M’Cheyne Bible Reading Plan
นำหีบมายังเยรูซาเล็ม
15 ดาวิดสร้างวังให้ตนเองในเมืองของดาวิด และท่านเตรียมที่ไว้สำหรับหีบของพระเจ้า และตั้งกระโจมไว้ด้วย 2 และดาวิดพูดว่า “ไม่ให้ผู้ใดหามหีบของพระเจ้า ยกเว้นชาวเลวีเท่านั้น เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้เลือกพวกเขาให้เป็นผู้หามหีบของพระผู้เป็นเจ้า และรับใช้พระองค์ไปตลอดกาล”[a] 3 และดาวิดเรียกประชุมอิสราเอลทั้งปวงที่เยรูซาเล็ม เพื่อจะนำหีบของพระผู้เป็นเจ้ามายังที่ซึ่งท่านได้เตรียมไว้ให้ 4 บรรดาผู้สืบเชื้อสายของอาโรนและชาวเลวีที่ดาวิดเรียกให้มารวมกันมีดังนี้ 5 จากผู้สืบเชื้อสายของโคฮาท มีอุรีเอลเป็นหัวหน้า และพี่น้องของเขาจำนวน 120 คน 6 จากผู้สืบเชื้อสายของเมรารี มีอาสายาห์เป็นหัวหน้า และพี่น้องของเขาจำนวน 220 คน 7 จากผู้สืบเชื้อสายของเกอร์โชม มีโยเอลเป็นหัวหน้า และพี่น้องของเขาจำนวน 130 คน 8 จากผู้สืบเชื้อสายของเอลีซาฟาน มีเชไมยาห์เป็นหัวหน้า และพี่น้องของเขาจำนวน 200 คน 9 จากผู้สืบเชื้อสายของเฮโบรน มีเอลีเอลเป็นหัวหน้า และพี่น้องของเขาจำนวน 80 คน 10 จากผู้สืบเชื้อสายของอุสซีเอล มีอัมมีนาดับเป็นหัวหน้า และพี่น้องของเขาจำนวน 112 คน 11 แล้วดาวิดเรียกศาโดกและอาบียาธาร์ปุโรหิต และชาวเลวี คือ อุรีเอล อาสายาห์ โยเอล เชไมยาห์ เอลีเอล และอัมมีนาดับ 12 และบอกเขาเหล่านั้นว่า “พวกท่านเป็นหัวหน้าของตระกูลชาวเลวี จงชำระตัวให้บริสุทธิ์ ทั้งพวกท่านและพี่น้องของท่าน เพื่อจะได้นำหีบของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลขึ้นมายังที่ซึ่งเราได้เตรียมไว้ให้ 13 เพราะว่าพวกท่านไม่ได้หามหีบในครั้งแรก พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรากริ้วพวกเราเพราะว่าพวกเราไม่ได้ถามพระองค์ ตามที่กำหนดไว้ในคำบัญชา” 14 ดังนั้น บรรดาปุโรหิตและชาวเลวีจึงชำระตัวให้บริสุทธิ์ เพื่อจะนำหีบของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลขึ้นมา 15 ชาวเลวีหามหีบของพระเจ้าขึ้นบ่าด้วยไม้คาน ดังที่โมเสสได้สั่งตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า[b]
16 ดาวิดสั่งบรรดาหัวหน้าของชาวเลวี ให้แต่งตั้งพี่น้องของพวกเขาให้เป็นนักร้องที่เล่นดนตรีให้ดังด้วยพิณสิบสาย พิณเล็ก และฉาบ เพื่อส่งเสียงแห่งความยินดี 17 ดังนั้นชาวเลวีจึงแต่งตั้งเฮมานและพี่น้องของเขาคือ อาสาฟและเอธาน เฮมานเป็นบุตรของโยเอล อาสาฟบุตรของเบเรคิยาห์ เอธานบุตรของคูชายาห์ ชายเหล่านี้เป็นชาวเมรารี 18 พร้อมกับพี่น้องพวกเขาซึ่งรองเป็นอันดับสอง คือ เศคาริยาห์ ยาอาซีเอล เชมิราโมท เยฮีเอล อุนนี เอลีอับ เบไนยาห์ มาอาเสยาห์ มัททีธิยาห์ เอลีเฟเลหุ มิกเนยาห์ และโอเบดเอโดมกับเยอีเอลซึ่งเป็นคนเฝ้าประตู 19 นักดนตรีได้แก่ เฮมาน อาสาฟ และเอธาน เป็นผู้ตีฉาบทองสัมฤทธิ์ 20 เศคาริยาห์ อาซีเอล เชมิราโมท เยฮีเอล อุนนี เอลีอับ มาอาเสยาห์ และเบไนยาห์ เป็นผู้เล่นพิณสิบสายตามทำนองอาลาโมธ 21 แต่มัททีธิยาห์ เอลีเฟเลหุ มิกเนยาห์ โอเบดเอโดม เยอีเอล และอาซัซยาห์เป็นผู้นำด้วยพิณเล็ก ตามเสียงสูงต่ำ 1 ช่วง 22 เคนานิยาห์หัวหน้าดนตรีของชาวเลวีเป็นผู้กำกับการร้องเพลง เพราะเขาเข้าใจในด้านนี้ 23 เบเรคิยาห์และเอลคานาห์เป็นนายประตูเฝ้าหีบ 24 เช-บานิยาห์ โยชาฟัท เนธันเอล อามาสัย เศคาริยาห์ เบไนยาห์ และเอลีเอเซอร์ ปุโรหิตเหล่านี้เป็นผู้เป่าแตรยาว ณ เบื้องหน้าหีบของพระเจ้า โอเบดเอโดมและเยฮียาห์ต้องเป็นนายประตูเฝ้าหีบ
25 ดังนั้นดาวิดและบรรดาผู้ใหญ่ของอิสราเอลและผู้บัญชากองพันจึงไปนำหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าขึ้นมาจากครัวเรือนของโอเบดเอโดมด้วยความยินดี 26 และเป็นเพราะว่าพระเจ้าช่วยชาวเลวีที่หามหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจึงถวายโคตัวผู้ 7 ตัว และแกะตัวผู้ 7 ตัวเป็นเครื่องสักการะ 27 ดาวิดสวมเสื้อคลุมผ้าป่านเนื้อดี ชาวเลวีทั้งปวงที่หามหีบ และพวกนักร้องกับเคนานิยาห์หัวหน้านักร้องก็เช่นกัน และดาวิดสวมชุดคลุมผ้าป่าน 28 ดังนั้นอิสราเอลทั้งปวงนำหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าขึ้นมา พร้อมกับเสียงโห่ร้องและเสียงเป่าแตรงอน แตรยาว และฉาบ และเล่นดนตรีเสียงดังจากพิณสิบสายและพิณเล็ก
29 ขณะที่หีบของพระผู้เป็นเจ้าเข้าไปในเมืองของดาวิด มีคาลบุตรหญิงของซาอูลมองดูที่หน้าต่าง เห็นกษัตริย์ดาวิดกำลังเต้นรำทำเพลงและรื่นเริงที่เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และนางก็ดูหมิ่นท่านอยู่ในใจ[c]
ระวังอย่าลำเอียง
2 พี่น้องของข้าพเจ้าเอ๋ย เพราะท่านเป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้กอปรด้วยพระสง่าราศี ท่านก็อย่าเป็นคนลำเอียง 2 ถ้ามีชายคนหนึ่งเข้ามาในที่ประชุมของท่าน แต่งกายดีและสวมแหวนทอง และมีคนจนสวมเสื้อสกปรกเข้ามาด้วย 3 และท่านเอาใจใส่คนที่สวมเสื้อผ้าดีโดยพูดว่า “เชิญท่านนั่งที่ดีๆ ที่นี่เถิด” และท่านพูดกับคนจนว่า “แกไปยืนที่โน่น ไม่ก็นั่งลงแทบเท้าของเรา” 4 พวกท่านไม่ได้แบ่งชั้นวรรณะในหมู่ท่านเอง และกลายเป็นผู้ตัดสินความด้วยใจชั่วหรือ 5 พี่น้องที่รักของข้าพเจ้าเอ๋ย จงฟังเถิด พระเจ้าไม่ได้เลือกคนจนของโลกให้เป็นคนมั่งมีในความเชื่อ และเป็นผู้รับมรดกของอาณาจักร ซึ่งพระองค์สัญญาไว้กับบรรดาคนที่รักพระองค์หรือ 6 แต่ท่านได้หลู่เกียรติคนจน ไม่ใช่คนมั่งมีหรอกหรือ ที่กดหัวท่าน และลากตัวท่านไปขึ้นศาล 7 ไม่ใช่พวกเขาหรอกหรือ ที่พูดหมิ่นประมาทชื่ออันประเสริฐ ซึ่งเป็นชื่อที่ผู้คนใช้เรียกท่าน
8 ถ้าท่านปฏิบัติตามกฎบัญญัติแห่งอาณาจักรโดยแท้จริงตามที่พระคัมภีร์ระบุว่า “จงรักเพื่อนบ้านของเจ้าให้เหมือนรักตนเอง”[a]แล้ว ท่านก็ประพฤติดีอยู่ 9 แต่ถ้าพวกท่านลำเอียง ท่านก็ทำบาป และถูกตัดสินโดยกฎบัญญัติว่าท่านละเมิดกฎ 10 เพราะใครก็ตามที่รักษากฎบัญญัติทั้งหมดแต่พลั้งผิดเพียงข้อเดียว ก็นับว่าเขาผิดต่อกฎบัญญัติทั้งหมด 11 เพราะองค์ที่กล่าวว่า “อย่าผิดประเวณี”[b] ก็กล่าวด้วยว่า “อย่าฆ่าคน”[c] ถ้าท่านไม่ผิดประเวณีแต่ฆ่าคน ท่านก็กลายเป็นคนละเมิดกฎแล้ว 12 จงพูดและประพฤติให้เหมือนกับคนที่จะถูกตัดสินโดยกฎบัญญัติที่นำไปสู่อิสรภาพ 13 เพราะว่าพระเจ้าจะไม่เมตตาในการพิพากษาคนที่ไม่มีความเมตตา ความเมตตาย่อมมีชัยชนะเหนือการพิพากษา
ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ
14 พี่น้องทั้งหลาย จะมีประโยชน์อะไรถ้ามีคนพูดว่า เขามีความเชื่อ แต่ไม่มีการกระทำแสดงให้เห็น ความเชื่อนั้นช่วยให้เขารอดพ้นได้หรือ 15 ถ้าพี่น้องคนใดไม่มีเสื้อผ้านุ่งห่มและอาหารประจำวัน 16 คนหนึ่งในพวกท่านพูดกับเขาว่า “ขอให้ทุกสิ่งเป็นไปด้วยดีกับท่าน จงระวังอย่าปล่อยให้หนาวและหิวเลย” โดยที่ท่านก็ยังไม่ให้สิ่งจำเป็นสำหรับร่างกายของเขา แล้วจะมีประโยชน์อะไร 17 ฉะนั้น ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน ถ้าปราศจากการกระทำควบคู่กันไปก็ไร้ชีวิต
18 แต่บางคนจะพูดว่า “ท่านมีความเชื่อ ข้าพเจ้ามีการกระทำ” จงแสดงความเชื่อของท่านที่ปราศจากการกระทำให้ข้าพเจ้าเห็น แล้วข้าพเจ้าจะแสดงความเชื่อของข้าพเจ้าให้ท่านเห็น โดยสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำ 19 ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว ดีแล้ว แม้แต่พวกมารก็เชื่อเช่นนั้น และกลัวจนตัวสั่น 20 คนโง่เขลาเอ๋ย ท่านอยากจะเห็นข้อพิสูจน์ไหมว่า ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำนั้นไร้ประโยชน์ 21 พระเจ้านับว่าอับราฮัมบิดาของเรามีความชอบธรรมโดยการกระทำมิใช่หรือ เมื่อท่านถวายอิสอัคผู้เป็นบุตรบนแท่นบูชา 22 ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า ความเชื่อของอับราฮัมควบคู่ไปกับการกระทำของท่าน และความเชื่อนั้นบริบูรณ์ได้โดยการกระทำ 23 และเป็นไปตามที่พระคัมภีร์ระบุว่า “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์จึงนับว่าท่านเป็นผู้มีความชอบธรรม”[d] และพระเจ้าได้เรียกท่านว่า เป็นสหายของพระองค์ 24 ท่านทั้งหลายเห็นว่าคนพ้นผิดได้โดยการกระทำของเขา มิใช่ใช้เพียงความเชื่อเท่านั้น 25 ในวิธีเดียวกันคือแม้ราหับหญิงแพศยา พระเจ้าก็นับว่านางเป็นผู้มีความชอบธรรมโดยการกระทำด้วยมิใช่หรือ เมื่อนางต้อนรับบรรดาผู้สอดแนมแล้ว นางช่วยให้เขาหนีออกไปทางอื่นเสีย 26 ร่างกายที่ปราศจากวิญญาณไร้ชีวิตเช่นไร ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำก็ไร้ชีวิตเช่นนั้น
ความพินาศของอิสราเอล
9 ข้าพเจ้ามองเห็นพระผู้เป็นเจ้ายืนที่ข้างแท่นบูชา และพระองค์กล่าวดังนี้
“จงฟาดรูปบัวทรงกลมที่ยอดวิหาร
ซึ่งจะทำให้ธรณีประตูสั่นสะเทือน
และให้ตกใส่ศีรษะของทุกคนจนแตกละเอียด
เราจะกำจัดคนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยคมดาบ
ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะหนีไปได้
ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะรอดชีวิตได้
2 ถ้าหากว่าพวกเขาจะขุดลงไปยังแดนคนตาย
มือของเราก็จะกำจัดพวกเขาเอง
ถ้าพวกเขาจะปีนขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์
เราก็จะฉุดพวกเขาลงมาจากที่นั่น
3 ถ้าหากว่าพวกเขาจะหลบซ่อนตัวบนยอดภูเขาคาร์เมล
เราก็จะหาพวกเขาที่นั่นจนพบและเอาตัวลงมา
และถ้าพวกเขาจะหลบซ่อนที่ก้นทะเลให้พ้นสายตาของเรา
เราก็จะสั่งงูทะเลให้ฉกกัดพวกเขา
4 และถ้าหากว่าพวกเขาถูกพวกศัตรูจับตัวไปเป็นเชลย
เราก็จะสั่งดาบที่นั่นให้ฆ่าพวกเขา
และเราจะคอยจับตาดูว่า
พวกเขาจะประสบกับภัยอันตราย
ไม่ใช่ความปลอดภัย”
5 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาผู้ยิ่งใหญ่
พระองค์แตะแผ่นดินโลก มันก็หลอมละลาย
และทุกคนที่อาศัยอยู่ในนั้นก็คร่ำครวญ
และทุกคนจะเอ่อขึ้นอย่างแม่น้ำไนล์
และจะลดลงอีกอย่างแม่น้ำไนล์ของอียิปต์
6 พระองค์สร้างสถานที่อยู่เบื้องสูงในฟ้าสวรรค์
และวางฐานรากบนแผ่นดินโลก
พระองค์เรียกน้ำทะเลมา
แล้วเทน้ำลงบนพื้นดิน
พระนามของพระองค์คือ พระผู้เป็นเจ้า
7 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
“โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย
เราเห็นว่าพวกเจ้าเป็นเหมือนชาวคูช
เราได้นำอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์มิใช่หรือ
และชาวฟีลิสเตียจากคัฟโทร์
และชาวอารัมจากเมืองคีร์มิใช่หรือ
8 ดูเถิด เราผู้เป็นพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
จับตาดูอาณาจักรที่ชั่วโฉด
และเราจะทำลายล้างไปเสียจากพื้นโลก
แต่เราจะไม่ทำลายพงศ์พันธุ์ยาโคบให้หมดสิ้นไป”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศ
9 “เพราะเราจะบัญชา
และฝัดร่อนพงศ์พันธุ์อิสราเอล
ในท่ามกลางประชาชาติทั้งปวง
เหมือนเขย่าด้วยตะแกรง
แต่ไม่มีหินสักก้อนที่จะลอดหลุด
และตกลงบนพื้นดินได้
10 คนบาปทั้งปวงของชนชาติเรา
จะตายด้วยคมดาบ
ทุกคนที่พูดว่า
‘ความชั่วร้ายจะไม่เกิดขึ้นกับเรา
หรือเข้าใกล้ถึงตัวเราหรอก’
ฟื้นฟูอิสราเอล
11 ในวันนั้น เราจะฟื้นฟูกระโจมของดาวิด
ที่ล้มลงขึ้นใหม่
เราจะซ่อมแซมส่วนที่แตกหัก
บูรณะสิ่งที่ปรักหักพัง
และสร้างขึ้นใหม่อย่างที่เคยเป็น
12 เพื่อพวกเขาจะเป็นเจ้าของสิ่งที่ดินแดนเอโดมมีเหลืออยู่
อีกทั้งประชาชาติทั้งปวงซึ่งได้รับเรียกว่าเป็นคนของเรา”
พระผู้เป็นเจ้าผู้จะกระทำสิ่งเหล่านี้ประกาศ[a]
13 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
“ดูเถิด จะถึงเวลาที่คนเก็บเกี่ยวจะมีข้าวให้เกี่ยวมากมายจนกระทั่งถึงเวลาไถนา
และคนย่ำองุ่นจะมีผลให้ย่ำมากมายจนกระทั่งถึงเวลาหว่านเมล็ด[b]
เหล้าองุ่นใหม่จะหยดจากเทือกเขา
และไหลจากเนินเขาทั้งหลาย
14 เราจะนำอิสราเอลชนชาติของเรากลับมาจากที่ลี้ภัย
พวกเขาจะสร้างเมืองที่ถูกพังทลายขึ้นใหม่เพื่ออยู่อาศัยในนั้น
พวกเขาจะปลูกไร่องุ่นและดื่มเหล้าองุ่น
พวกเขาจะปลูกไร่นาและรับประทานผลที่ได้
15 เราจะฟื้นฟูอิสราเอลให้อยู่ในแผ่นดินของพวกเขาเอง
และจะไม่มีวันที่เขาจะถูกถอนรากถอนโคน
ไปจากแผ่นดินที่เราได้มอบให้แก่พวกเขาอีก”
พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกล่าว
พญามารผู้ยั่วยุท้าพระเยซู
4 พระเยซูเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์กลับมาจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณได้นำพระองค์ไปยังถิ่นทุรกันดาร 2 ระหว่างนั้นพญามาร[a]ยั่วยุพระองค์เป็นเวลา 40 วัน โดยที่ตลอดเวลานั้นพระองค์มิได้รับประทานอะไรเลยจึงรู้สึกหิว 3 พญามารได้พูดกับพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า ก็ทำให้หินก้อนนี้กลายเป็นขนมปังสิ” 4 พระเยซูตอบว่า “มีบันทึกไว้ว่า ‘มนุษย์มิอาจยังชีพได้ด้วยขนมปังเพียงอย่างเดียว’”[b] 5 พญามารจึงนำพระองค์ขึ้นไปเพื่อให้ดูทุกอาณาจักรในโลกในพริบตาเดียว 6 แล้วพูดกับพระองค์ว่า “เราจะยกสิทธิอำนาจและความรุ่งเรืองของอาณาจักรเหล่านั้นให้แก่ท่าน เพราะเราได้รับมอบมาแล้ว และเราจะยกให้ใครก็ได้ 7 หากท่านก้มลงนมัสการเรา สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นของท่าน” 8 พระเยซูตอบพญามารว่า “มีบันทึกไว้ว่า
‘เจ้าจงกราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า
และรับใช้พระองค์เพียงผู้เดียว’”[c]
9 พญามารได้นำพระองค์ไปยังเมืองเยรูซาเล็มโดยให้ยืนบนยอดสูงสุดของพระวิหาร และพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า ก็กระโดดลงจากที่นี่สิ 10 เพราะมีบันทึกไว้ว่า
‘พระองค์จะสั่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์
มาปกป้องท่านให้ปลอดภัย
11 ทูตสวรรค์จะช่วยรับท่านไว้ในมือ
เพื่อว่าเท้าของท่านจะได้ไม่กระทบแม้หินสักก้อน’”[d]
12 พระเยซูตอบว่า “มีคำกล่าวไว้ว่า ‘อย่าลองดีกับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า’”[e] 13 เมื่อพญามารจบสิ้นการยั่วยุทุกประการแล้วก็ได้จากไป แต่ก็พร้อมจะกลับมาอีกเมื่อมีโอกาส
ผู้คนที่เมืองนาซาเร็ธไม่ยอมรับพระเยซู
14 พระเยซูกลับไปยังแคว้นกาลิลีโดยฤทธานุภาพของพระวิญญาณ เรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ได้แพร่ไปทั่วอาณาเขตโดยรอบ 15 พระองค์เริ่มสอนในศาลาที่ประชุมต่างๆ ซึ่งก็ได้รับการสรรเสริญจากคนทั่วไป
16 พระองค์มายังเมืองนาซาเร็ธ อันเป็นสถานที่ซึ่งเจริญวัยมา พระองค์เข้าไปในศาลาที่ประชุมในวันสะบาโตตามปกติวิสัย[f] และก็ยืนขึ้นอ่าน 17 พระคัมภีร์ที่ยื่นให้แก่พระองค์คือฉบับที่อิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าบันทึกไว้ พระองค์จึงคลี่พระคัมภีร์ออก พบตอนที่เขียนว่า
18 “พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา
เพราะว่าพระองค์เจิมเรา[g]
เพื่อประกาศข่าวประเสริฐให้แก่ผู้ยากไร้
พระองค์ส่งเรามาประกาศกับนักโทษ
เพื่อให้ได้รับการปลดปล่อย คนตาบอดจะมองเห็น
และเพื่อปลดปล่อยผู้ที่ถูกบีบบังคับไปสู่อิสระ
19 เพื่อประกาศปีที่โปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า”[h]
20 แล้วพระเยซูก็ม้วนพระคัมภีร์ ก่อนจะคืนให้กับผู้ที่เก็บรักษา จากนั้นก็นั่งลงขณะที่อยู่ในเป้าสายตาของผู้คนทั้งหลายในศาลาที่ประชุม 21 พระองค์ได้เริ่มกล่าวกับพวกเขาว่า “สิ่งที่พระคัมภีร์ระบุไว้ในตอนนี้ได้บรรลุผลแล้วขณะที่ท่านกำลังฟังกันในวันนี้”
22 ผู้คนทั้งปวงก็พากันสรรเสริญพระองค์ แต่ก็ประหลาดใจในคำกล่าวอันเป็นพระคุณซึ่งออกมาจากปากของพระองค์ เขาทั้งหลายจึงพูดกันว่า “นี่เป็นบุตรของโยเซฟมิใช่หรือ”
23 พระเยซูได้กล่าวขึ้นว่า “พวกท่านคงจะต้องกล่าวสุภาษิตนี้กับเราอย่างแน่นอน ‘เป็นแพทย์ก็ต้องรักษาตนเอง’ อะไรก็ตามที่พวกเราได้ยินว่าท่านแสดงในเมืองคาเปอร์นาอุม ก็เชิญแสดงในเมืองที่ท่านเติบโตมานี้ด้วย” 24 พระองค์พูดต่อไปอีกว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ไม่มีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้ใดเป็นที่ยอมรับในเมืองที่ตนเติบโตมา 25 แต่เราจะย้ำความจริงกับท่านว่า ในสมัยของเอลียาห์[i] มีหญิงม่ายจำนวนมากในอิสราเอล ขณะที่ท้องฟ้าไม่เอื้อฝนถึงสามปีครึ่ง ความอดอยากแผ่ขยายไปทั่วแผ่นดิน 26 พระเจ้าก็ไม่ได้ส่งเอลียาห์ไปช่วยหญิงม่ายเหล่านั้น แต่ไปเพื่อช่วยหญิงม่ายเพียงคนเดียวในเมืองศาเรฟัทแขวงไซดอน 27 และในสมัยเอลีชา[j]ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า มีผู้เป็นโรคเรื้อนจำนวนมากในอิสราเอล และไม่มีใครสักคนที่ได้รับการรักษาให้หาย ยกเว้นนาอามานชาวซีเรียเท่านั้น” 28 เมื่อทุกคนในศาลาที่ประชุมฟังแล้วก็เกิดโทสะขึ้น 29 จึงลุกขึ้นไล่พระองค์ไปจากเมือง และนำไปยังหน้าผาที่เมืองนั้นตั้งอยู่ เพื่อจะโยนพระองค์ลงมา 30 แต่พระองค์ฝ่าหมู่คนเหล่านั้นไปได้ และไปตามทางของพระองค์
