M’Cheyne Bible Reading Plan
การปฏิรูปของเยโฮชาฟัท
19 เยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์กลับวังของท่านในเยรูซาเล็มด้วยความปลอดภัย 2 เยฮูบุตรของฮานานีผู้รู้ออกไปพบกับท่าน และพูดกับกษัตริย์เยโฮชาฟัทว่า “ท่านควรจะช่วยเหลือคนชั่ว และรักพวกที่เกลียดพระผู้เป็นเจ้าหรือ เป็นเพราะเรื่องนี้ พระผู้เป็นเจ้าจึงโกรธท่าน 3 อย่างไรก็ตาม ท่านยังมีความดีอยู่บ้าง เพราะท่านได้ทำลายเทวรูปอาเชราห์ให้หมดสิ้นจากแผ่นดิน และได้มุ่งมั่นแสวงหาพระเจ้า”
4 เยโฮชาฟัทอาศัยอยู่ที่เยรูซาเล็ม ท่านออกไปท่ามกลางประชาชนอีก ตั้งแต่เบเออร์เช-บาถึงแถบภูเขาเอฟราอิม และนำพวกเขากลับมาหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา 5 ท่านแต่งตั้งบรรดาผู้พิพากษาในแผ่นดินให้กับทุกๆ เมืองที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่งของยูดาห์ 6 ท่านกล่าวกับบรรดาผู้พิพากษาว่า “จงตริตรองสิ่งที่ท่านปฏิบัติให้ดี เพราะว่าท่านไม่ได้พิพากษาเพื่อมนุษย์ แต่เพื่อพระผู้เป็นเจ้า พระองค์สถิตกับท่านในการพิพากษา 7 ฉะนั้น ขอให้ความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าจงอยู่ในตัวท่านเถิด จงปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรายุติธรรมเสมอ พระองค์ไม่ลำเอียง และไม่รับสินบน”
8 นอกจากนั้น เยโฮชาฟัทยังได้แต่งตั้งชาวเลวี ปุโรหิต และหัวหน้าครอบครัวของอิสราเอลบางคนในเยรูซาเล็ม ให้เป็นผู้พิพากษาเพื่อพระผู้เป็นเจ้า และตัดสินคดีโต้แย้งในหมู่ผู้ที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม 9 ท่านบัญชาพวกเขาว่า “พวกท่านจงปฏิบัติด้วยความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า ด้วยความภักดี และด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน 10 เมื่อใดก็ตามที่พี่น้องของท่านผู้อาศัยอยู่ในเมือง นำคดีมาให้ท่านพิจารณาในเรื่องเกี่ยวกับการฆ่าฟัน กฎบัญญัติ พระบัญญัติ กฎเกณฑ์ หรือโทษทัณฑ์ ท่านก็จงเตือนพวกเขาไม่ให้กระทำผิดต่อพระผู้เป็นเจ้า และการลงโทษจะไม่ตกอยู่กับพวกท่านและพี่น้องของท่าน ท่านปฏิบัติตามนั้น แล้วท่านก็จะไม่มีความผิด 11 ดูเถิด อามาริยาห์มหาปุโรหิตเป็นผู้ดูแลพวกท่านในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า และเศบาดิยาห์บุตรอิชมาเอล ผู้เป็นหัวหน้าของพงศ์พันธุ์ยูดาห์จะดูแลพวกท่านในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับกษัตริย์ และชาวเลวีจะเป็นเจ้าหน้าที่รับใช้ท่าน จงเข้มแข็งในการปฏิบัติงาน และขอพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับผู้กระทำสิ่งที่ถูกต้อง”
เยโฮชาฟัทอธิษฐาน
20 ต่อมาหลังจากนั้น ชาวโมอับ ชาวอัมโมน และชาวเมอูนบางคนยกทัพมาโจมตีเยโฮชาฟัท 2 มีคนมารายงานเยโฮชาฟัทว่า “มีกองทัพใหญ่จากเอโดมจะเข้าโจมตีท่าน เขามาจากอีกฟากของทะเล ดูเถิด พวกเขาอยู่ในฮาซาโซนทามาร์” (คือ เอนเกดี) 3 เยโฮชาฟัทก็ตกใจกลัวมาก และหันเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า ประกาศให้คนทั่วทั้งยูดาห์อดอาหาร 4 และชาวยูดาห์ก็เรียกประชุมเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า พวกเขามาจากทุกเมืองของยูดาห์เพื่อแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า
5 เยโฮชาฟัทยืนอยู่ในที่ประชุมของยูดาห์และเยรูซาเล็ม ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ตรงเบื้องหน้าลานใหม่ 6 และกล่าวว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของเรา พระองค์เป็นพระเจ้าของฟ้าสวรรค์มิใช่หรือ พระองค์ปกครองทั่วทุกอาณาจักรของบรรดาประชาชาติ อานุภาพและพลังเป็นของพระองค์ 7 โอ พระเจ้าของเรา พระองค์ขับไล่ผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินนี้ออกไปต่อหน้าคนของอิสราเอล และมอบให้แก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของอับราฮัมสหายของพระองค์ ตลอดไปมิใช่หรือ 8 และพวกเขาได้อาศัยอยู่ในนั้น และได้สร้างที่พำนักให้แด่พระองค์ในนั้นเพื่อพระนามของพระองค์ 9 พวกเขาพูดว่า ‘ถ้าความวิบัติมาถึงพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นดาบแห่งการลงโทษ โรคระบาด หรือทุพภิกขภัย เราจะยืน ณ เบื้องหน้าพระองค์ และที่หน้าพระตำหนักนี้ เพราะพระนามของพระองค์อยู่ในพระตำหนักนี้ และเราส่งเสียงร้องต่อพระองค์เพราะเป็นทุกข์ พระองค์จะได้ยินและจะช่วยให้รอดพ้น’ 10 ดูเถิด เวลานี้พวกอัมโมน พวกโมอับ และพวกภูเขาเสอีร์ ที่พระองค์ไม่ยอมให้อิสราเอลบุกรุกขณะที่ออกจากแผ่นดินอียิปต์ อิสราเอลจึงได้หันกลับออกไปและไม่ได้ทำลายพวกเขา[a] 11 ดูเถิด เขาเหล่านั้นตอบกลับพวกเราด้วยการมาขับไล่เราให้ออกไปจากแผ่นดินของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่พวกเราเป็นมรดก 12 โอ พระเจ้าของเรา พระองค์จะไม่ตัดสินโทษพวกเขาหรือ เพราะพวกเราอ่อนกำลังที่จะปะทะกับกองทัพใหญ่ที่กำลังจะโจมตีพวกเรา พวกเราไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร แต่ก็เห็นว่าพระองค์เท่านั้นเป็นที่พึ่งของเรา”
13 ยูดาห์ทั้งปวงยืนอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พร้อมด้วยภรรยา ลูกๆ และเด็กเล็กๆ ของพวกเขา 14 และยาฮาซีเอลชาวเลวีผู้สืบเชื้อสายของอาสาฟเปี่ยมด้วยพระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้า ในท่ามกลางที่ประชุม ยาฮาซีเอลเป็นบุตรของเศคาริยาห์ เศคาริยาห์เป็นบุตรของเบไนยาห์ เบไนยาห์เป็นบุตรเยอีเอล เยอีเอลเป็นบุตรของมัทธานิยาห์ 15 เขาพูดว่า “ยูดาห์ทั้งปวง ผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็ม และกษัตริย์เยโฮชาฟัท ขอท่านฟังสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก่ท่านดังนี้ ‘อย่ากลัวและอย่าท้อถอยเรื่องกองทัพใหญ่นี้ เพราะว่าสงครามครั้งนี้ไม่ใช่ของท่าน แต่เป็นของพระเจ้า 16 จงลงไปต่อสู้กับพวกเขาในวันพรุ่งนี้ ดูเถิด พวกเขาจะขึ้นมาทางข้ามที่เนินเขาศิส เจ้าจะพบกับพวกเขาที่ท้ายหุบเขา ทางทิศตะวันออกของถิ่นทุรกันดารเยรูเอล 17 เจ้าไม่จำเป็นจะต้องต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ จงมั่นใจได้ เข้าประจำที่ และเจ้าจะเห็นว่าพระผู้เป็นเจ้าจะช่วยเจ้าให้รอดพ้น โอ ยูดาห์และเยรูซาเล็ม’ อย่ากลัวและอย่าท้อถอยเลย จงออกไปต่อสู้กับพวกเขาในวันพรุ่งนี้ และพระผู้เป็นเจ้าจะสถิตกับท่าน”
18 ครั้นแล้วเยโฮชาฟัทก็ก้มหน้าลง ยูดาห์ทั้งปวงและผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มก็ก้มตัวลงกราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้า 19 ชาวเลวีที่เป็นชาวโคฮาทและชาวโคราห์ก็ยืนขึ้นและสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลด้วยเสียงอันดัง
20 เขาเหล่านั้นลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และเข้าไปยังถิ่นทุรกันดารเทโคอา ในขณะที่กำลังไป เยโฮชาฟัทยืนขึ้นพูดว่า “ยูดาห์และผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มจงฟังเรา พวกท่านจงเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน แล้วท่านจะยืนหยัดอยู่ได้ จงเชื่อบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระองค์ และท่านจะได้รับความสำเร็จ” 21 หลังจากที่ท่านได้ปรึกษากับประชาชนแล้ว ท่านก็กำหนดบรรดาผู้ที่จะร้องเพลงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า และสรรเสริญพระองค์ในความบริสุทธิ์ของพระองค์ ขณะที่พวกเขาเดินนำหน้ากองทัพออกไป และร้องว่า
“จงขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล”
22 เมื่อพวกเขาเริ่มร้องเพลงและสรรเสริญ พระผู้เป็นเจ้าก็ให้มีกองดักซุ่มออกมาต่อสู้กับชาวอัมโมน โมอับ และภูเขาเสอีร์ ที่มาบุกรุกยูดาห์ พวกเขาจึงถูกตีพ่ายไป 23 ชาวอัมโมนและโมอับลุกขึ้นต่อสู้กับผู้อยู่อาศัยของภูเขาเสอีร์ และทำลายพวกเขาจนราบคาบ เมื่อกำจัดผู้อยู่อาศัยของภูเขาเสอีร์เสร็จสิ้นแล้ว ทั้งสองฝ่ายกลับหันมาต่อสู้กันเอง
พระผู้เป็นเจ้าช่วยยูดาห์ให้รอดพ้น
24 เมื่อยูดาห์มาถึงหอคอยในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาก็มองไปทางกองทัพใหญ่ ดูเถิด มีแต่ร่างคนตายนอนอยู่บนพื้นดิน ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตไปได้ 25 เมื่อเยโฮชาฟัทและประชาชนมาเก็บของที่ริบได้จากการสู้รบ ก็พบสิ่งของมากมาย มีสิ่งของเครื่องใช้ เสื้อผ้า และของมีค่า เขาแบกขนสิ่งเหล่านี้ไปจนแบกกันไม่ไหวเพราะมีมากเหลือเกิน ต้องใช้เวลาถึง 3 วัน 26 วันที่สี่เขาทั้งหลายประชุมในหุบเขาเบ-ราคาห์ และสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าที่นั่น ดังนั้นสถานที่นั้นจึงชื่อว่า หุบเขาเบ-ราคาห์ มาจนถึงทุกวันนี้ 27 แล้วเยโฮชาฟัทก็นำทุกคนของยูดาห์และเยรูซาเล็มกลับบ้านไปที่เยรูซาเล็มด้วยความยินดี พระผู้เป็นเจ้าทำให้เขาทั้งหลายสุขใจที่ชนะพวกศัตรู 28 เขาทั้งหลายกลับมายังเยรูซาเล็มด้วยพิณสิบสาย พิณเล็ก และแตรยาว มายังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 29 อาณาจักรของแผ่นดินทั้งปวงจึงเกิดความหวาดกลัวพระเจ้า เมื่อพวกเขาทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ต่อสู้กับพวกศัตรูของอิสราเอล 30 ดังนั้นอาณาจักรของเยโฮชาฟัทจึงมีสันติสุข เพราะพระเจ้าของท่านให้ท่านได้หยุดพักจากศึกรอบด้าน
31 เยโฮชาฟัทปกครองยูดาห์ ท่านมีอายุ 35 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ในเยรูซาเล็ม 25 ปี มารดาของท่านชื่ออาซูบาห์บุตรหญิงของชิลฮิ 32 ท่านดำเนินชีวิตตามแบบอย่างอาสาบิดาของท่าน ท่านไม่ได้หันเหไปจากนั้น กระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า 33 แต่อย่างไรก็ดี สถานบูชาบนภูเขาสูงยังไม่ถูกกำจัดไป และประชาชนก็ยังไม่มีจิตมุ่งมั่นในพระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา
34 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเยโฮชาฟัทตั้งแต่ต้นจนจบ ก็มีเขียนไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของเยฮูบุตรฮานานี ซึ่งมีบันทึกไว้ในหนังสือของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล
การครองราชย์ของเยโฮชาฟัทสิ้นสุดลง
35 ต่อมาหลังจากนั้น เยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์สัญญาร่วมกับอาหัสยาห์กษัตริย์แห่งอิสราเอลผู้ประพฤติชั่ว 36 เยโฮชาฟัทร่วมกับอาหัสยาห์ในการต่อกองเรือเดินทะเลเพื่อไปยังเมืองทาร์ชิช ท่านทั้งสองใช้เอซีโอนเกเบอร์เป็นสถานที่ต่อเรือ 37 เอลีเอเซอร์บุตรโดดาวาหุแห่งเมืองมาเรชาห์เผยความต่อต้านเยโฮชาฟัทว่า “เพราะท่านได้ร่วมงานกับอาหัสยาห์ พระผู้เป็นเจ้าจะทำลายสิ่งที่ท่านได้สร้างไว้” แล้วเรือก็แตกและแล่นไปยังเมืองทาร์ชิชไม่ได้
ตราประทับที่เจ็ดและกระถางทองคำ
8 เมื่อพระองค์เปิดตราประทับดวงที่เจ็ดออก ความเงียบก็ครอบคลุมสวรรค์อยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง 2 แล้วข้าพเจ้าก็เห็นทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระเจ้ารับแตร 7 คัน 3 ทูตสวรรค์อีกองค์ที่มายืนอยู่ที่แท่นบูชากำลังถือกระถางทองคำสำหรับใส่เครื่องหอม และท่านได้รับเครื่องหอมจำนวนมาก เพื่อถวายร่วมกับคำอธิษฐานของบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าทุกคนบนแท่นบูชาทองคำที่อยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ 4 ควันจากเครื่องหอมกับคำอธิษฐานของบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็ลอยขึ้นไปจากมือของทูตสวรรค์สู่เบื้องหน้าพระเจ้า 5 ครั้นแล้วทูตสวรรค์องค์นั้นก็เอากระถางเครื่องหอมไปบรรจุไฟจากแท่นบูชาให้เต็ม แล้วโยนลงบนแผ่นดินโลก ทำให้เกิดเสียงฟ้าคำรามครืนครั่นหลายครั้ง และเสียงอื่นๆ รวมทั้งสายฟ้าแลบ และแผ่นดินไหว
แตร 7 คัน
6 แล้วทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดก็เตรียมพร้อมที่จะเป่าแตรที่มีอยู่ 7 คัน
7 ครั้นทูตสวรรค์องค์ที่หนึ่งเป่าแตร ลูกเห็บกับไฟปะปนมากับเลือดก็ถูกโยนลงสู่แผ่นดินโลก หนึ่งในสามส่วนของแผ่นดินโลกถูกไฟไหม้ หนึ่งในสามส่วนของต้นไม้ถูกไฟไหม้ และหญ้าเขียวสดทั้งหมดก็ถูกไฟไหม้
8 ทูตสวรรค์องค์ที่สองเป่าแตร ก็มีสิ่งหนึ่งเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่กำลังลุกไหม้ด้วยไฟและถูกโยนลงสู่ทะเล ทำให้หนึ่งในสามส่วนของทะเลกลายเป็นเลือด 9 หนึ่งในสามส่วนของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในทะเลก็ตาย และหนึ่งในสามส่วนของเรือทั้งหมดถูกทำลาย
10 ทูตสวรรค์องค์ที่สามเป่าแตร ดาวใหญ่ดวงหนึ่งก็ตกลงจากฟ้าและกำลังลุกโพลงเหมือนคบเพลิง มันตกลงสู่หนึ่งในสามส่วนของแม่น้ำ และบ่อน้ำพุทั้งหลาย 11 ดาวดวงนั้นชื่อ พันธุ์ไม้ขม และหนึ่งในสามส่วนของน้ำมีรสขม ทำให้หลายคนตายเพราะน้ำที่ได้กลายเป็นรสขม
12 ทูตสวรรค์องค์ที่สี่เป่าแตร หนึ่งในสามส่วนของดวงอาทิตย์ หนึ่งในสามส่วนของดวงจันทร์ และหนึ่งในสามส่วนของดวงดาวก็ถูกทำลายลง จึงทำให้ส่องแสงออกมาได้น้อยลงหนึ่งในสามส่วน หนึ่งในสามส่วนของเวลาในช่วงกลางวันจะไม่มีแสง และในช่วงกลางคืนก็เช่นกัน
13 ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็ได้ยินนกอินทรีตัวหนึ่งกำลังบินอยู่กลางอากาศและพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ความวิบัติ ความวิบัติ ความวิบัติจงเกิดขึ้นกับคนทั้งปวงที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินโลก เพราะเสียงแตรของทูตสวรรค์ 3 องค์ซึ่งกำลังจะเป่าขึ้น”
ภาพนิมิตคันประทีปทองคำ
4 ทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้ามาหาและปลุกให้ตื่น ข้าพเจ้าเป็นเหมือนคนที่ถูกปลุกให้ตื่นจากที่ได้หลับสนิท 2 ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า “ท่านเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นคันประทีปทองคำล้วนซึ่งมีภาชนะ 1 ใบบนยอด และมีดวงประทีป 7 ดวงบนนั้น มีท่อ 7 ท่อโยงกับดวงประทีปแต่ละดวงที่อยู่บนยอด 3 มีต้นมะกอก 2 ต้นอยู่ข้างๆ ต้นหนึ่งอยู่ด้านขวาภาชนะ และอีกต้นอยู่ด้านซ้าย” 4 และข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้าว่า “นายท่าน นี่คืออะไร” 5 แล้วทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้าตอบว่า “ท่านไม่ทราบหรือว่า สิ่งเหล่านี้คืออะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบหรอก นายท่าน” 6 ท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเศรุบบาเบลดังนี้ว่า ‘ไม่ใช่ด้วยฤทธานุภาพ หรือด้วยอานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา’ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น
7 โอ ภูเขาอันยิ่งใหญ่ เจ้าเป็นใคร เจ้าจะกลายเป็นพื้นดินราบที่ตรงหน้าเศรุบบาเบล แล้วเขาจะวางศิลามุมเอกในขณะที่มีเสียงโห่ร้องว่า ‘พระคุณ พระคุณแด่ศิลา’”
8 แล้วคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าดังนี้ 9 “เศรุบบาเบลได้วางฐานรากของพระวิหารนี้ และเขาจะเป็นผู้สร้างให้เสร็จ แล้วท่านจะทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาได้ส่งเรามา 10 ใครดูหมิ่นวันแห่งความคืบหน้าอันน้อยนิด เขาทั้งหลายจะชื่นชมยินดีและจะเห็นสายดิ่งอยู่ในมือของเศรุบบาเบล ดวงประทีปทั้งเจ็ดนี้คือตาของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมองเห็นได้ทั่วทั้งโลก” 11 ข้าพเจ้าพูดกับท่านว่า “ต้นมะกอก 2 ต้นนี้คืออะไร ต้นที่อยู่ด้านขวาและด้านซ้ายของคันประทีป” 12 ข้าพเจ้าตอบครั้งที่สองเป็นคำถามว่า “กิ่งของต้นมะกอก 2 กิ่งนี้คืออะไร เป็นกิ่งที่ข้างท่อทองคำ 2 ท่อซึ่งมีน้ำมันทองไหลออกมา” 13 ท่านตอบว่า “ท่านไม่ทราบหรือว่าท่อเหล่านี้คืออะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบหรอก นายท่าน” 14 ท่านตอบว่า “นี่คือคนทั้งสองที่ได้รับการเจิม เป็นผู้ที่ยืนข้างพระผู้เป็นเจ้าของทั่วแหล่งหล้า”
เทศกาลอยู่เพิง
7 หลังจากนั้นพระเยซูเดินทางไปตามแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ประสงค์ที่จะไปยังแคว้นยูเดีย เพราะชาวยิวหาโอกาสจะฆ่าพระองค์ 2 ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลอยู่เพิงของชาวยิว 3 พวกน้องๆ ของพระเยซูพูดกับพระองค์ว่า “ท่านออกไปจากที่นี่เถิด แล้วไปยังแคว้นยูเดียเพื่อให้บรรดาสาวกของท่านเห็นงานที่ท่านกำลังกระทำอยู่ 4 ด้วยเหตุที่ว่าไม่มีผู้ใดกระทำการในที่ลับ ในเมื่อเขาต้องการให้เป็นที่ประจักษ์อย่างเปิดเผย หากท่านกระทำการเหล่านี้แล้ว ก็จงแสดงตนให้โลกเห็นเถิด” 5 แม้พวกน้องๆ ของพระองค์ก็ไม่เชื่อในพระองค์ 6 พระเยซูกล่าวกับน้องๆ ว่า “ยังไม่ถึงกำหนดเวลาของเรา แต่สำหรับเจ้าแล้วโอกาสใดก็ได้ 7 โลกจะเกลียดชังเจ้าไม่ได้ แต่จะเกลียดเราเพราะเรายืนยันในสิ่งชั่วร้ายที่โลกได้กระทำ 8 พวกเจ้าไปร่วมในงานเทศกาลกันเองเถิด เรายังไม่ไปที่งานเทศกาลนี้ เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของเรา” 9 เมื่อกล่าวกับพวกเขาแล้วพระองค์ก็พักอยู่ที่แคว้นกาลิลีนั่นเอง
10 แต่เมื่อพวกน้องๆ ของพระองค์ไปที่งานเทศกาลแล้ว พระองค์ก็ขึ้นไปด้วยโดยไม่ให้ผู้คนทราบ แต่เป็นการลับ 11 ชาวยิวที่กำลังตามหาพระองค์ในงานเทศกาลพากันถามว่า “คนนั้นอยู่ที่ไหน” 12 ฝูงชนพากันซุบซิบเรื่องของพระองค์มากมาย บ้างพูดว่า “ท่านเป็นคนดี” บ้างก็พูดว่า “คนหลอกลวงประชาชน” 13 แต่ก็ไม่มีผู้ใดพูดถึงพระองค์อย่างเปิดเผย เพราะเกรงกลัวชาวยิว
14 แต่เมื่อถึงช่วงกลางๆ ของงานเทศกาล พระเยซูขึ้นไปที่พระวิหารแล้วเริ่มสั่งสอน 15 ชาวยิวต่างประหลาดใจกันจึงพูดว่า “ชายผู้นี้รู้สิ่งต่างๆ มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่เคยเรียนมาก่อน” 16 พระเยซูตอบว่า “การสั่งสอนของเราไม่ใช่ของเรา แต่เป็นของพระองค์ผู้ส่งเรามา 17 ถ้าผู้ใดเลือกที่จะกระทำตามความประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นจะทราบว่าคำสั่งสอนของเรามาจากพระเจ้า หรือเราพูดตามความตั้งใจของเราเอง 18 ผู้ที่พูดจากความตั้งใจของตนเองย่อมแสวงหาบารมีให้แก่ตนเอง แต่ผู้ที่แสวงหาพระบารมีของพระองค์ผู้ที่ได้ส่งผู้นั้นมา ผู้นั้นมีแต่ความสัตย์และปราศจากความเท็จ 19 โมเสสได้ให้กฎบัญญัติไว้แก่พวกท่านมิใช่หรือ แต่ก็ไม่มีพวกท่านสักคนที่ปฏิบัติตามกฎบัญญัติ แล้วทำไมท่านจึงหาโอกาสฆ่าเรา” 20 ฝูงชนตอบว่า “ท่านมีมารสิงอยู่ ใครเล่าที่พยายามฆ่าท่าน” 21 พระเยซูกล่าวตอบว่า “เราแสดงสิ่งอัศจรรย์สิ่งเดียว พวกท่านก็พากันประหลาดใจ 22 โมเสสได้ให้ท่านเข้าสุหนัต (มิใช่เพราะว่าการเข้าสุหนัตมาจากโมเสส แต่มาจากบรรพบุรุษ) และในวันสะบาโตพวกท่านก็ยังให้บุตรของท่านเข้าสุหนัต 23 ถ้าบุตรของท่านเข้าสุหนัตในวันสะบาโตเพื่อไม่ให้ละเมิดหมวดกฎบัญญัติของโมเสสแล้ว พวกท่านโกรธเราเพราะว่า เราได้ทำให้ชายคนหนึ่งหายเป็นปกติในวันสะบาโตหรือ 24 อย่าตัดสินจากลักษณะภายนอก แต่จงตัดสินตามความเป็นจริงเถิด”
25 บางคนในเมืองเยรูซาเล็มพูดกันว่า “ชายผู้นี้มิใช่หรือที่ผู้คนพยายามฆ่า 26 ดูสิ ท่านกำลังพูดอย่างเปิดเผยและไม่มีใครว่าท่านเลย พวกที่อยู่ในระดับปกครองสรุปข้อเท็จจริงได้แล้วหรือว่า ผู้นี้เป็นพระคริสต์ 27 อย่างไรก็ตาม เราทราบว่าชายผู้นี้มาจากไหน แต่เมื่อใดก็ตามที่พระคริสต์มา ไม่มีใครเลยที่ทราบว่าพระองค์มาจากไหน” 28 พระเยซูกล่าวสั่งสอนด้วยเสียงอันดังในพระวิหารว่า “พวกท่านรู้จักเรา และรู้ด้วยว่าเรามาจากไหน และเราไม่ได้มาโดยลำพังตนเอง แต่พระองค์ผู้ส่งเรามานั้นเป็นจริง และพวกท่านก็ไม่รู้จักพระองค์ 29 เรารู้จักพระองค์เพราะว่าเรามาจากพระองค์ และพระองค์ส่งเรามา” 30 ด้วยเหตุนี้เองเขาเหล่านั้นจึงพยายามจะจับกุมพระเยซู แต่ไม่มีผู้ใดยื่นมือแตะต้องพระองค์ได้ เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์ 31 แต่มีหลายคนในฝูงชนที่เชื่อในพระเยซูและพูดกันว่า “เมื่อพระคริสต์มา พระองค์คงจะไม่แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์มากกว่าที่ชายผู้นี้ได้กระทำหรอก”
32 พวกฟาริสีได้ยินฝูงชนพากันซุบซิบเรื่องของพระองค์ พวกมหาปุโรหิตและฟาริสีจึงได้ส่งพวกเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าพระวิหารไปเพื่อจับกุมพระองค์ 33 ฉะนั้นพระเยซูกล่าวว่า “เราอยู่กับพวกท่านอีกเพียงประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วเราก็จะไปหาผู้ที่ส่งเรามา 34 พวกท่านจะแสวงหาเรา แต่จะไม่พบ และที่ซึ่งเราอยู่ พวกท่านไม่อาจไปถึงได้” 35 ดังนั้นชาวยิวจึงพูดโต้ตอบกันว่า “ชายผู้นี้ตั้งใจจะไปที่ไหนที่พวกเราจะหาไม่พบ จะตั้งใจไปหาพวกเราที่กระจัดกระจายไปอยู่กับชาวกรีก และสั่งสอนชาวกรีกหรือ 36 ท่านหมายความว่าอย่างไรที่กล่าวว่า ‘พวกท่านจะแสวงหาเรา แต่จะไม่พบ และที่ซึ่งเราอยู่ พวกท่านไม่อาจไปถึงได้’”
แม่น้ำแห่งชีวิต
37 ในวันสุดท้ายอันเป็นวันยิ่งใหญ่ของงานเทศกาลนั้น พระเยซูยืนขึ้นกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ถ้าผู้ใดกระหายก็ให้เขามาหาเราและดื่ม 38 ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่า ผู้ที่เชื่อเรา ‘จะมีแม่น้ำที่มีน้ำแห่งชีวิตไหลจากภายในที่เป็นส่วนลึกสุดของเขา’” 39 สิ่งที่พระองค์กล่าวนี้หมายถึงพระวิญญาณซึ่งบรรดาคนที่เชื่อในพระองค์จะได้รับ ด้วยว่าพระเยซูยังไม่ได้รับพระบารมี จึงยังไม่ได้มอบพระวิญญาณให้
40 เมื่อฝูงชนได้ยินแล้ว บางคนก็พูดว่า “ผู้นี้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้นั้นอย่างแน่นอน” 41 บ้างก็พูดว่า “ผู้นี้เป็นพระคริสต์” คนอื่นๆ พูดว่า “พระคริสต์ไม่ได้มาจากแคว้นกาลิลีแน่ใช่ไหม 42 พระคัมภีร์ได้ระบุไว้แล้วมิใช่หรือว่า พระคริสต์สืบเชื้อสายมาจากดาวิดและจากหมู่บ้านเบธเลเฮมซึ่งดาวิดเคยอยู่” 43 ดังนั้นฝูงชนก็แบ่งพรรคแบ่งพวกกันเพราะเรื่องของพระเยซู 44 บางคนต้องการจะจับกุมพระองค์ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือออกไปแตะต้องพระองค์
ความไม่เชื่อของผู้นำชาวยิว
45 บรรดาเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าพระวิหารจึงมาหาพวกมหาปุโรหิตและฟาริสี เขาเหล่านั้นถามเจ้าหน้าที่ว่า “ทำไมพวกท่านจึงไม่นำตัวเขามา” 46 บรรดาเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าพระวิหารตอบว่า “ชายผู้นี้พูดไม่เหมือนใครเลย” 47 ฉะนั้นพวกฟาริสีตอบพวกเขาว่า “เจ้าถูกหลอกไปด้วยแล้วหรือ 48 มีผู้ใดในระดับปกครองหรือพวกฟาริสีที่เชื่อเขาบ้างไหม 49 แต่ฝูงชนกลุ่มนี้ไม่รู้กฎบัญญัติจึงถูกสาปแช่ง” 50 นิโคเดมัสเป็นผู้หนึ่งในพวกเขา ซึ่งเป็นคนที่มาหาพระเยซูก่อนหน้านี้และได้ถามพวกเขาว่า 51 “กฎบัญญัติของเราไม่ควรกล่าวโทษคน จนกว่าจะฟังเขาก่อนและรู้ว่าเขากระทำอะไรมิใช่หรือ” 52 เขาเหล่านั้นตอบนิโคเดมัสว่า “ท่านก็มาจากแคว้นกาลิลีด้วยหรือ จงค้นหาดูให้ดีเถิด แล้วท่านจะพบว่าไม่มีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้ใดที่มาจากแคว้นกาลิลี” 53 [จากนั้นทุกคนก็พากันกลับไปยังบ้านของตน
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation