M’Cheyne Bible Reading Plan
การสถาปนาอาโรนและบุตรชาย(A)
8 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 2 “จงนำอาโรนกับบรรดาบุตรชาย พร้อมทั้งเครื่องแต่งกายของพวกเขา น้ำมันเจิม วัวหนุ่มที่ใช้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป แกะผู้คู่หนึ่งกับกระจาดขนมปังไม่ใส่เชื้อมา 3 และเรียกอิสราเอลทั้งหมดมาชุมนุมกันที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ” 4 โมเสสก็ทำตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่ง และชุมชนทั้งหมดมาพร้อมหน้ากันที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ
5 โมเสสกล่าวกับชุมนุมประชากรว่า “นี่คือสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสสั่งให้ทำ” 6 แล้วโมเสสนำอาโรนและบรรดาบุตรชายของเขามาชำระกายด้วยน้ำ 7 ให้อาโรนสวมเสื้อตัวใน คาดสายคาดเอว สวมเสื้อคลุม และผูกเอโฟดด้วยแถบรัดเอวที่ทออย่างชำนาญ 8 แล้วคล้องทับทรวง สอดอูริมและทูมมิมไว้ในทับทรวง 9 และโพกผ้าโพกศีรษะกับแผ่นทองคำศักดิ์สิทธิ์บนหน้าผากของอาโรน ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้
10 แล้วโมเสสนำน้ำมันเจิมมาเจิมที่พลับพลาและอุปกรณ์แต่ละอย่าง เป็นการชำระให้บริสุทธิ์ 11 เขาเอาน้ำมันพรมแท่นบูชาเจ็ดครั้ง เจิมแท่นบูชาและภาชนะใช้สอยประจำแท่นทุกชิ้นและอ่างชำระกับฐานรองเพื่อชำระให้บริสุทธิ์ 12 เขาเทน้ำมันเจิมลงบนศีรษะของอาโรน เป็นการเจิมตั้งเขาและชำระเขาให้บริสุทธิ์ 13 แล้วเขานำบรรดาบุตรชายของอาโรนออกมา ให้สวมเสื้อตัวใน คาดสายคาดเอว และคาดผ้าคาดหน้าผากให้เขา ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้
14 จากนั้นโมเสสถวายวัวผู้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และให้อาโรนกับบุตรชายวางมือบนหัววัว 15 โมเสสฆ่าวัวนั้น เอานิ้วจุ่มเลือดปาดทั่วเชิงงอนทั้งสี่ของแท่นบูชาเพื่อชำระแท่นให้บริสุทธิ์ แล้วเทเลือดที่เหลือลงที่ด้านล่างของแท่น ดังนั้นเขาจึงได้ชำระและทำการลบบาปสำหรับแท่นนั้น 16 โมเสสนำไขมันหุ้มเครื่องใน พังผืดหุ้มตับ และไตสองลูกพร้อมไขมันของไตมาเผาบนแท่นบูชา 17 แต่เนื้อของมันพร้อมทั้งหนังและไส้ถูกนำออกไปเผานอกค่ายพักตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้
18 แล้วเขาถวายแกะตัวผู้เป็นเครื่องเผาบูชา และให้อาโรนกับบุตรชายวางมือบนหัวแกะ 19 จากนั้นโมเสสฆ่าแกะ เอาเลือดพรมรอบแท่น 20 เขาสับแกะเป็นท่อนๆ แล้วเผาชิ้นส่วนเหล่านั้นกับหัวและไขมัน 21 ก่อนที่จะเผาแกะผู้ทั้งตัวบนแท่นบูชา เขาใช้น้ำล้างเครื่องในและขาของมัน แล้วจึงถวายทั้งหมดเป็นเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นหอมที่พอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้
22 จากนั้นโมเสสนำแกะผู้อีกตัวมาเป็นแกะสำหรับพิธีสถาปนา และให้อาโรนกับบุตรชายวางมือบนหัวแกะ 23 โมเสสฆ่าแกะผู้ตัวนั้น เอาเลือดของมันแตะที่ติ่งหูขวาของอาโรน ที่นิ้วหัวแม่มือขวา และนิ้วหัวแม่เท้าขวา 24 โมเสสเอาเลือดทาที่ติ่งหูขวาของบรรดาบุตรชายของอาโรน และที่นิ้วหัวแม่มือขวากับนิ้วหัวแม่เท้าขวาด้วย แล้วพรมเลือดรอบแท่น 25 เขาเอาไขมัน ไขมันส่วนหาง ไขมันหุ้มเครื่องในทั้งหมด พังผืดหุ้มตับ ไตสองลูกพร้อมกับไขมัน และโคนขาขวา 26 จากนั้นนำขนมปังไม่ใส่เชื้อ ขนมปังคลุกน้ำมัน และขนมปังแผ่นบางจากกระจาดที่ตั้งอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้ามาวางบนไขมันและโคนขาขวา 27 นำของทั้งหมดนี้ใส่มืออาโรนกับบรรดาบุตรชายเพื่อทำพิธียื่นถวายต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องบูชายื่นถวาย 28 แล้วโมเสสรับของทั้งหมดคืนจากมือของพวกเขา นำมาวางบนเครื่องเผาบูชาและเผาบนแท่นบูชา เป็นเครื่องบูชาในพิธีสถาปนา เป็นกลิ่นหอมที่พอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 29 เขายังได้นำเนื้ออกจากแกะสถาปนาซึ่งเป็นส่วนของโมเสสและยื่นถวายต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องบูชายื่นถวายตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้
30 จากนั้นโมเสสเอาน้ำมันเจิมส่วนหนึ่งกับเลือดส่วนหนึ่งจากแท่นบูชามาพรมที่ตัวและเครื่องแต่งกายของอาโรนกับบรรดาบุตรชาย ทำให้พวกเขาและเครื่องแต่งกายของพวกเขาบริสุทธิ์
31 จากนั้นโมเสสกล่าวกับอาโรนและบุตรชายว่า “จงต้มเนื้อที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ แล้วรับประทานเนื้อนั้นที่นั่นพร้อมขนมปังในกระจาดของเครื่องถวายบูชาในพิธีสถาปนา ตามที่ข้าพเจ้าสั่งท่านแล้วว่า[a] ‘อาโรนและบรรดาบุตรชายของเขาจะต้องรับประทานเนื้อนั้น’ 32 แล้วเผาเนื้อและขนมปังส่วนที่เหลือให้หมด 33 อย่าออกไปจากทางเข้าเต็นท์นัดพบนี้ตลอดเจ็ดวัน จนกว่าจะครบกำหนดเวลาแห่งการสถาปนาของท่าน เพราะการสถาปนาท่านจะใช้เวลาเจ็ดวัน 34 สิ่งที่ทำไปในวันนี้ทั้งหมดเป็นไปตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อลบบาปให้พวกท่าน 35 ท่านจะต้องอยู่ที่บริเวณทางเข้าเต็นท์นัดพบนี้ตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน และทำสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ เพื่อท่านจะไม่ตาย เพราะพระองค์ทรงบัญชาข้าพเจ้าไว้เช่นนี้” 36 ดังนั้นอาโรนกับบุตรชายจึงทำทุกสิ่งตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาผ่านทางโมเสส
(ถึงหัวหน้านักร้อง ทำนอง “การตายของบุตรชาย” บทสดุดีของดาวิด)
9 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์หมดหัวใจ
ข้าพระองค์จะบอกถึงการมหัศจรรย์ทั้งสิ้นที่ทรงกระทำ
2 ข้าพระองค์จะชื่นชมยินดีและเปรมปรีดิ์ในพระองค์
ข้าแต่องค์ผู้สูงสุด ข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์
3 เหล่าศัตรูของข้าพระองค์หันกลับไป
พวกเขาล้มลงและพินาศต่อหน้าพระองค์
4 เพราะพระองค์ทรงผดุงสิทธิ์และความยุติธรรมแก่ข้าพระองค์
พระองค์ประทับบนบัลลังก์ในฐานะผู้พิพากษาที่ชอบธรรม
5 พระองค์ทรงกำราบประชาชาติทั้งหลาย และทรงทำลายคนชั่ว
พระองค์ทรงลบชื่อของพวกเขาออกไปเป็นนิตย์
6 ศัตรูพินาศย่อยยับไปนิรันดร์
พระองค์ทรงทำลายเมืองต่างๆ ของพวกเขาอย่างถอนรากถอนโคน
แม้แต่อนุสรณ์ของพวกเขาก็วอดวายไปสิ้น
7 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงครอบครองอยู่เป็นนิตย์
พระองค์ทรงสถาปนาบัลลังก์ของพระองค์ไว้เพื่อการพิพากษา
8 พระองค์จะทรงปกครองโลกด้วยความชอบธรรม
และทรงพิพากษาประชาชาติทั้งหลายด้วยความยุติธรรม
9 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยของผู้ที่ถูกกดขี่ข่มเหง
ทรงเป็นปราการมั่นคงในยามยากลำบาก
10 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทุกคนที่รู้จักพระนามของพระองค์จะวางใจในพระองค์
เพราะพระองค์ไม่เคยทอดทิ้งบรรดาผู้ที่แสวงหาพระองค์
11 จงร้องเพลงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ครองบัลลังก์ในศิโยน
จงประกาศพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางประชาชาติ
12 เพราะพระองค์ผู้ทรงแก้แค้นให้ไม่ทรงลืม
พระองค์ไม่ทรงเพิกเฉยต่อเสียงร่ำร้องของผู้ที่ทุกข์ลำเค็ญ
13 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดทอดพระเนตรว่า เหล่าศัตรูข่มเหงรังแกข้าพระองค์เพียงใด!
ขอทรงเมตตาและโอบอุ้มข้าพระองค์ให้พ้นจากประตูแห่งความตาย
14 เพื่อข้าพระองค์จะเปล่งเสียงสรรเสริญพระองค์
ที่ประตูเมืองของธิดาแห่งศิโยน[a]
และปีติยินดีในความรอดของพระองค์ที่นั่น
15 ประชาชาติทั้งหลายได้ตกลงไปในหลุมที่พวกเขาขุดไว้
เท้าของพวกเขาติดกับดักที่พวกเขาเองซ่อนไว้
16 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นที่รู้จักในด้านความยุติธรรมของพระองค์
คนชั่วติดกับด้วยนมือของตนเอง
ชิกกาโยน[b] เสลาห์
17 คนชั่วกลับไปยังแดนผู้ตาย
คือทุกประชาชาติที่ลืมพระเจ้า
18 แต่พระเจ้าจะไม่ทรงลืมคนแร้นแค้นเลย
ความหวังของผู้ที่ทุกข์ลำเค็ญจะไม่สูญสิ้นเลย
19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงลุกขึ้น ขออย่าให้มนุษย์ชนะ
ขอทรงพิพากษาบรรดาประชาชาติต่อหน้าพระองค์
20 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงทำให้เขาครั่นคร้ามยำเกรง
ให้ประชาชาติทั้งหลายรู้ว่าตนเป็นเพียงมนุษย์
เสลาห์
คำสอนที่
23 เมื่อเจ้ารับประทานอาหารร่วมกับเจ้าบ้านผ่านเมือง
จงระมัดระวังสิ่ง[a]ที่อยู่ตรงหน้าเจ้าให้ดี
2 หากเจ้าตะกละเห็นแก่กิน
ก็จงเอามีดจ่อคอหอยตนเองไว้
3 อย่าปรารถนาสิ่งโอชะของเขา
เพราะอาหารนั้นเป็นสิ่งลวงตา
คำสอนที่
4 อย่าตรากตรำจนอ่อนล้าเพียงเพื่อหวังร่ำรวย
อย่าวางใจในความเฉลียวฉลาดของเจ้า
5 แค่พริบตาเดียวทรัพย์สมบัติก็จะลับหายไป
เพราะมันจะติดปีกบิน
หนีไปในท้องฟ้าเหมือนนกอินทรี
คำสอนที่
6 อย่ากินอาหารของคนตระหนี่ถี่เหนียว
อย่าปรารถนาสิ่งโอชะของเขา
7 เพราะเขาเป็นคนชนิดที่คอยคิดคำนวณอยู่ในใจ[b]
ปากก็พูดว่า “เชิญกินดื่มเถิด”
แต่ใจไม่ได้อยู่กับเจ้าเลย
8 เจ้าจะต้องสำรอกสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่กินเข้าไป
และต้องสิ้นเปลืองคำขอบคุณ
คำสอนที่
9 อย่าเปลืองลมปากกับคนโง่
เพราะเขาจะเหยียดหยามคำแนะนำที่ฉลาดของเจ้า
คำสอนที่
10 อย่าโยกย้ายหลักเขตเก่าแก่
หรือรุกล้ำที่ดินของลูกกำพร้าพ่อ
11 เพราะองค์ผู้ปกป้องของเขาทรงเข้มแข็ง
พระองค์จะทรงว่าความให้เขา
คำสอนที่
12 จงเปิดใจรับคำสั่งสอน
และเงี่ยหูฟังถ้อยคำแห่งความรู้
คำสอนที่
13 อย่าละเลยการตีสั่งสอนลูก
หากเจ้าตีสอนลูกด้วยไม้เรียว เขาจะไม่ตาย
14 เจ้าต้องตีสอนเขาด้วยไม้เรียว
แล้วจะช่วยเขาให้พ้นจากความตาย
คำสอนที่
15 ลูกเอ๋ย หากเจ้ามีใจฉลาด
เราก็ปลื้มใจ
16 เมื่อเจ้าเอ่ยปากกล่าวสิ่งที่ถูกต้อง
จิตวิญญาณของเราก็แช่มชื่น
คำสอนที่
17 อย่าให้ใจของเจ้าอิจฉาคนบาป
แต่จงกระตือรือร้นในการยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดเวลา
18 เพราะมีอนาคตรอเจ้าอยู่แน่นอน
และความหวังของเจ้าจะไม่สูญสิ้น
คำสอนที่
19 ลูกเอ๋ย จงฟังและเฉลียวฉลาด
จงรักษาใจให้อยู่ในทางที่ถูกต้อง
20 อย่าร่วมวงสำมะเลเทเมากับคนขี้เหล้าเมายา
และคนเห็นแก่กิน
21 เพราะคนขี้เมาและคนตะกละจะยากจน
และความสะลึมสะลือทำให้เขาเหลือแต่ผ้าขี้ริ้วพันกาย
คำสอนที่
22 จงฟังคำของพ่อผู้ให้ชีวิตแก่เจ้า
และอย่าดูหมิ่นแม่ของเจ้าเมื่อนางแก่ตัวลง
23 จงซื้อความจริงและอย่าขายสิ่งเหล่านี้
คือ สติปัญญา คำสั่งสอน[c] และความเข้าใจ
24 พ่อของคนชอบธรรมก็สุขใจมาก
คนที่มีลูกฉลาดก็ชื่นชมในตัวลูก
25 จงทำให้พ่อแม่ยินดี
ให้แม่ผู้ที่คลอดเจ้าได้ปลื้มใจ!
คำสอนที่
26 ลูกเอ๋ย ขอใจของเจ้าให้เราเถิด
จงให้ตาของเจ้าปีติยินดีในทางของเรา
27 เพราะหญิงโสเภณีเป็นหลุมลึก
และหญิงเสเพลก็เป็นบ่อแคบ
28 นางซุ่มรอเหยื่อเหมือนโจร
พาให้ชายคนแล้วคนเล่าไม่ซื่อสัตย์ต่อภรรยาของตน
คำสอนที่
29 ใครหนอที่ทุกข์ระทม? ใครหนอที่โศกเศร้า?
ใครหนอที่วิวาท? ใครหนอที่เพ้อพล่าม?
ใครหนอเจ็บตัวโดยไม่จำเป็น? ใครหนอที่มีตาแดงก่ำ?
30 ก็คือคนที่จมอยู่กับเหล้า
คนที่ทดลองชิมเหล้าผสมหลากชนิด
31 อย่าจ้องดูเหล้าองุ่นเมื่อมันสีแดงสวย
เมื่อมันส่องประกายอยู่ในถ้วย
เมื่อมันดื่มลื่นคอ!
32 ในบั้นปลาย มันฉกกัดเหมือนงู
ปล่อยพิษเหมือนงูพิษ
33 ตาของเจ้าจะเห็นภาพหลอนแปลกๆ
ความคิดเลอะเลือนสับสน
34 เจ้าจะเป็นเหมือนคนที่นอนลอยอยู่กลางทะเล
และเหมือนคนที่นอนอยู่บนเสากระโดงเรือ
35 เจ้าจะพูดว่า “เขาฟาดแต่เราไม่เจ็บ! เขาทุบตีแต่เราไม่รู้สึก!
เมื่อไรเราจะตื่นนะ จะได้ไปดื่มอีก”
พันธกิจของเปาโลที่เมืองเธสะโลนิกา
2 พี่น้องทั้งหลาย ท่านทราบอยู่ว่าการที่เรามาเยี่ยมท่านทั้งหลายนั้นก็ไม่ได้สูญเปล่า 2 ก่อนหน้านี้เราเผชิญความทุกข์ยากและถูกสบประมาทที่เมืองฟีลิปปีตามที่ท่านทราบอยู่ แต่โดยการทรงช่วยของพระเจ้าของเรา เราจึงกล้าประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์แก่ท่านทั้งๆ ที่ถูกต่อต้านอย่างหนัก 3 เพราะคำสอนของเราไม่ได้มาจากแรงจูงใจผิดๆ หรือเสื่อมทราม ทั้งเราไม่พยายามหลอกล่อท่าน 4 แต่ในทางตรงกันข้ามเราประกาศในฐานะผู้ที่พระเจ้าทรงเห็นชอบที่จะมอบหมายข่าวประเสริฐให้ เราไม่ได้พยายามเอาใจมนุษย์ แต่มุ่งให้พระเจ้าผู้ทรงตรวจสอบจิตใจเรานั้นพอพระทัย 5 ท่านทราบว่าเราไม่เคยประจบเอาใจหรือใส่หน้ากากกลบเกลื่อนความโลภ พระเจ้าทรงเป็นพยานให้เราได้ 6 เราไม่ได้ใฝ่หาการยกย่องจากมนุษย์ไม่ว่าจากพวกท่านหรือใครอื่น
ในฐานะอัครทูตของพระคริสต์เราอาจจะเป็นภาระแก่ท่านก็ได้ 7 แต่เราก็อ่อนโยนเมื่ออยู่ท่ามกลางพวกท่าน เหมือนแม่ถนอมดูแลลูกน้อย 8 เรารักท่านทั้งหลายมากจนเรายินดีที่จะแบ่งปันกับท่านไม่เฉพาะข่าวประเสริฐของพระเจ้าเท่านั้น แม้ชีวิตของเราเองก็ยังพลีให้ได้ ในเมื่อท่านเป็นที่รักของเรายิ่งนัก 9 พี่น้องทั้งหลาย เรามั่นใจว่าท่านจดจำความลำบากตรากตรำของเราได้ เราทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อจะไม่ต้องเป็นภาระแก่ผู้ใดเลยขณะประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าแก่ท่าน
10 ท่านและพระเจ้าเป็นพยานได้ว่าเราบริสุทธิ์ เที่ยงธรรมและไม่มีที่ติเพียงไรเมื่ออยู่ท่ามกลางพวกท่านที่เชื่อ 11 เพราะท่านรู้ว่าเราได้ปฏิบัติต่อท่านแต่ละคนเหมือนพ่อปฏิบัติต่อลูกของตนเอง 12 เราให้กำลังใจ ปลอบใจ และกำชับท่านให้ดำเนินชีวิตที่คู่ควรต่อพระเจ้าผู้ทรงเรียกท่านมาสู่อาณาจักรและพระเกียรติสิริของพระองค์
13 และเราขอบพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอเพราะเมื่อท่านรับพระวจนะของพระเจ้าซึ่งได้ยินจากเรา ท่านไม่ได้รับไว้อย่างถ้อยคำของมนุษย์ แต่รับไว้ตามที่เป็นจริงคือ เป็นพระวจนะของพระเจ้าซึ่งกำลังทำกิจอยู่ภายในท่านทั้งหลายที่เชื่อ 14 พี่น้องทั้งหลาย ท่านก็เหมือนกับคริสตจักรของพระเจ้าที่แคว้นยูเดียซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ คือท่านต้องเผชิญความทุกข์ยากจากพี่น้องร่วมถิ่นของตนเองเหมือนที่คริสตจักรเหล่านั้นได้รับจากพวกยิว 15 พวกเขาได้ประหารองค์พระเยซูเจ้า เข่นฆ่าเหล่าผู้เผยพระวจนะและขับไล่พวกเราออกมา เขาทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยและเป็นศัตรูกับคนทั้งปวง 16 โดยการพยายามขัดขวางไม่ให้เราประกาศแก่คนต่างชาติเพื่อให้คนเหล่านั้นได้รับความรอด ด้วยการกระทำเหล่านี้พวกเขาได้พอกพูนบาปผิดให้เต็มพิกัด พระพิโรธของพระเจ้าจึงมาถึงพวกเขาในที่สุด[a]
เปาโลอยากมาเยี่ยมพี่น้องชาวเธสะโลนิกา
17 พี่น้องทั้งหลาย เมื่อเราต้องพรากจากท่านไปชั่วระยะหนึ่ง (ตัวไปแต่ใจยังอยู่) ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะพบท่าน เราจึงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะมาพบกับท่านอีก 18 เพราะเราอยากมาหาท่านจริงๆ ข้าพเจ้าเปาโลอยากจะมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ซาตานได้ขัดขวางเราไว้ 19 เพราะอะไรเล่าเป็นความหวังของเรา? อะไรเล่าเป็นความชื่นชมยินดีของเรา หรือเป็นมงกุฎซึ่งเราจะภาคภูมิใจต่อหน้าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเมื่อพระองค์เสด็จมา? ไม่ใช่พวกท่านหรอกหรือ? 20 เพราะท่านเป็นความภาคภูมิใจและเป็นความชื่นชมยินดีของเราอย่างแท้จริง
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.