พระเยซูและชายที่มีวิญญาณร้ายสิง
31 พระเยซูมายังเมืองคาเปอร์นาอุมในแคว้นกาลิลี และสั่งสอนประชาชนในวันสะบาโต 32 ผู้คนพากันอัศจรรย์ใจกับการสั่งสอนของพระองค์ เพราะคำพูดของพระองค์มีสิทธิอำนาจ 33 มีชายคนหนึ่งในศาลาที่ประชุมถูกวิญญาณร้ายของมารเข้าสิง เขาได้ร้องตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า 34 “อ้าว ท่านมายุ่งเกี่ยวอะไรกับพวกเรา พระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ ท่านมาเพื่อทำลายเราหรือ ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านคือใคร องค์ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า” 35 พระเยซูได้กล่าวห้ามว่า “จงเงียบเสีย และออกมาจากตัวเขา” มารได้ออกจากร่างของชายนั้นโดยมิได้ทำอันตรายแต่ประการใด เขาเพียงแต่ล้มลงต่อหน้าคนทั้งหลายเท่านั้น 36 และผู้คนก็พากันแปลกใจนักจึงเริ่มพูดโต้ตอบกันว่า “ช่างเป็นคำพูดที่มีสิทธิอำนาจและอานุภาพยิ่งนักจึงทำให้พวกวิญญาณร้ายออกมาได้” 37 จากนั้นเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วดินแดนใกล้เคียง
รักษาผู้ป่วย
38 พระเยซูออกไปจากศาลาที่ประชุม และเข้าไปในบ้านของซีโมน ขณะนั้นแม่ยายของซีโมนป่วยด้วยไข้สูง ผู้คนที่นั่นได้ขอให้พระองค์ช่วยรักษานาง 39 พระองค์ยืนก้มเหนือตัวนางและห้ามไข้ ทันใดนั้นผู้ป่วยก็หายเป็นปกติ ลุกขึ้นได้ทันที และมารับใช้พวกเขา
40 ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังตก ผู้คนทั้งหลายพาคนเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ มาหาพระเยซู พระองค์วางมือทั้งสองบนตัวของทุกคนและรักษาให้เขาเหล่านั้นให้หายจากโรค 41 เหล่ามารได้ออกจากร่างของคนจำนวนมาก มันพากันกรีดร้องว่า “ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า” แต่พระเยซูได้ห้ามไม่ให้มันพูด เพราะมันรู้ว่าพระองค์คือพระคริสต์
42 เมื่อฟ้าสางพระองค์ก็ไปยังที่ร้าง แต่ฝูงชนก็ตามหาจนพบ และพยายามที่จะหน่วงเหนี่ยวให้พระองค์อยู่กับพวกเขาต่อไป 43 แต่พระเยซูกล่าวว่า “เราต้องประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าที่เมืองอื่นๆ ด้วย เพราะเราถูกส่งมาเพื่อการนี้” 44 จากนั้นพระองค์ได้ประกาศต่อในศาลาที่ประชุมอื่นๆ ในแคว้นยูเดีย
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation