Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
เฉลยธรรมบัญญัติ 4

บัญชาให้เชื่อฟัง

อิสราเอลเอ๋ย บัดนี้จงฟัง[a]กฎหมายและบทบัญญัติซึ่งข้าพเจ้าจะสอน จงปฏิบัติตามเพื่อท่านจะมีชีวิตอยู่และเข้าไปครอบครองดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านกำลังยกให้ท่าน อย่าเพิ่มเติมหรือตัดทอนข้อความใดๆ ในบทบัญญัตินี้ แต่จงปฏิบัติตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านซึ่งข้าพเจ้ามอบให้แก่ท่าน

ท่านก็ได้เห็นกับตาแล้วถึงสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำที่บาอัลเปโอร์ พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงประหารทุกคนที่ติดตามพระบาอัลแห่งเปโอร์ แต่ทุกคนที่ยึดมั่นในพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านยังมีชีวิตอยู่ตราบจนทุกวันนี้

ดูเถิด ข้าพเจ้าได้สอนกฎหมายและบทบัญญัติตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงบัญชาแก่ท่าน เพื่อท่านจะปฏิบัติตามในดินแดนที่ท่านจะเข้ายึดครอง จงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อแสดงให้ประชาชาติทั้งหลายเห็นถึงสติปัญญาและความเข้าใจของท่าน เมื่อพวกเขาได้ยินถึงกฎหมายเหล่านี้ พวกเขาจะกล่าวว่า “ชนชาติยิ่งใหญ่นี้มีปัญญาและมีความเข้าใจจริงๆ” ชาติใดเล่าที่ยิ่งใหญ่ขนาดมีพระเจ้าของพวกเขาอยู่ใกล้ชิดอย่างที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงอยู่ใกล้ชิดเราทุกครั้งที่เราทูลอธิษฐานต่อพระองค์? และมีชาติใดเล่าที่ยิ่งใหญ่ขนาดมีกฎหมายและบทบัญญัติอันชอบธรรมเหมือนบทบัญญัติซึ่งข้าพเจ้ามอบให้พวกท่านในวันนี้?

แต่จงรักษาตัวรักษาใจของท่านให้ดีเพื่อท่านจะไม่หลงลืมสิ่งที่ท่านเห็นกับตา ไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เลือนรางจากใจตราบชั่วชีวิต จงสอนลูกหลานสืบต่อกันไป 10 จงรำลึกถึงวันที่ท่านยืนอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายที่ภูเขาโฮเรบ เมื่อพระองค์ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเรียกประชากรมาชุมนุมต่อหน้าเรา เพื่อฟังถ้อยคำของเรา เพื่อเขาจะเรียนรู้ที่จะยำเกรงเราตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินนี้ และเพื่อเขาจะสอนบัญญัติของเราแก่ลูกหลาน” 11 ท่านทั้งหลายได้เข้ามาใกล้และยืนอยู่ที่เชิงเขาซึ่งมีไฟลุกโชติช่วงขึ้นสู่ท้องฟ้า รายรอบด้วยเมฆดำและความมืดทึบ 12 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับท่านจากเปลวไฟ ท่านได้ยินพระดำรัสแต่ไม่ได้เห็นรูปพรรณสัณฐานของพระองค์ มีแต่พระสุรเสียงเท่านั้น 13 พระองค์ทรงประกาศพันธสัญญาของพระองค์ คือบัญญัติสิบประการซึ่งพระองค์ทรงบัญชาให้ท่านปฏิบัติตาม แล้วทรงจารึกบัญญัตินั้นไว้บนศิลาสองแผ่น 14 ครั้งนั้นเององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้ข้าพเจ้าสอนกฎหมายและบทบัญญัติซึ่งท่านจะต้องปฏิบัติตามในดินแดนที่ท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยึดครอง

ห้ามกราบไหว้รูปเคารพ

15 พวกท่านไม่ได้เห็นรูปพรรณสัณฐานใดๆ ขององค์พระผู้เป็นเจ้าในวันที่พระองค์ตรัสกับท่านจากไฟที่ภูเขาโฮเรบ ฉะนั้นจงระวังตัวให้ดี 16 เพื่อท่านจะไม่พินาศ โดยสร้างรูปจำลองของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นรูปเคารพในลักษณะใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะมีลักษณะเหมือนผู้ชายหรือผู้หญิง 17 เหมือนสัตว์ต่างๆ ในแผ่นดินหรือนกในอากาศ 18 เหมือนสัตว์เลื้อยคลานหรือสัตว์น้ำ 19 และเมื่อท่านเงยหน้าดูท้องฟ้าและเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวอันเป็นวัตถุในท้องฟ้าทั้งปวง อย่าปล่อยใจไปกราบไหว้สิ่งเหล่านั้น และนมัสการสิ่งต่างๆ ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงปล่อยให้ชนชาติอื่นๆ ทั้งปวงทั่วใต้ฟ้าปฏิบัติ 20 แต่ส่วนท่าน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำออกมาจากเตาหลอมเหล็ก คือออกจากอียิปต์เพื่อเป็นประชากรในกรรมสิทธิ์ของพระองค์อย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้

21 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธข้าพเจ้าเพราะพวกท่านและทรงสัญญาอย่างหนักแน่นว่า ข้าพเจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าสู่ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะประทานให้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่าน 22 ข้าพเจ้าจะต้องตายในดินแดนฟากนี้ จะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป ส่วนท่านจะข้ามไปยึดครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์นั้น 23 จงระวัง อย่าลืมพันธสัญญาที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงกระทำไว้กับท่าน อย่าสร้างรูปเคารพเป็นรูปทรงใดๆ ให้กับตนตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงห้ามไว้ 24 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเป็นไฟอันเผาผลาญ เป็นพระเจ้าผู้ทรงหึงหวง

25 ในอนาคตเมื่อท่านลงหลักปักฐานในดินแดนนั้นและมีลูกมีหลาน หากท่านเสื่อมทรามจนสร้างรูปเคารพใดๆ ซึ่งเป็นการกระทำที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านและยั่วยุพระพิโรธของพระองค์ 26 วันนี้ข้าพเจ้าขอให้ฟ้าดินเป็นพยานว่าไม่ช้าท่านจะพินาศย่อยยับจากดินแดนซึ่งพวกท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปครอบครอง ท่านจะอยู่ที่นั่นได้ไม่นานและจะพินาศไปอย่างแน่นอน 27 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงขับไล่ท่านให้กระจัดกระจายไปอยู่ท่ามกลางชนชาติต่างๆ ท่านจะเหลือรอดเพียงไม่กี่คนท่ามกลางประชาชาติเหล่านั้น 28 ที่นั่นท่านจะนมัสการบรรดาเทพเจ้าที่มนุษย์สร้างขึ้นจากไม้และหิน ซึ่งมองก็ไม่เห็น ฟัง กิน หรือดมอะไรก็ไม่ได้ 29 แต่หากท่านแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านที่นั่น ท่านจะพบพระองค์หากท่านแสวงหาพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจ 30 เมื่อท่านทุกข์ลำเค็ญเพราะสิ่งทั้งปวงนี้เกิดขึ้นแก่ท่านในเวลาต่อมา ท่านจะหวนกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านและเชื่อฟังพระองค์ 31 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเมตตา พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้ง หรือทำลายท่าน หรือลืมพันธสัญญาที่ทรงให้ไว้กับบรรพบุรุษของท่านซึ่งพระองค์ทรงยืนยันกับพวกเขาโดยคำปฏิญาณ

พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า

32 จงมองย้อนดูประวัติศาสตร์ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ไว้ในโลก มองจากฟ้าข้างนี้ถึงฟ้าข้างโน้น เคยมีอะไรที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้เกิดขึ้นมาก่อนหรือ? มีใครเคยได้ยินอะไรอย่างนี้ด้วยหรือ? 33 มีคนชาติใดบ้างที่ยังมีชีวิตอยู่หลังจากได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสออกมาจากไฟเหมือนที่ท่านได้ประสบมา? 34 มีพระใดเล่าที่นำชนชาติหนึ่งออกมาจากอีกชนชาติหนึ่งมาเป็นของพระองค์เองโดยการทดสอบ โดยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ โดยสงคราม โดยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และพระกรที่เหยียดออก โดยพระราชกิจอันยิ่งใหญ่และน่าครั่นคร้าม เหมือนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงกระทำเพื่อท่านในอียิปต์ต่อหน้าต่อตาท่าน?

35 พระองค์ทรงสำแดงสิ่งเหล่านี้เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า นอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใด 36 จากฟ้าสวรรค์พระองค์ทรงให้ท่านได้ยินพระสุรเสียงเพื่อท่านจะอยู่ในโอวาท ในโลกพระองค์ทรงโปรดให้ท่านเห็นไฟมหึมาของพระองค์ และท่านได้ยินพระดำรัสจากไฟนั้น 37 ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงรักบรรพบุรุษของท่านและทรงเลือกสรรวงศ์วานของเขาเหล่านั้น พระองค์จึงทรงนำท่านออกจากอียิปต์ด้วยพระองค์เองและด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 38 ทรงขับไล่ชนชาติต่างๆ ซึ่งยิ่งใหญ่และเข้มแข็งกว่าท่านมากนัก และประทานดินแดนของพวกเขาเหล่านั้นให้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่านดังเช่นทุกวันนี้

39 ในวันนี้จงรับรู้และจำใส่ใจว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าทั้งในฟ้าสวรรค์เบื้องบนและแผ่นดินโลกเบื้องล่าง ไม่มีพระเจ้าอื่นใด 40 จงปฏิบัติตามกฎหมายและพระบัญชาของพระองค์ซึ่งข้าพเจ้าแจ้งท่านในวันนี้ เพื่อท่านกับลูกหลานจะอยู่เย็นเป็นสุข และอาศัยอยู่ยาวนานในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านตลอดไป

เมืองลี้ภัย(A)

41 จากนั้นโมเสสกำหนดเมืองสามเมืองทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน 42 สำหรับเป็นเมืองลี้ภัยของผู้ที่ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาและไม่ได้วางแผนการร้ายไว้ล่วงหน้า เขาจะได้หนีไปเมืองลี้ภัยเมืองใดเมืองหนึ่งเพื่อรักษาชีวิตของตนไว้ 43 โดยให้เผ่ารูเบนลี้ภัยไปเมืองเบเซอร์บนที่ราบสูงในถิ่นกันดาร ให้เผ่ากาดไปเมืองราโมทในกิเลอาด และให้เผ่ามนัสเสห์ไปเมืองโกลานในบาชาน

บทนำสู่บทบัญญัติ

44 ต่อไปนี้คือบทบัญญัติซึ่งโมเสสมอบให้ชนอิสราเอล 45 เป็นข้อกำหนด กฎหมาย และบทบัญญัติซึ่งโมเสสให้ไว้เมื่อพวกเขาออกจากอียิปต์ 46 และมาอยู่ที่หุบเขาใกล้เบธเปโอร์ ด้านตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ในดินแดนซึ่งเคยเป็นของกษัตริย์สิโหนของชาวอาโมไรต์ผู้ครอบครองในเฮชโบน โมเสสและชนชาติอิสราเอลได้พิชิตเขาขณะออกมาจากอียิปต์ 47 และยึดครองดินแดนของเขาและของกษัตริย์โอกแห่งบาชาน กษัตริย์ทั้งสองของชาวอาโมไรต์ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน 48 ดินแดนนี้เริ่มจากอาโรเออร์ตรงริมโกรกธารอารโนนจดภูเขาสีรีออน[b] (คือเฮอร์โมน) 49 รวมทั้งดินแดนอาราบาห์ทั้งหมดทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนจนถึงทะเลตาย[c]แถบลาดเขาปิสกาห์

สดุดี 86-87

(คำอธิษฐานของดาวิด)

86 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสดับฟังและตอบข้าพระองค์ด้วยเถิด
เพราะข้าพระองค์ยากจนและขัดสน
ขอทรงปกป้องชีวิตของข้าพระองค์เพราะข้าพระองค์อุทิศตนเพื่อพระองค์
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์
โปรดช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ซึ่งวางใจในพระองค์
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์วันยังค่ำ
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดประทานความชื่นชมยินดีแก่ผู้รับใช้ของพระองค์
เพราะข้าพระองค์ชูจิตวิญญาณของข้าพระองค์ขึ้นต่อพระองค์

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงแสนดีและพร้อมที่จะอภัยโทษ
ทรงเปี่ยมด้วยความรักมั่นคงต่อทุกคนที่ร้องทูลพระองค์
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์เถิด
ขอทรงสดับคำทูลวิงวอนขอความเมตตาของข้าพระองค์
ในยามเดือดร้อน ข้าพระองค์จะร้องทูลพระองค์
เพราะพระองค์จะทรงตอบข้าพระองค์

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ท่ามกลางพระทั้งหลาย ไม่มีพระองค์ใดเสมอเหมือนพระองค์
และไม่มีกิจใดๆ เทียบเท่าพระราชกิจของพระองค์
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า มวลประชาชาติซึ่งพระองค์ทรงสร้าง
จะมากราบนมัสการต่อหน้าพระองค์
พวกเขาจะถวายพระเกียรติสิริแด่พระนามของพระองค์
10 เพราะพระองค์ทรงยิ่งใหญ่และกระทำการอัศจรรย์
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว

11 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสอนวิถีทางของพระองค์แก่ข้าพระองค์
เพื่อข้าพระองค์จะดำเนินในความจริงของพระองค์
ขอทรงประทานจิตใจแน่วแน่
เพื่อข้าพระองค์จะยำเกรงพระนามของพระองค์
12 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์หมดหัวใจ
ข้าพระองค์จะเทิดทูนพระนามของพระองค์เป็นนิตย์
13 เพราะความรักที่ทรงมีต่อข้าพระองค์นั้นใหญ่หลวงนัก
พระองค์ทรงกอบกู้ข้าพระองค์จากห้วงลึกของหลุมฝังศพ

14 ข้าแต่พระเจ้า คนยโสโอหังโจมตีข้าพระองค์
กลุ่มคนโหดร้ายหมายเอาชีวิตข้าพระองค์
พวกเขาไม่ยำเกรงพระองค์
15 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเมตตากรุณาและทรงพระคุณ
ทรงพระพิโรธช้า เปี่ยมด้วยความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์
16 ขอทรงหันมาและเมตตาข้าพระองค์
ประทานกำลังของพระองค์แก่ผู้รับใช้ของพระองค์
และช่วยบุตรของหญิงรับใช้[a]ของพระองค์ด้วยเถิด
17 ขอประทานเครื่องหมายแห่งความโปรดปรานของพระองค์
เพื่อศัตรูของข้าพระองค์จะได้อับอาย
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะพระองค์ทรงช่วยและทรงปลอบโยนข้าพระองค์

(บทสดุดีของบุตรโคราห์ บทเพลง)

87 พระองค์ทรงวางรากฐานเมืองของพระองค์ไว้บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักประตูเมืองศิโยน
ยิ่งกว่าที่พำนักใดๆ ของยาโคบ

นครของพระเจ้าเอ๋ย
เจ้าจะเป็นที่ยกย่อง
เสลาห์
“เราจะเอ่ยถึงราหับ[b]และบาบิโลน
ในหมู่ผู้ที่รู้จักเรา
จะเอ่ยถึงฟีลิสเตียและไทระพร้อมกับคูช[c]
และจะกล่าวว่า ‘คนนี้[d]เกิดในศิโยน’ ”
แท้จริง ผู้คนจะกล่าวถึงศิโยนว่า
“คนนั้นคนนี้เกิดในศิโยน
และองค์ผู้สูงสุดจะทรงสถาปนานครนี้ไว้เอง”
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงบันทึกลงในทะเบียนชนชาติต่างๆ ว่า
“คนนี้เกิดในศิโยน”
เสลาห์

ขณะบรรเลงเพลง พวกเขาจะขับร้องว่า
“น้ำพุทั้งสิ้นของข้าพเจ้าอยู่ในนครนี้”

อิสยาห์ 32

อาณาจักรแห่งความชอบธรรม

32 ดูเถิด กษัตริย์องค์หนึ่งจะครองราชย์ด้วยความชอบธรรม
และบรรดาเจ้านายจะปกครองด้วยความยุติธรรม
แต่ละคนจะเป็นเหมือนที่กำบังลม
เป็นที่ลี้ภัยจากพายุ
เหมือนธารน้ำหลายสายในถิ่นกันดาร
และร่มเงาของศิลาใหญ่ในดินแดนอันแห้งระโหย

แล้วนัยน์ตาของผู้ที่มองเห็นจะไม่ถูกปิดอีกต่อไป
และหูของผู้ที่ได้ยินจะฟัง
จิตใจของผู้ที่หุนหันจะรู้และเข้าใจ
และลิ้นตะกุกตะกักจะพูดคล่องฉะฉาน
คนโง่จะไม่ได้รับการยกย่องว่าสูงศักดิ์อีกต่อไป
ทั้งพวกวายร้ายจะไม่ได้รับการเคารพนับถืออย่างสูงอีก
เพราะคนโง่พูดแต่เรื่องโฉดเขลา
จิตใจของเขาหมกมุ่นในความชั่วร้าย
เขาประพฤติชั่ว
และเผยแผ่เรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างผิดๆ
เขาไม่ให้สิ่งใดกับคนหิวโหย
และไม่ยอมให้น้ำกับคนกระหาย
วิธีการของพวกวายร้ายนั้นร้ายกาจ
เขาวางแผนชั่ว
เพื่อทำลายคนยากไร้ด้วยคำโกหก
แม้คำอ้อนวอนของคนขัดสนนั้นถูกต้องเที่ยงธรรม
ส่วนคนมีคุณธรรมคิดแต่สิ่งดีงาม
เขายืนหยัดอยู่ด้วยการกระทำที่ถูกต้องสูงส่ง

ผู้หญิงเยรูซาเล็ม

พวกเจ้า เหล่าผู้หญิงที่นอนเป็นทองไม่รู้ร้อน
จงลุกขึ้นและฟังเรา
เหล่าบุตรีผู้รู้สึกมั่นคง
จงฟังสิ่งที่เราจะพูด!
10 ในเวลาปีเศษๆ
ผู้ที่รู้สึกมั่นคงจะตัวสั่น
การเก็บเกี่ยวองุ่นจะล้มเหลว
และไม่มีการเก็บผลไม้
11 จงสั่นสะท้านเถิด หญิงผู้เรื่อยเฉื่อย
จงตัวสั่นงันงก พวกเจ้าเหล่าธิดาผู้รู้สึกมั่นคง!
จงเปลื้องเสื้อผ้าออก
และสวมเสื้อผ้ากระสอบเถิด
12 จงตีอกชกตัวเพราะเรื่องท้องทุ่งอันอุดมสมบูรณ์
และเพราะเถาองุ่นผลดก
13 และเพราะดินแดนแห่งประชากรของเรา
ซึ่งรกไปด้วยหนามน้อยใหญ่
จงไว้ทุกข์ให้บ้านเรือนทั้งปวงที่รื่นเริงเฮฮา
และให้นครสำมะเลเทเมาแห่งนี้
14 ป้อมปราการจะถูกทิ้งร้าง
นครที่อึกทึกจะถูกทอดทิ้ง
ที่มั่นและหอยามจะกลายเป็นดินแดนร้างตลอดไปเป็นนิตย์
เป็นที่สำราญของลา เป็นทุ่งหญ้าสำหรับฝูงแกะ
15 จนกระทั่งพระวิญญาณจะถูกเทจากเบื้องบนลงมาเหนือเรา
ถิ่นกันดารกลับกลายเป็นท้องทุ่งอันอุดมสมบูรณ์
และท้องทุ่งอันอุดมสมบูรณ์ดูเหมือนป่า
16 ความยุติธรรมจะพำนักในถิ่นกันดาร
และความชอบธรรมจะอาศัยในท้องทุ่งอันอุดมสมบูรณ์
17 ผลของความชอบธรรมจะเป็นสันติสุข
สิ่งที่เกิดจากความชอบธรรมจะเป็นความสงบและความมั่นใจตลอดกาล
18 ชนชาติของเราจะอาศัยอยู่ในที่พำนักอันสงบสุข
ในบ้านที่ปลอดภัย
ในที่พักอันปราศจากการรบกวน
19 ถึงแม้ว่าลูกเห็บทำให้ป่าเตียน
และนครนั้นราบเป็นหน้ากลอง
20 แต่พวกท่านจะเป็นสุขยิ่งนัก
เมื่อท่านได้หว่านเมล็ดพืชของท่านริมธารทุกแห่ง
และปล่อยฝูงสัตว์และฝูงลาของท่านอยู่อย่างเสรี

วิวรณ์ 2

ถึงคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัส

“จงเขียนถึงทูตสวรรค์[a]แห่งคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัสว่า

พระองค์ผู้ทรงถือดาวทั้งเจ็ดไว้ในพระหัตถ์ขวาและทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางคันประทีปทองคำทั้งเจ็ดนั้นตรัสว่า เรารู้ถึงการกระทำของเจ้า ความเหนื่อยยากตรากตรำของเจ้า และความอดทนของเจ้า เรารู้ว่าเจ้าไม่อาจทนต่อคนชั่ว เจ้าได้ทดสอบบรรดาผู้อ้างตัวเป็นอัครทูตแต่ไม่ได้เป็น เจ้าจับได้ว่าเขาโกหก เรารู้ว่าเจ้าได้อดทนบากบั่นและได้ทนความยากเข็ญเพื่อนามของเรา และเจ้าไม่ได้ระย่อท้อแท้

แต่เรามีข้อติติงเจ้าคือ เจ้าได้ละทิ้งความรักดั้งเดิมของเจ้า จงระลึกว่าเจ้าได้ร่วงหล่นลงมามากเพียงใด! จงกลับใจใหม่และทำสิ่งที่เจ้าเคยทำตั้งแต่แรก ถ้าเจ้าไม่กลับใจใหม่เราจะมาหาเจ้าและยกคันประทีปของเจ้าออกจากที่ แต่เจ้ายังมีข้อดีอยู่บ้างตรงที่เจ้าชิงชังข้อปฏิบัติของพวกนิโคเลาส์นิยมซึ่งเราก็ชิงชังด้วย

ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ใดมีชัยชนะเราจะให้เขามีสิทธิ์รับประทานผลจากต้นไม้แห่งชีวิตในอุทยานสวรรค์ของพระเจ้า

ถึงคริสตจักรที่เมืองสเมอร์นา

“จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองสเมอร์นาว่า

พระองค์ผู้ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย ผู้ได้สิ้นพระชนม์และกลับมีชีวิตขึ้นมาอีกตรัสว่า เรารู้ถึงการทนทุกข์และความยากไร้ของเจ้า กระนั้นเจ้าก็มั่งมี! เรารู้ถึงคำให้ร้ายของบรรดาผู้ที่อ้างว่าตนเป็นยิวและไม่ได้เป็น แต่เป็นธรรมศาลาของซาตาน 10 อย่ากลัวการทนทุกข์ที่เจ้ากำลังจะเผชิญ เราบอกเจ้าว่ามารจะขังพวกเจ้าบางคนไว้ในคุกเพื่อทดสอบเจ้า และเจ้าจะทนทุกข์เพราะการข่มเหงถึงสิบวัน จงสัตย์ซื่อแม้ต้องตายและเราจะมอบมงกุฎแห่งชีวิตให้แก่เจ้า

11 ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ใดมีชัยชนะจะไม่ถูกทำร้ายโดยความตายครั้งที่สองเลย

ถึงคริสตจักรที่เมืองเปอร์กามัม

12 “จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองเปอร์กามัมว่า

พระองค์ผู้ทรงถือดาบสองคมตรัสว่า 13 เรารู้ว่าเจ้าอาศัยอยู่ที่ไหน ที่นั่นเป็นที่ซึ่งซาตานครองบัลลังก์ กระนั้นเจ้าก็ยังคงภักดีต่อนามของเรา เจ้าไม่ได้ละทิ้งความเชื่อที่เจ้ามีในเราแม้ในช่วงที่อันทีพาสผู้เป็นพยานให้เราอย่างสัตย์ซื่อถูกฆ่าตายในเมืองของเจ้า คือที่ซึ่งซาตานอยู่

14 กระนั้นเรามีบางข้อที่จะติติงเจ้าคือ พวกเจ้าบางคนยึดถือคำสอนของบาลาอัมซึ่งเสี้ยมสอนบาลาคให้มาล่ออิสราเอลให้ทำบาปด้วยการกินอาหารที่ได้เซ่นไหว้แก่รูปเคารพและการทำผิดศีลธรรมทางเพศ 15 เช่นเดียวกันนั้นก็มีบางคนที่ยึดถือคำสอนของพวกนิโคเลาส์นิยม 16 เพราะฉะนั้นจงกลับใจใหม่! มิฉะนั้นอีกไม่นานเราจะมาหาเจ้าและสู้กับคนเหล่านั้นด้วยดาบแห่งปากของเรา

17 ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ใดมีชัยชนะเราจะให้มานาที่ซ่อนอยู่ และให้หินขาวอันมีนามใหม่จารึกไว้ซึ่งผู้ที่รับเท่านั้นจึงจะรู้

ถึงคริสตจักรที่เมืองธิยาทิรา

18 “จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองธิยาทิราว่า

พระบุตรของพระเจ้าผู้ซึ่งมีพระเนตรดั่งเปลวไฟโชติช่วงและพระบาทดั่งทองสัมฤทธิ์สุกปลั่งตรัสว่า 19 เรารู้ถึงการกระทำของเจ้า ความรักและความเชื่อของเจ้า การรับใช้และความอดทนบากบั่นของเจ้า และเรารู้ว่าปัจจุบันเจ้ากำลังทำสิ่งเหล่านี้มากยิ่งกว่าตอนแรก

20 กระนั้นเรามีข้อที่จะติติงเจ้าคือ เจ้าทนฟังเยเซเบลผู้หญิงที่เรียกตนเองว่าผู้เผยพระวจนะ คำสอนของนางทำให้ผู้รับใช้ของเราหลงไปประพฤติผิดทางเพศและกินของที่เซ่นไหว้แก่รูปเคารพ 21 เราให้โอกาสหญิงนั้นกลับใจจากความสำส่อนของนาง แต่นางก็ไม่ยอม 22 ดังนั้นเราจะโยนนางลงบนเตียงแห่งความทุกข์ทรมาน และให้บรรดาผู้ล่วงประเวณีกับหญิงนั้นทนทุกข์แสนสาหัส เว้นแต่พวกเขาจะกลับใจจากวิถีของนาง 23 เราจะประหารลูกๆ ของหญิงนั้น แล้วคริสตจักรทั้งปวงจะได้รู้ว่าเราคือผู้พิเคราะห์ความคิดจิตใจ และเราจะตอบแทนเจ้าแต่ละคนตามการกระทำของเจ้า 24 บัดนี้เรากล่าวกับพวกเจ้าที่เหลืออยู่ในธิยาทิรากับพวกเจ้าที่ไม่ยึดถือคำสอนของนาง และไม่ได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกกันว่าความลี้ลับของซาตานนั้น (เราจะไม่มอบภาระอื่นแก่เจ้า) 25 เพียงแต่จงยึดมั่นในสิ่งที่เจ้ามีอยู่จนกว่าเราจะมา

26 ผู้ใดมีชัยชนะและทำสิ่งที่เราประสงค์จนถึงที่สุด เราจะให้ผู้นั้นมีสิทธิอำนาจเหนือประชาชาติต่างๆ

27 ‘เขาจะปกครองคนเหล่านั้นด้วยคทาเหล็ก

จะฟาดพวกเขาให้แหลกเป็นชิ้นๆ เหมือนหม้อดิน’[b]

เช่นเดียวกับที่เราได้รับสิทธิอำนาจจากพระบิดาของเรา 28 เราจะมอบดาวแห่งรุ่งอรุณให้แก่เขาด้วย 29 ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.