Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ปฐมกาล 15

พันธสัญญาที่พระเจ้าทำกับอับราม

15 หลังจากนั้นต่อมาพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอับรามในภาพนิมิตว่า “อย่ากลัวเลย อับราม เราเป็นผู้คุ้มครองดั่งโล่ป้องกันเจ้า รางวัลของเจ้าจะยิ่งใหญ่มาก” แต่อับรามพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์จะให้อะไรแก่ข้าพเจ้า ในเมื่อข้าพเจ้าไม่มีลูกเลย และผู้จะรับมรดกต่อจากข้าพเจ้าคือเอลีเอเซอร์จากดามัสกัส” และอับรามพูดว่า “ดูเถิด พระองค์ยังไม่ได้มอบผู้สืบเชื้อสายแก่ข้าพเจ้าเลย และทาสผู้รับใช้ที่เกิดในบ้านข้าพเจ้าก็จะเป็นผู้รับมรดกของข้าพเจ้าไป” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอับรามว่า “คนๆ นั้นจะไม่รับมรดก แต่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าต่างหากที่จะรับมรดกของเจ้า” พระองค์พาท่านออกไปข้างนอกและกล่าวว่า “จงมองขึ้นไปยังท้องฟ้า นับจำนวนดวงดาวดูว่า เจ้านับมันได้หรือเปล่า” แล้วพระองค์กล่าวต่อไปว่า “ผู้สืบเชื้อสายของเจ้าจะมากมายเช่นนั้น” แล้วท่านก็เชื่อพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์จึงนับว่าท่านเป็นผู้มีความชอบธรรม[a]

และพระองค์กล่าวกับท่านว่า “เราคือพระผู้เป็นเจ้า ผู้นำเจ้ามาจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดีย เพื่อมอบดินแดนนี้ให้เจ้าครอบครอง” แต่ท่านพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าจะทราบได้อย่างไรว่า ข้าพเจ้าจะได้ครอบครองดินแดนนี้” พระองค์กล่าวกับท่านว่า “จงนำลูกโคตัวเมียและแพะตัวเมียอายุ 3 ปีอย่างละตัว แกะตัวผู้อายุ 3 ปี 1 ตัว นกเขาและนกพิราบอย่างละตัวมาให้เรา” 10 ท่านจึงนำสัตว์เหล่านี้มาถวายแด่พระองค์ ผ่าซีกสัตว์แต่ละตัว และวางไว้ข้างละซีกเป็น 2 แถว แต่ท่านไม่ได้ผ่าตัวนกเป็น 2 ซีก 11 เมื่อฝูงแร้งบินลงบนซากสัตว์ อับรามก็ไล่เตลิดไป

12 ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังตก อับรามนอนหลับสนิทอยู่ ทันใดนั้นท่านรู้สึกครั่นคร้ามยิ่งนัก 13 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอับรามว่า “จงรู้ไว้ว่า เชื้อสายของเจ้าจะไปอาศัยอยู่ชั่วคราวในดินแดนของชาติอื่น และจะต้องตกเป็นทาสถูกกดขี่ข่มเหงเป็นเวลา 400 ปี 14 อย่างไรก็ดีเราจะลงโทษประชาชาติที่ใช้เขาเยี่ยงทาส และในภายหลังพวกเขาจะอพยพออกมาพร้อมกับทรัพย์สินมากมาย[b] 15 สำหรับตัวเจ้าเอง เจ้าจะสิ้นชีวิตอย่างสันติ ร่างของเจ้าจะถูกบรรจุก็เมื่อตอนแก่เฒ่า 16 แล้วพวกเขาจะกลับมาที่นี่เมื่อถึง 4 ชั่วอายุคน เพราะต้องรอคอยจนความชั่วของชาวอาโมร์พุ่งถึงขีดสุดเสียก่อน”

17 ครั้นดวงอาทิตย์ตกและมืดมาก ดูเถิด มีควันไฟจากเตาผิงและคบเพลิงที่ลุกโพลงลามเลียไประหว่างซีกสัตว์พวกนั้น 18 ในวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าได้ทำพันธสัญญากับอับราม โดยกล่าวว่า “เราให้แผ่นดินนี้กับบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า ตั้งแต่แม่น้ำของอียิปต์ถึงแม่น้ำใหญ่คือ แม่น้ำยูเฟรติส 19 ของชาวเคน ชาวเคนัส ชาวขัดโมน 20 ชาวฮิต ชาวเปริส ชาวเรฟา 21 ชาวอาโมร์ ชาวคานาอัน ชาวเกอร์กาช และชาวเยบุส”

มัทธิว 14

ยอห์นถูกตัดศีรษะ

14 ในครั้งนั้นเฮโรด[a]ผู้ปกครองแคว้นได้ยินเรื่องราวของพระเยซู จึงพูดกับพวกผู้รับใช้ว่า “ผู้นี้เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา ท่านฟื้นคืนชีวิตจากความตายแล้ว จึงเป็นเหตุให้ท่านมีอานุภาพสำแดงสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ ได้” เมื่อครั้งที่เฮโรดให้คนจับกุมยอห์น ท่านให้จำตรวนไว้ในคุก เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของตน เพราะยอห์นได้พูดไว้เสมอว่า “เป็นการผิดกฎที่ท่านจะสมรสกับนาง” แม้เฮโรดต้องการจะฆ่ายอห์นให้ตายแต่ยังกลัวฝูงชนอยู่ เพราะพวกเขานับว่ายอห์นเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า เมื่อถึงวันเกิดของเฮโรด บุตรสาวของนางเฮโรเดียสเต้นระบำต่อหน้าผู้คน และเป็นที่พอใจของเฮโรด เฮโรดจึงให้คำมั่นสัญญาจะให้สิ่งใดก็ตามที่เธอขอ มารดาของเธอแนะให้เธอขอ เธอจึงขอว่า “ข้าพเจ้าขอศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาบนถาดเดี๋ยวนี้” แม้เฮโรดจะเศร้าใจ แต่เป็นเพราะคำมั่นสัญญาของท่านและแขกในงาน ท่านจึงสั่งให้นำมาให้ 10 ท่านสั่งให้คนตัดศีรษะของยอห์นในคุก 11 ฉะนั้นศีรษะถูกวางมาบนถาดนำมาให้เด็กสาวคนนั้น และเธอก็นำไปให้มารดา 12 พวกสาวกของยอห์นมารับเอาร่างของท่านไปฝัง แล้วไปรายงานต่อพระเยซู

มหาชนกับขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัว

13 เมื่อพระเยซูทราบเรื่องจึงลงเรือจากที่นั่นไปยังที่ร้างตามลำพัง ฝูงชนจากเมืองต่างๆ รู้เช่นนั้นก็ได้เดินตามพระองค์ไป 14 เมื่อพระองค์ขึ้นฝั่งก็เห็นมหาชนและเกิดความสงสาร พระองค์ได้รักษาผู้คนที่ป่วยไข้ 15 ครั้นถึงเวลาเย็น เหล่าสาวกมาพูดกับพระองค์ว่า “ที่นี่เป็นที่กันดารและเวลาล่วงเลยแล้วเช่นนี้ ฉะนั้นปล่อยให้ผู้คนไปเถิด พวกเขาจะได้เข้าไปตามหมู่บ้านซื้ออาหารกันเอง” 16 พระเยซูกล่าวว่า “พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปหรอก พวกเจ้าเอาอาหารมาให้เขาเถิด” 17 บรรดาสาวกจึงพูดกับพระองค์ว่า “พวกเรามีเพียงขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัวเท่านั้น” 18 พระองค์กล่าวว่า “เอาอาหารนั้นมาให้เราเถิด” 19 พระองค์สั่งฝูงชนให้นั่งลงบนพื้นหญ้า พระองค์หยิบขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว แล้วแหงนหน้าขึ้นสู่สวรรค์กล่าวขอบคุณพระเจ้า และบิขนมปังยื่นให้เหล่าสาวก ซึ่งสาวกก็แจกจ่ายให้แก่ฝูงชน 20 พวกเขาทุกคนได้รับประทานกันจนอิ่มหนำ และสามารถรวบรวมอาหารที่เหลือได้ 12 ตะกร้าเต็มๆ 21 มีผู้ชายประมาณ 5,000 คนที่รับประทานกัน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก

พระเยซูเดินบนผิวน้ำในทะเลสาบ

22 พระองค์สั่งเหล่าสาวกให้ลงเรือข้ามฟากไปล่วงหน้าพระองค์ทันที ขณะเดียวกัน พระองค์บอกให้ฝูงชนกลับไปบ้าน 23 หลังจากพระองค์บอกฝูงชนให้กลับไปบ้านแล้ว พระองค์ก็ขึ้นไปบนภูเขาตามลำพังเพื่ออธิษฐาน เมื่อเย็นลงพระองค์ก็ยังอยู่ที่นั่นแต่ผู้เดียว 24 เรือออกไปไกลจากฝั่งมากแล้ว และถูกคลื่นซัดเพราะทวนลม 25 ระหว่างตีสามถึงหกโมงเช้าพระองค์เดินบนผิวน้ำในทะเลสาบไปยังสาวก 26 เมื่อสาวกเห็นพระองค์เดินบนผิวน้ำ ก็ตกใจพูดว่า “ผีมา” แล้วส่งเสียงร้องด้วยความกลัว 27 พระองค์กล่าวกับพวกเขาทันทีว่า “ทำใจให้ดีไว้ นี่เราเอง อย่ากลัวเลย”

28 เปโตรตอบว่า “พระองค์ท่าน ถ้าเป็นพระองค์ โปรดสั่งให้ข้าพเจ้าเดินบนน้ำมาหาพระองค์เถิด” 29 พระองค์กล่าวว่า “มาเถิด” เปโตรก้าวออกจากเรือ แล้วเดินบนน้ำไปหาพระเยซู 30 เปโตรเห็นว่ามีลมพัด จึงเกิดความกลัวแล้วเริ่มจมน้ำ เขาร้องส่งเสียงว่า “พระองค์ท่าน ช่วยข้าพเจ้าด้วย” 31 ทันใดนั้น พระเยซูยื่นมือออกไปจับเปโตรแล้วกล่าวว่า “เจ้ามีความเชื่อน้อยเสียจริง ทำไมเจ้าจึงสงสัย” 32 เมื่อได้ลงเรือกันแล้ว ลมก็หยุดพัด 33 พวกคนที่อยู่ในเรือก็ก้มกราบนมัสการพระองค์ แล้วพูดว่า “พระองค์เป็นบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง”

34 ครั้นข้ามฟากไปแล้วก็ขึ้นฝั่งที่แขวงเยนเนซาเรท 35 ผู้คนในเมืองนั้นจำพระองค์ได้ จึงให้คนไปบอกและพาคนป่วยไข้จากแขวงเมืองรอบๆ นั้นมาหาพระองค์ 36 และขอให้พระองค์โปรดให้ผู้ป่วยเพียงแต่แตะชายเสื้อตัวนอกของพระองค์ ทุกคนที่กระทำอย่างนั้นแล้วก็หายขาดจากโรค

เนหะมีย์ 4

ผู้ขัดขวางงาน

เมื่อสันบาลลัททราบว่า พวกเรากำลังสร้างกำแพง เขาก็โกรธและเดือดดาลยิ่งนัก และเขาเย้ยหยันชาวยิว เขาพูดต่อหน้าพวกพ้องและกองทัพสะมาเรียว่า “พวกยิวที่อ่อนแอเหล่านี้ทำอะไรกัน พวกเขาจะฟื้นฟูสิ่งต่างๆ ให้ตัวเองหรือ เขาจะถวายเครื่องสักการะหรือ เขาจะสร้างเสร็จในวันเดียวหรือ พวกเขาจะรื้อหินไหม้ดำจากกองขยะออกมาใช้ใหม่อย่างนั้นหรือ” โทบียาห์ชาวอัมโมนอยู่ข้างๆ เขา จึงพูดว่า “แค่มีสุนัขจิ้งจอกสักตัวกระโดดขึ้นไปบนสิ่งที่พวกเขากำลังสร้างอยู่ กำแพงหินก็จะพังลงมา” โอ พระเจ้าของเรา โปรดฟัง เพราะพวกเราถูกดูแคลน ขอให้การสบประมาทของพวกเขาย้อนกลับไปหาตัวเขาเอง และให้พวกเขาถูกจับไปเป็นเชลย ขอพระองค์อย่าปกป้องความผิดของพวกเขา และอย่ากำจัดบาปของพวกเขาให้พ้นไปจากสายตาของพระองค์ เพราะพวกเขายั่วโทสะพระองค์ต่อหน้าต่อตาบรรดาผู้ก่อสร้าง

พวกเราจึงสร้างกำแพง และกำแพงเชื่อมต่อกันจนสูงได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะประชาชนล้วนมีกำลังใจที่จะทำงาน

แต่เมื่อสันบาลลัทและโทบียาห์กับชาวอาหรับ ชาวอัมโมน และชาวอัชโดด ทราบว่าการซ่อมแซมกำแพงเยรูซาเล็มดำเนินต่อไป และส่วนที่พังทลายลงก็ได้รับการซ่อมแซมขึ้นใหม่ พวกเขาจึงโกรธมาก พวกเขาทุกคนจึงร่วมกันวางแผนที่จะมาโจมตีเยรูซาเล็ม เพื่อทำให้เกิดความวุ่นวาย พวกเราจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าของเรา และวางยามคุ้มกันทั้งวันทั้งคืน

10 มีคนพูดกันในยูดาห์ว่า “พวกขนของกำลังอ่อนแรงลง มีซากปรักหักพังอยู่มากมาย ลำพังพวกเราก็ไม่สามารถสร้างกำแพงขึ้นใหม่ได้” 11 ศัตรูของพวกเราพูดว่า “พวกเขาจะไม่ทันรู้ตัวจนเราเข้ามาประชิดตัว ฆ่าพวกเขา งานก็จะต้องหยุดลง” 12 ในเวลานั้น พวกชาวยิวที่อาศัยอยู่ในหมู่พวกเขามาจากรอบด้าน พูดกับเรานับเป็นสิบครั้งได้ว่า “ไม่ว่าท่านหันไปทางไหน พวกเขาจะโจมตีพวกเรา” 13 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงวางยามจากประชาชนตามตระกูล พร้อมดาบ หอก และคันธนู ในบริเวณหลังกำแพงส่วนที่ต่ำสุดและที่ๆ ยังเปิดอยู่ 14 ข้าพเจ้ามองดูและลุกขึ้น และพูดกับบรรดาขุนนาง เจ้าหน้าที่ และกับประชาชนทั้งปวงว่า “อย่ากลัวพวกเขา จงระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม และต่อสู้เพื่อพี่น้อง ลูกชายลูกสาว ภรรยา และบ้านเมืองของท่าน”

ทำงานต่อไปอีก

15 เมื่อศัตรูของพวกเราทราบว่า พวกเรารู้ถึงแผนการ และพระเจ้าทำให้แผนการของพวกเขาล้มเหลว พวกเรากลับไปที่กำแพง ต่างก็ทำงานของตนต่อไป 16 จากนั้นต่อมา ครึ่งหนึ่งของผู้รับใช้ของข้าพเจ้าปฏิบัติงานก่อสร้าง และอีกครึ่งหนึ่งถือหอก โล่ คันธนู และเสื้อเกราะ และบรรดาผู้นำคอยยืนคุ้มกันข้างหลังพงศ์พันธุ์ยูดาห์ทั้งหมด 17 ซึ่งกำลังสร้างกำแพงอยู่ บรรดาผู้ที่แบกของก็ใช้มือเดียวทำงาน และอีกมือถืออาวุธ 18 ช่างก่อสร้างแต่ละคนมีดาบคาดข้างตัวขณะทำงาน ชายที่เป่าแตรงอนอยู่เคียงข้างข้าพเจ้า 19 และข้าพเจ้าพูดกับบรรดาขุนนาง เจ้าหน้าที่ และกับประชาชนทั้งปวงว่า “เรามีงานล้นมือและยังขยายกว้างออกไปอีก พวกเราแยกกันทำงานบนกำแพง และอยู่ห่างกันมาก 20 ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เมื่อได้ยินเสียงแตรงอน ก็จงเข้ามารวมตัวกันกับพวกเราที่นั่น พระเจ้าจะต่อสู้เพื่อพวกเรา”

21 ดังนั้น พวกเราจึงทำงานต่อไป ครึ่งหนึ่งของคนงานถือหอก ตั้งแต่ฟ้าสางจนถึงเวลาดาวปรากฏ 22 เวลานั้น ข้าพเจ้าสั่งประชาชนว่า “ให้ทุกคนกับผู้รับใช้ของเขาอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มตอนกลางคืน เพื่อพวกเขาจะเป็นยามให้เราในตอนกลางคืน และทำงานตอนกลางวัน” 23 ดังนั้น ข้าพเจ้าและพี่น้อง บรรดาผู้รับใช้และคนเฝ้ายาม ที่คอยติดตามข้าพเจ้า ไม่มีใครถอดเครื่องแต่งกายออก มือขวาก็ถืออาวุธไว้ตลอดเวลา

กิจการของอัครทูต 14

ที่เมืองอิโคนียูม

14 เปาโลและบาร์นาบัสเข้าไปในศาลาที่ประชุมของชาวยิวที่เมืองอิโคนียูมตามปกติ วิธีการพูดของท่านทั้งสองทำให้ชาวยิวและชาวกรีก[a]จำนวนมากเกิดความเชื่อ แต่พวกชาวยิวที่ไม่ยอมเชื่อ ก็ก่อกวนให้บรรดาคนนอกไม่พอใจพวกพี่น้อง เปาโลและบาร์นาบัสจึงพักอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน และพูดถึงพระผู้เป็นเจ้าด้วยใจกล้าหาญ พระองค์แสดงให้เห็นชัดถึงพระคุณของพระองค์ โดยให้ท่านทั้งสองกระทำสิ่งอัศจรรย์ ด้วยปรากฏการณ์อัศจรรย์และสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ผู้คนในเมืองเกิดการแตกแยกกันเป็นก๊กเป็นเหล่า บ้างก็เข้าข้างชาวยิว บ้างก็เข้าข้างอัครทูตทั้งสอง บรรดาคนนอกและชาวยิวร่วมกับผู้นำของเขาเตรียมที่จะทำร้าย โดยจะเอาก้อนหินขว้างปาอัครทูต แต่ท่านทั้งสองทราบเสียก่อน จึงหนีไปที่เมืองลิสตราและเมืองเดอร์บีในแคว้นลิคาโอเนียและแถบใกล้เคียง และท่านทั้งสองก็ได้ประกาศข่าวประเสริฐที่นั่นต่อไปอีก

ที่เมืองลิสตราและเดอร์บี

ที่เมืองลิสตรามีชายเท้าลีบเป็นง่อยเดินไม่ได้มาแต่เกิด เขาได้มานั่งฟังเปาโลพูดอยู่ เมื่อจ้องดูชายผู้นั้น เปาโลเห็นว่าเขามีความเชื่อเพียงพอที่จะรับการรักษาให้หายได้ 10 จึงร้องขึ้นว่า “จงลุกขึ้นยืน” ชายง่อยก็กระโดดขึ้นแล้วก็เริ่มเดิน 11 เมื่อฝูงชนเห็นสิ่งที่เปาโลกระทำจึงพากันร้องตะโกนเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า “บรรดาเทพเจ้าได้แปลงเป็นคนลงมาหาพวกเราแล้ว” 12 เขาทั้งหลายเรียกบาร์นาบัสว่า เทพเจ้าซุส และเรียกเปาโลว่า เทพเจ้าเฮอร์เมส เพราะว่าท่านเป็นผู้นำในการพูด 13 ปุโรหิตประจำวิหารเทพเจ้าซุสที่ตั้งอยู่นอกเมือง ได้นำโคตัวผู้และพวงมาลัยมาที่ประตูเมืองร่วมกับฝูงชน เพื่อมอบสิ่งนั้นเป็นของสักการะแก่เปาโลและบาร์นาบัส 14 แต่เมื่ออัครทูตคือบาร์นาบัสกับเปาโลทราบเรื่อง จึงฉีกเสื้อผ้าของตนแล้ววิ่งออกไปยังฝูงชนตะโกนว่า 15 “ทำไมท่านจึงทำเช่นนี้ พวกเราเป็นเพียงมนุษย์เหมือนกับท่าน พวกเรานำข่าวประเสริฐมายังท่าน เพื่อให้ท่านหันจากสิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้ เพื่อเข้าหาพระเจ้าผู้ดำรงอยู่ พระองค์ได้สร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และทุกสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น 16 ในอดีตพระองค์ปล่อยให้ชนทุกชาติดำเนินไปตามที่ตนเห็นชอบ 17 แต่พระองค์ยังได้มอบหลักฐานซึ่งเป็นพยานให้เห็นว่า พระองค์มีเมตตาโดยโปรดให้มีฝนจากสวรรค์แก่พวกท่าน และให้พืชผลตามฤดูกาล พระองค์มอบอาหารให้อย่างสมบูรณ์ และให้ใจของพวกท่านมีความชื่นชมยินดี” 18 แม้ท่านจะกล่าวเช่นนั้นแล้ว ก็ยังมิอาจห้ามฝูงชนที่เข้ามาสักการะพวกท่านได้

19 แล้วก็มีชาวยิวบางคนที่มาจากเมืองอันทิโอกและเมืองอิโคนียูม พวกเขาสามารถชักจูงให้ผู้คนเอาก้อนหินขว้างเปาโล และลากท่านออกไปนอกเมือง เพราะคิดว่าท่านตายแล้ว 20 แต่หลังจากที่พวกสาวกได้มาห้อมล้อมท่าน ท่านจึงลุกขึ้นกลับเข้าไปในเมืองได้ และวันรุ่งขึ้นจึงไปยังเมืองเดอร์บีกับบาร์นาบัส

กลับไปยังเมืองอันทิโอกในแคว้นซีเรีย

21 เปาโลและบาร์นาบัสประกาศข่าวประเสริฐในเมืองนั้น และมีคนจำนวนมากมาเป็นสาวก แล้วท่านทั้งสองก็กลับไปยังเมืองลิสตรา เมืองอิโคนียูม และเมืองอันทิโอก 22 เพื่อเสริมกำลังด้านความคิดและให้กำลังใจพวกสาวก ให้คงอยู่ในความเชื่อต่อไป ท่านทั้งสองพูดว่า “พวกเราต้องผ่านความยากลำบากมาไม่น้อย เพื่อจะได้เข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า” 23 เปาโลและบาร์นาบัสแต่งตั้งบรรดาผู้ปกครองให้พวกเขาในแต่ละคริสตจักร ท่านได้อธิษฐานและอดอาหาร ฝากชีวิตเขาเหล่านั้นไว้กับพระผู้เป็นเจ้าที่เขาเชื่อมั่น 24 หลังจากนั้นจึงเดินทางผ่านแคว้นปิสิเดียมายังแคว้นปัมฟีเลีย 25 เมื่อได้ประกาศคำกล่าวในเมืองเปอร์กาแล้ว จึงได้ลงไปยังเมืองอัททาลิยา

26 อัครทูตทั้งสองแล่นเรือจากเมืองอัททาลิยากลับไปยังเมืองอันทิโอก ซึ่งเป็นเมืองที่ท่านได้รับการฝากฝังไว้ในพระคุณของพระเจ้าให้ทำงาน ซึ่งเวลานั้น ท่านก็ได้กระทำสำเร็จแล้ว 27 เมื่อท่านทั้งสองมาถึงก็ได้เรียกประชุมคริสตจักร และรายงานถึงทุกสิ่งที่พระเจ้าได้กระทำผ่านท่าน และพระองค์เปิดโอกาสให้บรรดาคนนอกมีความเชื่อ 28 และท่านทั้งสองพักอยู่ที่นั่นกับพวกสาวกเป็นเวลานาน

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation