Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
2 พงศาวดาร 11-12

เรโหโบอัมทำให้อาณาจักรมั่นคง

11 เมื่อเรโหโบอัมมายังเยรูซาเล็ม ท่านก็เรียกประชุมพงศ์พันธุ์ยูดาห์และเบนยามิน รวมนักรบที่คัดเลือกได้ 180,000 คน ไปต่อสู้กับอิสราเอล เพื่อรวมอาณาจักรเข้าด้วยกันอีกให้แก่เรโหโบอัม แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านเชไมยาห์คนของพระเจ้าดังนี้คือ “จงบอกเรโหโบอัมบุตรซาโลมอนกษัตริย์แห่งยูดาห์ และชาวอิสราเอลทั้งปวงในยูดาห์และเบนยามินว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า เจ้าอย่าขึ้นไปต่อสู้กับญาติพี่น้องของเจ้า ทุกคนจงกลับบ้านไป เพราะว่าเราต้องการให้เป็นไปอย่างนั้น’” เขาเหล่านั้นจึงเชื่อฟังคำของพระผู้เป็นเจ้า และกลับไปจากการต่อสู้กับเยโรโบอัม

เรโหโบอัมอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม และท่านสร้างเมืองต่างๆ ขึ้นใหม่ ซึ่งใช้เป็นป้อมปราการในยูดาห์ ท่านสร้างเบธเลเฮม เอตาม เทโคอา เบธซูร์ โสโค อดุลลาม กัท มาเรชาห์ และศิฟ อาโดราอิม ลาคีช และอาเซคาห์ 10 โศราห์ อัยยาโลน และเฮโบรน เมืองเหล่านี้มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่งที่อยู่ในยูดาห์และเบนยามิน 11 ท่านเสริมป้อมปราการให้แข็งแกร่งขึ้น และตั้งผู้บังคับบัญชาประจำป้อมเหล่านั้น อีกทั้งเก็บตุนอาหาร น้ำมัน และเหล้าองุ่นด้วย 12 ท่านเก็บโล่และหอกไว้ในทุกเมือง และทำให้เมืองแข็งแกร่งมาก ดังนั้นยูดาห์และเบนยามินอยู่ภายใต้การควบคุมของท่าน

ปุโรหิตและชาวเลวีมายังเยรูซาเล็ม

13 บรรดาปุโรหิตและชาวเลวีจากทุกแว่นแคว้นในอิสราเอลก็มาเข้าเป็นฝ่ายเดียวกับเรโหโบอัม 14 บรรดาชาวเลวีทอดทิ้งไร่นาและทุ่งหญ้าของตน เพื่อไปยังยูดาห์และเยรูซาเล็ม เพราะเยโรโบอัมและบุตรทั้งหลายของท่านไม่ให้ชาวเลวีปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้า 15 และท่านได้แต่งตั้งบรรดาปุโรหิตของท่านเอง ให้ประจำสถานบูชาบนภูเขาสูง บูชาแพะและลูกโคตัวผู้ซึ่งเป็นรูปเคารพที่ท่านสร้างไว้ 16 คนจากทุกเผ่าของอิสราเอลที่มุ่งมั่นแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ก็ติดตามชาวเลวีไปยังเยรูซาเล็ม เพื่อถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา 17 เขาทั้งหลายหนุนอาณาจักรแห่งยูดาห์ให้แข็งแกร่ง และช่วยให้เรโหโบอัมบุตรของซาโลมอนมั่นคงเป็นเวลา 3 ปี เพราะพวกเขาดำเนินชีวิตตามแบบอย่างดาวิดและซาโลมอน 3 ปี

ครอบครัวของเรโหโบอัม

18 เรโหโบอัมสมรสกับมาหะลัทบุตรหญิงของเยรีโมทซึ่งเป็นบุตรของดาวิด มารดาของเธอคืออาบีฮาอิลซึ่งเป็นบุตรหญิงของเอลีอับผู้เป็นบุตรของเจสซี 19 นางให้กำเนิดบุตรคือ เยอูช เช-มาริยาห์ และศาฮัม 20 หลังจากนั้นท่านรับนางมาอาคาห์บุตรหญิงของอับซาโลมไว้เป็นภรรยา นางให้กำเนิดอาบียาห์ อัททัย ศีศา และเชโลมิท 21 เรโหโบอัมรักนางมาอาคาห์บุตรหญิงของอับซาโลม[a] มากยิ่งกว่าภรรยาและภรรยาน้อยทั้งปวง (ท่านมีภรรยา 18 คน ภรรยาน้อย 60 คน และมีบุตรชาย 28 คน บุตรหญิง 60 คน) 22 เรโหโบอัมแต่งตั้งอาบียาห์บุตรของนางมาอาคาห์ให้เป็นเจ้าชายคนสำคัญที่สุดในหมู่พี่น้อง เพราะท่านตั้งใจจะแต่งตั้งบุตรคนนี้ให้เป็นกษัตริย์ 23 ท่านดำเนินการด้วยการไตร่ตรองจากสติปัญญา โดยให้บุตรของท่านบางคนไปประจำอยู่ในเมืองต่างๆ ที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่งทั่วยูดาห์และเบนยามิน และท่านจัดหาทุกสิ่งให้แก่พวกเขา ท่านจัดหาภรรยาให้พวกเขาด้วย

อียิปต์ปล้นระดมเยรูซาเล็ม

12 เมื่อเรโหโบอัมสถาปนาการปกครองของท่าน และอาณาจักรแข็งแกร่งแล้ว ท่านก็ทอดทิ้งกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า และอิสราเอลทั้งปวงก็กระทำเช่นนั้นด้วย ในปีที่ห้าของกษัตริย์เรโหโบอัม ชิชักกษัตริย์แห่งอียิปต์ขึ้นมาโจมตีเยรูซาเล็ม เพราะเขาทั้งปวงไม่ภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า โดยมีรถศึก 1,200 คัน ทหารม้า 60,000 คน นอกจากนั้นก็ยังมีทหารจำนวนนับไม่ถ้วนจากอียิปต์ที่เป็นชาวลิเบีย ชาวสุคีอิม และชาวคูช ท่านยึดเมืองต่างๆ ของยูดาห์ที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง และมาไกลจนถึงเมืองเยรูซาเล็ม เป็นเพราะชิชัก เชไมยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าจึงมาหาเรโหโบอัมและบรรดาผู้นำของยูดาห์ซึ่งกำลังประชุมกันอยู่ที่เยรูซาเล็ม เชไมยาห์พูดกับพวกเขาว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ ‘พวกเจ้าทอดทิ้งเรา ดังนั้นเราจึงได้ทอดทิ้งพวกเจ้าให้อยู่ในมือของชิชัก’” บรรดาผู้นำของอิสราเอลและกษัตริย์จึงถ่อมตนลงและพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ามีความชอบธรรม” เมื่อพระผู้เป็นเจ้าเห็นว่าพวกเขาถ่อมตนลง พระผู้เป็นเจ้าจึงกล่าวผ่านเชไมยาห์ว่า “พวกเขาได้ถ่อมตนลงแล้ว เราจะไม่ทำลายเขา และจะช่วยเหลือพวกเขา และเราจะไม่ลงโทษเยรูซาเล็มด้วยฝีมือของชิชัก อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะต้องรับใช้ชิชัก เพื่อจะได้รู้ถึงความแตกต่างระหว่างการรับใช้เราและการรับใช้อาณาจักรทั้งหลาย”

ดังนั้น ชิชักกษัตริย์แห่งอียิปต์ขึ้นมาโจมตีเยรูซาเล็ม และริบของล้ำค่าไปจากพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า รวมทั้งของมีค่าจากวังกษัตริย์ ท่านริบทุกสิ่งไป พร้อมกับโล่ทองคำทั้งหมดที่ซาโลมอนทำไว้ 10 กษัตริย์เรโหโบอัมจึงตีโล่ทองสัมฤทธิ์ขึ้นแทน และมอบให้พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เฝ้าประตูวังของกษัตริย์ดูแล 11 ทุกครั้งที่กษัตริย์ไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า พวกเจ้าหน้าที่ก็จะเป็นผู้แบกโล่ออกมา และหลังจากนั้นก็นำกลับไปยังห้องเก็บอาวุธของเจ้าหน้าที่ 12 เมื่อท่านถ่อมตนลง พระผู้เป็นเจ้าก็หยุดลงโทษท่าน ท่านจึงไม่ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง และยิ่งกว่านั้น สถานการณ์ในยูดาห์ก็ยังดีอยู่บ้าง

13 ดังนั้น กษัตริย์เรโหโบอัมมีความมั่นคงในเยรูซาเล็ม และปกครองต่อไป เรโหโบอัมมีอายุ 41 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 17 ปีในเยรูซาเล็มเมืองที่พระผู้เป็นเจ้าได้เลือกมาจากทุกเผ่าของอิสราเอล เพื่อให้เป็นที่นมัสการที่นั่น มารดาของท่านชื่อนาอามาห์ชาวอัมโมน 14 ที่ท่านกระทำสิ่งชั่วร้าย เพราะท่านไม่ได้มุ่งมั่นที่จะแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า

15 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเรโหโบอัม ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในประวัติของเชไมยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และของอิดโดผู้รู้มิใช่หรือ ศึกสงครามระหว่างเรโหโบอัมและเยโรโบอัมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง 16 และเรโหโบอัมก็สิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิด อาบียาห์[b]บุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน

วิวรณ์ 2

ถึงคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัส

จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัสว่า องค์ผู้ถือดาว 7 ดวงในมือขวา ผู้เดินอยู่ท่ามกลางคันประทีปทองคำทั้งเจ็ดกล่าวดังนี้ว่า

‘เรารู้เรื่องการกระทำต่างๆ ของเจ้า รู้ถึงงานที่เจ้าตรากตรำและความบากบั่นของเจ้า เรารู้ว่าเจ้าไม่สามารถอดกลั้นต่อคนชั่ว เจ้าได้ทดสอบพวกที่อ้างตนว่าเป็นอัครทูตแต่ไม่ได้เป็น ซึ่งเจ้าก็พบแล้วว่า เขาพูดเท็จ เจ้าบากบั่นและอดทนเพื่อนามของเรา อีกทั้งยังไม่ได้อ่อนล้าไป แต่เรามีสิ่งที่จะตำหนิเจ้าคือ เจ้าได้ละทิ้งรักแรกที่เจ้าเคยมี ฉะนั้นจงระลึกว่าเจ้าได้ตกลงมาจากที่ใด เจ้าจงกลับใจ และกระทำสิ่งที่เจ้าเคยทำมาแต่ต้น มิฉะนั้นเราจะมาหาเจ้า และย้ายคันประทีปของเจ้าออกไปจากที่เดิม นอกเสียจากว่า เจ้าจะกลับใจ แต่สิ่งดีที่เจ้ามีก็คือ เจ้าเกลียดชังการกระทำของพรรคนิโคเลาส์ ซึ่งเราก็เกลียดชังเช่นกัน ผู้ใดมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณกล่าวแก่คริสตจักรทั้งหลาย เราจะให้ผู้ที่มีชัยชนะได้กินผลจากต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งอยู่ในสวนสวรรค์ของพระเจ้า’

ถึงคริสตจักรที่เมืองสเมอร์นา

และจงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองสเมอร์นาว่า พระองค์ผู้เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลายผู้ได้สิ้นชีวิตและฟื้นคืนชีวิตแล้ว กล่าวว่า

‘เรารู้เรื่องความยากลำบากและความยากจนของเจ้า แต่ว่าเจ้าก็มั่งมี เรารู้ถึงการใส่ร้ายของพวกที่อ้างว่าตนเป็นชาวยิวทั้งที่ไม่ได้เป็น แต่กลับเป็นศาลาที่ประชุมของซาตาน[a] 10 อย่ากลัวความทุกข์ทรมานที่เจ้ากำลังจะได้รับ ดูเถิด พญามารจะเป็นเหตุให้บางคนในพวกเจ้าถูกจำคุก เพื่อทดสอบใจ และเจ้าทั้งหลายจะประสบกับความยากลำบากถึง 10 วัน เจ้าจงรักษาความภักดีไว้ตราบวันตาย และเราจะมอบมงกุฎแห่งชีวิตให้แก่เจ้า 11 ผู้ใดมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณกล่าวแก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ที่มีชัยชนะจะไม่ได้รับอันตรายจากความตายครั้งที่สอง’

ถึงคริสตจักรที่เมืองเปอร์กามัม

12 และจงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองเปอร์กามัมว่า พระองค์ผู้มีดาบสองคมอันคมกริบกล่าวว่า

13 ‘เรารู้ว่าเจ้าอยู่ในที่ซึ่งซาตานครองบัลลังก์ แต่เจ้าก็ยังยึดนามของเราไว้อย่างมั่นคง ไม่ได้ปฏิเสธความเชื่อของเจ้าที่มีในเรา แม้ในเวลาที่อันทีพาสพยานผู้ซื่อสัตย์ของเราถูกฆ่าท่ามกลางพวกเจ้า ณ ที่ซึ่งซาตานพำนัก 14 แต่เรามีสองสามสิ่งที่จะตำหนิเจ้า ด้วยว่ามีบางคนในพวกเจ้าที่เชื่อถือตามคำสั่งสอนของบาลาอัม เขาคอยเสี้ยมสอนบาลาคให้ก่อเหตุ เพื่อยั่วยุให้ชาวอิสราเอลทำบาป ให้กินสิ่งที่ได้บูชาแก่รูปเคารพแล้ว และให้ประพฤติผิดทางเพศ 15 และมีบางคนในพวกเจ้าที่เชื่อถือตามคำสั่งสอนของพรรคนิโคเลาส์ด้วยเช่นกัน 16 ฉะนั้นเจ้าจงกลับใจ มิฉะนั้นเราจะมาหาเจ้าในไม่ช้า และเราจะต่อสู้พวกเขาด้วยดาบจากปากของเรา 17 ผู้ใดมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณกล่าวแก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ที่มีชัยชนะ เราก็จะให้มานาที่ซ่อนไว้แก่เขา และเราจะให้หินขาวก้อนหนึ่งแก่เขา ที่หินมีชื่อใหม่จารึกไว้ซึ่งไม่มีผู้ใดทราบเลยนอกจากผู้ที่รับเท่านั้น’

ถึงคริสตจักรที่เมืองธิยาทิรา

18 และจงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองธิยาทิราว่า พระบุตรของพระเจ้าผู้มีดวงตาประกายกล้าดุจเปลวไฟ และเท้าของพระองค์เป็นเหมือนทองสัมฤทธิ์อันมันปลาบกล่าวว่า

19 ‘เรารู้เรื่องการกระทำต่างๆ ของเจ้า ความรักและความเชื่อของเจ้า การรับใช้และความบากบั่น และในเวลานี้ การกระทำของเจ้ายิ่งใหญ่กว่าการกระทำในตอนแรกๆ 20 แต่เรามีสิ่งที่จะตำหนิเจ้าคือ เจ้าปล่อยให้เยเซเบลผู้หญิงที่เรียกตนเองว่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ไปสั่งสอนและนำบรรดาผู้รับใช้ของเราให้หลงผิด จนพวกเขาประพฤติผิดทางเพศ และกินสิ่งที่บูชาแก่รูปเคารพแล้ว 21 เราให้โอกาสหญิงนั้นกลับใจ แต่นางก็ไม่ยอมกลับใจจากการประพฤติผิดทางเพศของนาง 22 ดูเถิด เราจะทำให้นางล้มป่วย และพวกที่ผิดประเวณีด้วยกับนางจะได้รับความยากลำบาก นอกเสียจากว่า พวกเขาจะสารภาพการประพฤติผิดที่มีกับนาง 23 เราจะฆ่าพวกลูกๆ ของนางให้ตาย และคริสตจักรทุกแห่งจะได้รู้ว่า เราเป็นผู้หยั่งรู้ถึงความคิดและจิตใจ และเราจะสนองตอบพวกเจ้าแต่ละคนตามการกระทำของตน 24 แต่เราขอบอกพวกเจ้าซึ่งเหลืออยู่ที่เมืองธิยาทิรา พวกเจ้าที่ไม่ถือตามคำสั่งสอนของนาง และไม่เคยเรียนรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาเรียกกันว่าความลึกล้ำของซาตาน เราจะไม่ให้เจ้าแบกภาระอื่นอีก 25 เพียงแต่เจ้ายึดสิ่งที่มีอยู่ไว้แล้วให้มั่นจนกว่าเราจะมา 26 ผู้ที่มีชัยชนะ และทำตามความตั้งใจของเราจนถึงที่สุด เราก็จะให้ผู้นั้นมีสิทธิอำนาจเหนือบรรดาประชาชาติ 27 “และผู้นั้นจะปกครองพวกเขาด้วยคทาเหล็ก ซึ่งจะทำให้พวกเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนกับภาชนะดินเผา”[b] ตามที่เราได้รับสิทธิอำนาจจากพระบิดาของเรา 28 และเราจะมอบดาวประจำรุ่งให้แก่เขาด้วย 29 ผู้ใดมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณกล่าวแก่คริสตจักรทั้งหลาย’

