่น้ำจอร์แดน ในบริเวณที่ปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญายืนอยู่นั้นมาตั้งไว้[a] และหินเหล่านั้นยังคงอยู่ที่นั่นจวบจนทุกวันนี้

10 ปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญายืนอยู่กลางแม่น้ำตราบจนเหล่าประชากรทำครบถ้วนทุกอย่างตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโยชูวา ดังที่โมเสสได้กำชับโยชูวา เหล่าประชากรรีบรุดข้ามแม่น้ำไป 11 เมื่อทุกคนข้ามไปแล้ว ประชากรพากันมองดูปุโรหิตหามหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นจากแม่น้ำ 12 ชนเผ่ารูเบน กาด และมนัสเสห์ครึ่งเผ่าก็ข้ามแม่น้ำไป พวกเขาคาดอาวุธนำหน้าชนอิสราเอลตามที่โมเสสได้สั่งพวกเขาไว้ 13 มีคนราวสี่หมื่นคนจับอาวุธออกรบต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าบุกไปยังที่ราบเยรีโค

14 วันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยกชูโยชูวาขึ้นต่อหน้าปวงชนอิสราเอล และพวกเขายำเกรงโยชูวาตลอดชีวิตของโยชูวาเหมือนที่เคยยำเกรงโมเสส

15 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า 16 “จงสั่งปุโรหิตผู้หามหีบแห่งพันธสัญญาให้ขึ้นจากแม่น้ำจอร์แดน”

17 โยชูวาก็ออกคำสั่งแก่ปุโรหิตว่า “จงขึ้นมาจากแม่น้ำจอร์แดน”

18 ปุโรหิตจึงหามหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นจากแม่น้ำ ทันทีที่เท้าของพวกเขาแตะพื้นตลิ่ง สายน้ำก็ไหลกลับลงท่วมตลิ่งดังเดิม

19 ในวันที่สิบของเดือนแรก เหล่าประชากรข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปตั้งค่ายพักแรมที่กิลกาล ชิดเขตแดนด้านตะวันออกของเมืองเยรีโค 20 โยชูวาก็ให้ตั้งหินสิบสองก้อนที่ยกมาจากแม่น้ำจอร์แดนนั้นไว้ที่กิลกาล 21 เขากล่าวแก่ชนอิสราเอลว่า “ในอนาคตเมื่อลูกหลานของท่านถามว่า ‘ก้อนหินเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไร?’ 22 จงบอกเขาว่า ‘อิสราเอลเดินข้ามแม่น้ำจอร์แดนบนพื้นแห้ง’ 23 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงบันดาลให้แม่น้ำจอร์แดนแห้งต่อหน้าพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะข้ามไปได้ เหมือนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเคยทำให้ทะเลแดง[b]แห้งเป็นทางต่อหน้าเราจนพวกเราได้ข้ามไป 24 ทั้งนี้เพื่อชาวโลกทั้งปวงจะรู้ว่าพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นทรงอานุภาพ และเพื่อท่านทั้งหลายจะยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านตลอดไป”

สดุดี 129-131

(บทเพลงใช้แห่ขึ้นไปยังเยรูซาเล็ม)

129 พวกเขาข่มเหงรังแกข้าพเจ้าอย่างหนักตั้งแต่วัยเยาว์
ให้อิสราเอลกล่าวเถิดว่า
พวกเขาข่มเหงรังแกข้าพเจ้าอย่างหนักตั้งแต่วัยเยาว์
ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ชนะข้าพเจ้า
พวกเขาทำนาบนหลังข้าพเจ้า
และฝากรอยไถไว้ยาว
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชอบธรรม
พระองค์ทรงตัดเชือกมัดของคนชั่วออก ปลดปล่อยข้าพเจ้าให้เป็นอิสระ

ขอให้ผู้ที่เกลียดชังศิโยน
ล่าถอยกลับไปด้วยความอับอาย
ขอให้พวกเขาเป็นเหมือนหญ้าบนหลังคา
ซึ่งเหี่ยวเฉาไปเมื่อยังไม่ทันโต
ซึ่งคนเก็บไม่แยแส
และคนมัดก็ยังเมิน
ขอให้ทุกคนที่ผ่านไปมาปฏิเสธที่จะอวยพรพวกเขาว่า
“ขอพระพรขององค์พระผู้เป็นเจ้าจงมีแก่ท่าน
เราขออวยพรท่านในพระนามพระยาห์เวห์”

(บทเพลงใช้แห่ขึ้นไปยังเยรูซาเล็ม)

130 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์จากห้วงลึก
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสดับฟังเสียงของข้าพระองค์
ขอทรงเงี่ยพระกรรณ
รับฟังคำทูลวิงวอนขอความเมตตาของข้าพระองค์ด้วยเถิด

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า หากพระองค์ทรงบันทึกบาปทั้งหลายไว้
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ใดเล่าจะยืนหยัดอยู่ได้?
แต่เพราะพระองค์ทรงอภัยโทษ
พระองค์จึงทรงเป็นที่ยำเกรง

ข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเฝ้าคอย
และฝากความหวังไว้ที่พระวจนะของพระองค์
จิตวิญญาณของข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า
ยิ่งกว่าคนยามคอยเวลารุ่งเช้า
ยิ่งกว่าคนยามคอยเวลารุ่งเช้า

อิสราเอลเอ๋ย จงฝากความหวังไว้ที่
องค์พระผู้เป็นเจ้า
เพราะความรักมั่นคงอยู่ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า
การไถ่อันสมบูรณ์อยู่ที่พระองค์
พระองค์เองจะทรงไถ่อิสราเอล
จากบาปทั้งสิ้นของพวกเขา

(บทเพลงใช้แห่ขึ้นไปยังเยรูซาเล็ม บทประพันธ์ของดาวิด)

131 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า จิตใจของข้าพระองค์ไม่ได้ลำพอง
นัยน์ตาของข้าพระองค์ไม่ได้ยโส
ข้าพระองค์ไม่ได้คิดการใหญ่
หรือทำอะไรเกินตัว
แต่ข้าพระองค์สงบสำรวมจิตวิญญาณ
เหมือนเด็กที่หย่านมแล้วซุกอยู่ที่อกแม่
จิตวิญญาณของข้าพระองค์สงบอยู่ภายใน ดั่งเด็กที่หย่านมแล้ว

อิสราเอลเอ๋ย จงฝากความหวังไว้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ทั้งบัดนี้และสืบไปนิรันดร์

อิสยาห์ 64

64 โอ อยากให้พระองค์ทรงแหวกฟ้าสวรรค์เสด็จลงมา
ให้ภูเขาทั้งหลายสั่นสะท้านต่อหน้าพระองค์!
เหมือนเมื่อไฟเผากิ่งไม้วอด
และทำให้น้ำเดือดพล่าน
ขอโปรดเสด็จมาเพื่อทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่ประจักษ์แก่เหล่าศัตรู
ทำให้นานาประชาชาติสั่นสะท้านต่อหน้าพระองค์!
เพราะเมื่อพระองค์ทรงทำสิ่งที่น่าครั่นคร้ามซึ่งข้าพระองค์ทั้งหลายไม่คาดคิด
คือพระองค์เสด็จลงมา ภูเขาทั้งหลายก็สั่นสะท้านต่อหน้าพระองค์
ตั้งแต่ครั้งโบราณไม่เคยมีใครได้ยิน
ไม่เคยมีใครได้ฟัง
ไม่เคยมีใครได้เห็นพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์
ผู้ทรงกระทำการเพื่อคนทั้งปวงที่รอคอยพระองค์
พระองค์เสด็จมาช่วยเหลือคนทั้งหลายที่ยินดีทำสิ่งที่ถูกต้อง
ผู้ระลึกถึงวิถีทางของพระองค์
แต่เมื่อข้าพระองค์ทั้งหลายยังคงทำบาปขัดขืนพระมรรคา
พระองค์ก็ทรงพระพิโรธ
แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายจะรอดได้อย่างไร?
ข้าพระองค์ทั้งปวงกลายเป็นผู้มีมลทิน
ความประพฤติอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งปวงเหมือนผ้าขี้ริ้วโสโครก
ข้าพระองค์ทั้งหลายเหี่ยวเฉาประหนึ่งใบไม้ร่วง
และบาปของข้าพระองค์ทั้งหลายเหมือนลมพัดเอาพวกข้าพระองค์ปลิวหายไป
ไม่มีสักคนร้องทูลพระนามของพระองค์
หรือขวนขวายยึดมั่นพระองค์ไว้
เพราะพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์จากข้าพระองค์ทั้งหลาย
และทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเสื่อมเสียไปเพราะบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย

ถึงกระนั้น ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นดินเหนียว พระองค์ทรงเป็นช่างปั้น
ข้าพระองค์ทั้งหลายล้วนเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขออย่าทรงพระพิโรธมากเกินไป
ขออย่าทรงจดจำบาปของข้าพระองค์ทั้งหลายไปตลอดกาล
โอ ข้าพระองค์ทั้งหลายอธิษฐาน ขอโปรดทอดพระเนตรเหล่าข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นประชากรของพระองค์
10 นครบริสุทธิ์ของพระองค์กลายเป็นทะเลทราย
แม้แต่ศิโยนก็เป็นทะเลทราย เยรูซาเล็มเป็นที่ถูกทิ้งร้าง
11 พระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์และมีสง่าราศีของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ซึ่งเหล่าบรรพบุรุษของข้าพระองค์ใช้เป็นที่สรรเสริญพระองค์นั้นถูกเผาวอดวาย
และทุกสิ่งที่พวกเราถือว่าล้ำค่าก็อยู่ในสภาพปรักหักพัง
12 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงเพียงนี้แล้ว พระองค์จะยังคงยับยั้งพระองค์ไว้หรือ?
พระองค์จะยังคงนิ่งเงียบและลงโทษข้าพระองค์ทั้งหลายอย่างเหลือประมาณอยู่หรือ?

มัทธิว 12

เจ้าเหนือวันสะบาโต(A)

12 ครั้งนั้นพระเยซูเสด็จผ่านทุ่งนาในวันสะบาโต สาวกของพระองค์หิวจึงเด็ดรวงข้าวมากิน เมื่อพวกฟาริสีเห็นก็ทูลพระองค์ว่า “ดูเถิด! พวกศิษย์ของท่านทำสิ่งที่ผิดบัญญัติในวันสะบาโต”

พระองค์ตรัสตอบว่า “พวกท่านไม่ได้อ่านหรือว่าดาวิดทำอะไรเมื่อเขากับพรรคพวกหิวโหย? ดาวิดเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าและเขากับพวกกินขนมปังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติ เพราะมีแต่ปุโรหิตเท่านั้นที่รับประทานขนมปังศักดิ์สิทธิ์ได้ ท่านไม่ได้อ่านในหนังสือบทบัญญัติหรือที่ว่าในวันสะบาโตปุโรหิตในพระวิหารทำงานของตนซึ่งเป็นการละเมิดกฎวันสะบาโต แต่ไม่มีความผิด? เราบอกท่านว่า ผู้[a]ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าพระวิหารอยู่ที่นี่ หากท่านเข้าใจความหมายของข้อความที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ใช่เครื่องบูชา’[b] ท่านก็คงจะไม่กล่าวโทษผู้ที่ไม่มีความผิด เพราะบุตรมนุษย์ทรงเป็นเจ้าเหนือวันสะบาโต”

จากที่นั่นพระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาของพวกเขา 10 และชายมือลีบคนหนึ่งอยู่ที่นั่น พวกเขาหาเหตุที่จะจับผิดพระองค์จึงทูลถามว่า “การรักษาโรคในวันสะบาโตผิดบัญญัติหรือไม่?”

11 พระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า “หากใครในพวกท่านมีแกะตัวหนึ่งและแกะนั้นตกบ่อในวันสะบาโต เขาจะไม่ฉุดดึงแกะขึ้นจากบ่อหรือ? 12 คนๆ หนึ่งมีค่ายิ่งกว่าแกะตัวหนึ่งสักเพียงใด ฉะนั้นการทำความดีในวันสะบาโตก็ถูกต้องตามบทบัญญัติแล้ว”

13 แล้วพระองค์ตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงเหยียดมือออกมา” เขาจึงเหยียดมือออกและมือนั้นก็กลับเป็นปกติดีเหมือนมืออีกข้างหนึ่ง 14 แต่พวกฟาริสีออกไปวางแผนกันว่าจะฆ่าพระเยซูได้อย่างไร

ผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเลือก

15 พระเยซูทรงทราบเช่นนี้จึงปลีกพระองค์ไปจากที่นั่น คนเป็นอันมากติดตามพระองค์มาและพระองค์ทรงรักษาคนป่วยของพวกเขาให้หายโรคทุกคน 16 พระองค์ทรงเตือนพวกเขาไม่ให้แพร่งพรายว่าพระองค์คือใคร 17 ทั้งนี้เป็นจริงตามที่ได้กล่าวไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า

18 “นี่คือผู้รับใช้ของเราซึ่งเราเลือกสรรไว้
ผู้ที่เรารักและชื่นชม
เราจะส่งวิญญาณของเราลงมาเหนือเขา
และเขาจะประกาศความยุติธรรมแก่บรรดาประชาชาติ
19 เขาจะไม่วิวาทหรือส่งเสียงร้อง
จะไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงของเขาที่ถนน
20 ไม้อ้อช้ำแล้วเขาจะไม่หัก
และไส้ตะเกียงที่ริบหรี่เขาจะไม่ดับ
จนกว่าเขาจะนำความยุติธรรมไปสู่ชัยชนะ
21 บรรดาประชาชาติจะหวังใจในนามของเขา”[c]

พระเยซูกับเบเอลเซบุบ(B)

22 แล้วเขาพาชายที่มีผีสิงคนหนึ่งซึ่งทั้งตาบอดและเป็นใบ้มาหาพระองค์ พระเยซูทรงรักษาคนนั้น เขาจึงพูดและมองเห็นได้ 23 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจและพูดกันว่า “เป็นไปได้ไหมที่คนนี้คือบุตรดาวิด?”

24 แต่เมื่อพวกฟาริสีได้ยินก็พูดว่า “คนนี้ขับผีออกโดยอาศัยเบเอลเซบุบ[d]เจ้าแห่งผีเท่านั้นเอง”

25 พระเยซูทรงทราบความคิดของพวกเขาจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ทุกๆ อาณาจักรที่แตกแยกกันเองย่อมถูกทำลาย และทุกๆ บ้านเมืองหรือครัวเรือนที่แตกแยกกันเองย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ 26 หากซาตานขับไล่ซาตาน มันก็แตกแยกกับตัวเอง แล้วอาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร? 27 และหากเราขับผีออกโดยอาศัยเบเอลเซบุบ คนของพวกท่านเล่าขับผีออกโดยอาศัยใคร? ฉะนั้นพวกเขาจะตัดสินท่าน 28 แต่หากเราขับผีออกโดยพระวิญญาณของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงพวกท่านแล้ว

29 “หรือคนจะสามารถเข้าไปในบ้านของคนที่แข็งแรงและขนเอาทรัพย์สินของเขาไปได้อย่างไร ถ้าไม่จับคนแข็งแรงนั้นมัดไว้ก่อน? จากนั้นจึงปล้นบ้านของเขาได้

30 “ผู้ใดไม่อยู่ฝ่ายเราก็เป็นปฏิปักษ์กับเรา และผู้ใดไม่รวบรวมไว้ให้เราก็ทำให้กระจัดกระจายไป 31 ฉะนั้นเราบอกท่านว่าบาปและการหมิ่นประมาททุกอย่างทรงอภัยให้มนุษย์ได้ แต่การหมิ่นประมาทพระวิญญาณทรงอภัยให้ไม่ได้ 32 ผู้ใดกล่าวล่วงเกินบุตรมนุษย์จะทรงอภัยให้ แต่ผู้ใดกล่าวล่วงเกินพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงอภัยให้ไม่ว่าในยุคนี้หรือในยุคหน้า

33 “ถ้าต้นไม้ดีผลก็จะดี ถ้าต้นไม้เลวผลก็จะเลว เพราะจะรู้จักต้นไม้ได้ก็โดยผลของมัน 34 เจ้าชาติงูร้าย เจ้าที่เป็นคนชั่วจะพูดสิ่งที่ดีได้อย่างไร? เพราะปากพูดสิ่งที่ล้นออกมาจากใจ 35 คนดีนำสิ่งดีๆ ออกมาจากความดีที่สะสมไว้ในตัวเขา ส่วนคนชั่วนำสิ่งชั่วๆ ออกมาจากความชั่วที่สะสมอยู่ในตัวเขา 36 แต่เราบอกท่านว่าในวันพิพากษามนุษย์จะต้องให้การเกี่ยวกับถ้อยคำพล่อยๆ ทุกคำที่เขาพูดออกมา 37 เพราะท่านจะพ้นผิดหรือถูกลงโทษก็ขึ้นอยู่กับถ้อยคำของท่าน”

หมายสำคัญของโยนาห์(C)

38 แล้วมีบางคนในพวกฟาริสีและธรรมาจารย์มาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ เราอยากเห็นหมายสำคัญจากท่าน”

39 พระองค์ตรัสว่า “คนในยุคที่ชั่วร้ายและทรยศต่อพระเจ้า ขอแต่หมายสำคัญ! แต่เขาจะไม่ได้รับหมายสำคัญอื่นยกเว้นหมายสำคัญของผู้เผยพระวจนะโยนาห์ 40 เพราะโยนาห์อยู่ในท้องปลาใหญ่สามวันสามคืนฉันใด บุตรมนุษย์ก็จะอยู่ในใจกลางแผ่นดินโลกสามวันสามคืนฉันนั้น 41 ในวันพิพากษาชาวนีนะเวห์จะยืนขึ้นพร้อมกับคนในยุคนี้และกล่าวโทษพวกเขาเพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจใหม่โดยคำเทศนาของโยนาห์และบัดนี้ผู้[e]ที่ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่ 42 ในวันพิพากษาราชินีแห่งแดนใต้จะลุกขึ้นพร้อมกับคนในยุคนี้และกล่าวโทษพวกเขา เพราะพระนางมาจากสุดโลกเพื่อรับฟังสติปัญญาของโซโลมอน และบัดนี้ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าโซโลมอนก็อยู่ที่นี่

43 “เมื่อวิญญาณชั่ว[f]ออกจากผู้ใดแล้ว มันก็ไปทั่วถิ่นแล้ง แสวงหาที่พักและไม่พบ 44 มันจึงว่า ‘ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าจากมา’ พอมาถึงก็พบว่าบ้านนั้นว่างอยู่ เก็บกวาดสะอาด และจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย 45 จึงไปพาผีอื่นๆ อีกเจ็ดตนซึ่งชั่วร้ายยิ่งกว่ามันเข้ามาอาศัยที่นั่นด้วย และในที่สุดสภาพของคนนั้นก็เลวร้ายยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีก คนในยุคที่ชั่วร้ายนี้ก็จะเป็นเช่นนั้น”

มารดาและน้องชายของพระเยซู(D)

46 ขณะพระเยซูกำลังตรัสอยู่กับฝูงชน มารดาและบรรดาน้องชายของพระองค์มายืนอยู่ด้านนอกต้องการจะพูดกับพระองค์ 47 มีผู้ทูลพระเยซูว่า “มารดาและน้องชายของท่านมายืนอยู่ด้านนอกต้องการจะพูดกับท่าน”[g]

48 พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า “ใครคือมารดาและใครคือพี่น้องของเรา?” 49 พระองค์ทรงชี้ไปที่เหล่าสาวกของพระองค์และตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา 50 เพราะผู้ใดทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราในสวรรค์ ผู้นั้นคือมารดาและพี่น้องชายหญิงของเรา”

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.