เศฟันยาห์ 3

การลงโทษเยรูซาเล็มและบรรดาประชาชาติ

วิบัติจงเกิดแก่เมืองที่ฝ่าฝืน
    และเป็นมลทิน
เมืองนี้ไม่เชื่อฟังใคร
    ไม่ยอมรับการสั่งสอน
ไม่ไว้ใจพระผู้เป็นเจ้า
    และไม่ใกล้ชิดพระเจ้าของตน

บรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ในเมือง
    ก็คือพวกสิงโตคำราม
บรรดาผู้ปกครองเมืองคือสุนัขป่าในยามค่ำ
    ซึ่งไม่มีอะไรเหลือทิ้งไว้สำหรับเวลาเช้า
บรรดาผู้เผยคำกล่าวของเมืองยโสโอหัง
    พวกเขาเป็นคนดุร้าย
บรรดาปุโรหิตของเมืองดูหมิ่นสิ่งบริสุทธิ์
    และพวกเขากระทำผิดต่อกฎบัญญัติ
พระผู้เป็นเจ้าผู้สถิตในเมืองนั้นมีความชอบธรรม
    พระองค์ทำสิ่งที่ถูกต้อง
ทุกๆ เช้าพระองค์ให้ความเป็นธรรม
    ทุกๆ วันใหม่พระองค์เป็นที่พึ่งได้เสมอ
    แต่คนที่ไม่ยุติธรรมไม่รู้สึกอับอาย

“เราได้ตัดขาดบรรดาประชาชาติ
    หลักยึดของพวกเขาพังพินาศ
เราได้ทำให้ถนนเป็นที่ร้าง
    ไม่มีใครเดินผ่านไปมาได้
เมืองทั้งหลายของพวกเขาถูกทำลายจนไม่เหลือแม้แต่ซาก
    ไม่มีผู้ชายสักคน ไม่มีผู้อยู่อาศัยสักคน
เราพูดดังนี้ว่า
    ‘เจ้าจะเกรงกลัวเราอย่างแน่นอน
    เจ้าจะยอมรับการสั่งสอน
แล้วที่อยู่อาศัยของเจ้าจะไม่ถูกกำจัด
    ตามที่เราได้กำหนดที่จะขัดขวางเจ้าในทุกสิ่ง’
แต่พวกเขายังกระตือรือร้น
    ที่จะทำทุกสิ่งให้เสื่อมทราม”

ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
    “รอเราเพื่อวันที่เราจะลุกขึ้นให้คำพยาน
เพราะเราได้ตัดสินใจรวบรวมบรรดาประชาชาติ
    เพื่อเรียกประชุมบรรดาอาณาจักร
เพื่อกระหน่ำการลงโทษของเราลงบนพวกเขา
    และกระหน่ำความกริ้วอันร้อนแรงของเรา
เพราะความหวงแหนของเราลุกเป็นไฟ
    ทั่วทั้งโลกจะถูกเผาผลาญ

บรรดาประชาชาติเปลี่ยนความเชื่อ

เพราะในเวลานั้น เราจะทำให้คำพูด
    ของประชาชนบริสุทธิ์
เพื่อพวกเขาทุกคนจะออกพระนามของพระผู้เป็นเจ้า
    และรับใช้พระองค์ร่วมกัน
10 บรรดาผู้นมัสการซึ่งเป็นชนชาติของเราที่กระจัดกระจายไป
    จะนำของถวายจากโพ้นแม่น้ำของคูชมาให้เรา

11 ในวันนั้น เจ้าจะไม่ต้องอับอาย
    เพราะการกระทำผิดทั้งหลายที่เจ้ามีต่อเรา
เพราะเราจะกำจัดบรรดาผู้ที่โห่ร้อง
    ด้วยความยโสของพวกเขาไปเสียจากเมืองนี้
และพวกเจ้าจะไม่มีวันเย่อหยิ่งอยู่
    ในภูเขาอันบริสุทธิ์ของเราอีกต่อไป
12 แต่เราจะให้มีชนชาติที่ถ่อมตัวและมีใจอ่อนน้อม
    อยู่ในท่ามกลางพวกเจ้า
พวกเขาจะแสวงหาที่พึ่งในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า
13 ผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ของอิสราเอล
    จะไม่กระทำสิ่งใดที่ไม่เป็นธรรม
    และจะไม่พูดเท็จ
ลิ้นที่ลวงหลอก
    จะไม่อยู่ในปากของพวกเขา
พวกเขาจะรับประทานและนอนพัก
    และจะไม่มีผู้ใดทำให้พวกเขาหวาดผวา”

อิสราเอลยินดีและกลับคืนสู่สภาพเดิม

14 โอ ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร้องเพลงเถิด
    โอ อิสราเอลเอ๋ย จงส่งเสียงดังเถิด
จงยินดีและโห่ร้องอย่างสุดจิตสุดใจ
    โอ ธิดาแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย
15 พระผู้เป็นเจ้าได้เอาการตัดสินโทษไปจากท่านแล้ว
    พระองค์ได้ทำให้บรรดาศัตรูของท่านหันกลับไปแล้ว
พระผู้เป็นเจ้ากษัตริย์แห่งอิสราเอลอยู่ท่ามกลางพวกท่าน
    ท่านจะไม่ต้องกลัวสิ่งเลวร้ายอีกต่อไปแล้ว
16 ในวันนั้น จะมีคนพูดกับเยรูซาเล็มดังนี้ว่า
“โอ ศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย
    อย่าให้มือของท่านอ่อนล้า
17 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอยู่ท่ามกลางพวกท่าน
    พระองค์มีอานุภาพที่จะช่วยให้รอดพ้น
พระองค์จะชื่นชอบในตัวท่านด้วยความยินดี
    พระองค์จะให้ท่านสงบนิ่งด้วยความรักของพระองค์
พระองค์จะยินดีในตัวท่านด้วยการร้องเพลงเสียงดัง”
18 “เราจะทำให้พวกเจ้าหายจากความโศกเศร้ากับเทศกาลต่างๆ
    เนื่องจากสิ่งเหล่านั้นเป็นภาระ
    และเป็นที่ดูหมิ่นแก่พวกเจ้า
19 ดูเถิด ในเวลานั้น เราจะจัดการ
    กับบรรดาผู้กดขี่ข่มเหงของเจ้า
และเราจะช่วยคนง่อยให้รอด
    และรวบรวมบรรดาผู้ถูกขับไล่ไสส่ง
และเราจะให้พวกเขาได้รับการยกย่องและเกียรติ
    ในทุกแผ่นดินที่พวกเขาได้รับความอับอาย
20 ในเวลานั้น เราจะรวบรวมพวกเจ้า
    ในเวลานั้น เราจะพาพวกเจ้าเข้ามา
เราจะให้พวกเจ้าได้รับเกียรติและการยกย่อง
    ในท่ามกลางชนชาติทั้งปวงของแผ่นดินโลก
เมื่อเราทำให้เจ้าเห็นความอุดมสมบูรณ์ของเจ้าคืนสู่สภาพเดิม”
    พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น

ยอห์น 1

คำกล่าวแห่งชีวิต

คำกล่าวดำรงอยู่นับแต่ครั้งปฐมกาล คำกล่าวนั้นดำรงอยู่กับพระเจ้า และคำกล่าวนั้นคือพระเจ้า พระองค์ได้ดำรงอยู่กับพระเจ้านับแต่ครั้งปฐมกาล ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้ก็เพราะพระองค์ ถ้าปราศจากพระองค์แล้ว สิ่งที่เป็นอยู่นี้จะมีขึ้นมาไม่ได้ พระองค์เป็นแหล่งกำเนิดแห่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดก็ไม่อาจเอาชนะความสว่างได้

มีชายคนหนึ่งชื่อยอห์นผู้ซึ่งพระเจ้าใช้มา ท่านได้มาเพื่อเป็นพยาน และเป็นผู้ยืนยันถึงความสว่างนั้น เพื่อคนทั้งปวงจะได้มีความเชื่อ[a]โดยผ่านท่าน ท่านเองไม่ใช่ความสว่าง แต่มาเพื่อเป็นผู้ยืนยันถึงความสว่างเท่านั้น

ความสว่างแท้ซึ่งทอแสงไปยังมนุษย์ทุกคน กำลังเข้ามาในโลก 10 พระองค์ดำรงอยู่ในโลก แม้ว่าพระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาโดยผ่านพระองค์ แต่โลกกลับไม่รู้จักพระองค์ 11 พระองค์มาสู่บ้านเมืองของพระองค์ แต่ชนชาติของพระองค์กลับไม่ต้อนรับ 12 ส่วนคนที่ต้อนรับและเชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ให้ได้รับสิทธิ์เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือบุตรที่ไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อที่เป็นมนุษย์หรือความต้องการฝ่ายเนื้อหนัง[b] หรือความประสงค์ของฝ่ายชาย แต่เกิดจากพระเจ้า

14 คำกล่าวนั้นได้มาเกิดเป็นมนุษย์และพำนักอยู่ท่ามกลางเรา พวกเราได้เห็นพระบารมีของพระองค์ อันเป็นพระบารมีของพระบุตรองค์เดียวผู้มาจากพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง 15 ยอห์นร้องประกาศเพื่อยืนยันถึงพระองค์ว่า “พระองค์คือผู้ที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงว่า ‘ผู้ที่มาภายหลังข้าพเจ้าเหนือยิ่งกว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’” 16 จากความบริบูรณ์ของพระองค์ เราทุกคนจะได้รับพระคุณเพิ่มแล้วเพิ่มอีกเสมอไป 17 ด้วยว่า กฎบัญญัติถูกมอบให้โดยผ่านโมเสส[c] ส่วนพระคุณและความจริงมาได้โดยผ่านพระเยซูคริสต์[d] 18 ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า แต่พระบุตรองค์เดียวผู้ดำรงความเป็นพระเจ้า ผู้อยู่ในอ้อมอกของพระบิดา ได้ทำให้พระบิดาเป็นที่รู้จัก

คำยืนยันของยอห์น

19 นี่เป็นคำยืนยันของยอห์น เมื่อชาวยิวจากเมืองเยรูซาเล็มส่งพวกปุโรหิต[e]และพวกเลวี[f]ไปถามว่า ท่านคือใคร 20 ท่านยอมรับ และตอบตามความจริงว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์” 21 พวกเขาจึงถามต่อไปว่า “แล้วท่านคือใครเล่า เป็นเอลียาห์หรือ” ท่านตอบว่า “ไม่ใช่” “ท่านเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้นั้นหรือ” ท่านตอบว่า “ไม่ใช่” 22 ในที่สุดเขาเหล่านั้นพูดว่า “ท่านเป็นใคร โปรดให้คำตอบแก่เราเพื่อกลับไปบอกบรรดาผู้ที่ส่งเรามาเถิด ท่านอ้างว่าท่านเป็นใคร” 23 ยอห์นตอบตามคำกล่าวของอิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าเป็นเสียงของผู้ที่ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า ‘จงทำทางให้ตรงเพื่อพระผู้เป็นเจ้าเถิด’”[g]

24 ส่วนคนที่พวกฟาริสี[h]ส่งมา 25 ได้ถามยอห์นว่า “ถ้าท่านไม่ใช่พระคริสต์ หรือเอลียาห์ หรือผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้นั้น แล้วทำไมท่านจึงให้บัพติศมา[i]เล่า” 26 ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่ผู้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางพวกท่าน ท่านกลับไม่รู้จัก 27 พระองค์เป็นผู้ที่มาภายหลังข้าพเจ้า แม้แต่เชือกผูกรองเท้าของพระองค์ ข้าพเจ้าก็มิบังควรที่จะแก้ออก” 28 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานีทางด้านตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน อันเป็นที่ซึ่งยอห์นกำลังให้บัพติศมาอยู่

ลูกแกะของพระเจ้า

29 วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเดินตรงมาหาท่าน จึงกล่าวว่า “ดูสิ ลูกแกะของพระเจ้า เป็นผู้ที่รับเอาบาปของโลกไป 30 นี่คือผู้ที่ข้าพเจ้าพูดถึงว่า ‘ผู้มาภายหลังข้าพเจ้าคือผู้ที่เหนือยิ่งกว่าข้าพเจ้า เพราะพระองค์ดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’ 31 ข้าพเจ้าเองแม้ไม่รู้จักพระองค์มาก่อน แต่เหตุที่ข้าพเจ้ามาให้บัพติศมาด้วยน้ำ ก็เพื่อให้พระองค์ได้เป็นที่ประจักษ์แก่พวกชนชาติอิสราเอล” 32 แล้วยอห์นก็กล่าวยืนยันว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณลงมาจากสวรรค์ในรูปลักษณ์ของนกพิราบ และสถิตกับพระองค์ 33 ข้าพเจ้าเองแม้ไม่รู้จักพระองค์มาก่อน แต่ผู้ที่ส่งข้าพเจ้ามาเพื่อให้บัพติศมาด้วยน้ำได้บอกข้าพเจ้าไว้ว่า ‘เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณลงมาสถิตกับผู้ใด ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’[j] 34 ข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว และขอยืนยันว่า ผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

สาวกกลุ่มแรกของพระเยซู

35 ในวันรุ่งขึ้น ยอห์นยืนอยู่ที่นั่นอีกกับสาวก 2 คน 36 เมื่อท่านเห็นพระเยซูเดินผ่านไป ท่านกล่าวว่า “ดูสิ ลูกแกะของพระเจ้า” 37 เมื่อสาวกทั้งสองได้ยิน ก็ติดตามพระเยซูไป 38 พระเยซูหันมาพบว่า พวกเขาเดินตามมา จึงถามว่า “เจ้าแสวงหาอะไร” เขาตอบว่า “รับบี” (ซึ่งแปลว่า อาจารย์) “ท่านพักอยู่ที่ไหน” 39 พระองค์ตอบว่า “มาเถิด แล้วเจ้าจะได้เห็นเอง” ดังนั้นสาวกทั้งสองจึงได้ตามไปและเห็นว่า พระองค์พักอยู่ที่ไหน ในวันนั้นเขาก็ได้พักอยู่กับพระองค์ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 10 โมงเช้า[k] 40 หนึ่งในสองคนที่ได้ยินยอห์นพูดและได้ติดตามพระองค์ไป คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร 41 อันดรูว์จึงไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อนเพื่อบอกเขาว่า “เราได้พบพระเมสสิยาห์ (ซึ่งแปลว่า พระคริสต์) แล้ว” 42 ครั้นแล้ว ก็พาซีโมนมาหาพระเยซู พระเยซูมองเขาและกล่าวว่า “เจ้าคือซีโมนบุตรของยอห์น เจ้าจะได้รับชื่อว่า เคฟาส” (ซึ่งแปลว่า เปโตร)

ฟีลิปและนาธานาเอลติดตามพระเยซู

43 วันรุ่งขึ้นพระเยซูตั้งใจจะไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์พบฟีลิปจึงกล่าวขึ้นว่า “จงตามเรามาเถิด” 44 ฟีลิปมาจากเมืองเบธไซดา เช่นเดียวกับอันดรูว์และเปโตร 45 ฟีลิปพบนาธานาเอลและบอกเขาว่า “เราได้พบผู้ที่โมเสสเขียนถึงในหมวดกฎบัญญัติ และที่บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเขียนถึงด้วย คือพระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธผู้เป็นบุตรของโยเซฟ” 46 นาธานาเอลถามว่า “สิ่งดีอันใดจะมาจากเมืองนาซาเร็ธได้หรือ” ฟีลิปบอกเขาว่า “มาดูสิ” 47 เมื่อพระเยซูเห็นนาธานาเอลเดินเข้ามาใกล้ พระองค์จึงกล่าวว่า “คนนี้เป็นชาวอิสราเอลแท้ หามีเล่ห์เหลี่ยมไม่” 48 นาธานาเอลจึงถามว่า “ท่านรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร” พระเยซูตอบว่า “เราเห็นเจ้าเวลาเจ้าอยู่ใต้ต้นมะเดื่อก่อนที่ฟีลิปจะไปเรียกเสียอีก” 49 นาธานาเอลตอบพระองค์ว่า “รับบี พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล” 50 พระเยซูกล่าวว่า “เจ้าเชื่อเพราะเราบอกว่า เราเห็นเจ้าอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ เจ้าจะเห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้” 51 พระองค์กล่าวต่อไปอีกว่า “เราขอบอกความจริงกับพวกเจ้าว่า เจ้าจะเห็นสวรรค์เปิด และบรรดาทูตสวรรค์[l]ของพระเจ้าจะขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์[m]

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation