Read the Gospels in 40 Days
ลาซารัสฟื้นจากความตาย
11 มีชายที่กำลังป่วยคนหนึ่งชื่อลาซารัสจากหมู่บ้านเบธานีซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มารีย์และมาร์ธาผู้เป็นพี่สาวอาศัยอยู่ 2 ลาซารัสผู้ที่ป่วยเป็นน้องชายของมารีย์ที่ชโลมพระเยซูเจ้าด้วยน้ำมันหอม และเช็ดเท้าของพระองค์ด้วยผมของเธอ 3 พี่สาวทั้งสองส่งคนไปพบพระเยซูเพื่อบอกว่า “พระองค์ท่าน ดูเถิด คนที่พระองค์รักกำลังป่วยอยู่”
4 เมื่อพระเยซูได้ยินดังนั้น พระองค์กล่าวว่า “การป่วยไข้ครั้งนี้ไม่ถึงแก่ความตาย แต่เกิดขึ้นเพื่อพระบารมีของพระเจ้า เพื่อว่าพระบุตรของพระเจ้าจะได้รับพระบารมีเพราะการป่วยครั้งนี้”
5 พระเยซูรักมาร์ธาและน้องสาวของเธอรวมทั้งลาซารัส 6 เมื่อพระองค์ได้ยินว่าลาซารัสป่วย พระองค์จึงยืดเวลาอยู่ที่นั่นต่ออีก 2 วัน 7 หลังจากนั้นพระองค์ได้กล่าวกับบรรดาสาวกว่า “ให้เรากลับเข้าไปที่แคว้นยูเดียกันอีกครั้งเถิด” 8 บรรดาสาวกพูดกับพระองค์ว่า “รับบี เมื่อไม่นานมานี้ชาวยิวได้พยายามจะเอาหินขว้างพระองค์ แล้วพระองค์ยังจะกลับไปที่นั่นอีกหรือ” 9 พระเยซูตอบว่า “วันหนึ่งมี 12 ชั่วโมงที่สว่างมิใช่หรือ ผู้ใดเดินในตอนกลางวันก็จะไม่สะดุด เพราะว่าเขามองเห็นความสว่างของโลกนี้ 10 แต่ถ้าผู้ใดเดินในตอนกลางคืนเขาจะสะดุด เพราะว่าไม่มีความสว่างอยู่ในตัวเขา” 11 จากนั้นพระองค์ได้กล่าวกับคนเหล่านั้นต่อไปอีกว่า “ลาซารัสเพื่อนของพวกเราได้นอนหลับไป แต่เราจะไปเพื่อปลุกให้เขาตื่น” 12 บรรดาสาวกพูดว่า “พระองค์ท่าน ถ้าเขานอนหลับไป เขาจะหายดีขึ้น” 13 แต่พวกสาวกคิดว่าพระองค์กล่าวถึงการนอนหลับพักผ่อน ในขณะที่พระองค์หมายถึงความตายของเขา 14 พระเยซูจึงกล่าวกับพวกเขาตรงๆ ว่า “ลาซารัสตายแล้ว 15 เราดีใจที่เราไม่ได้อยู่ที่นั่น เพราะเห็นแก่เจ้า และเพื่อเจ้าจะได้เชื่อ เราไปหาเขากันเถิด” 16 โธมัสที่คนเรียกกันว่าแฝดพูดกับพวกเพื่อนสาวกว่า “พวกเราไปด้วยกันเถิด เราจะได้ตายไปกับพระองค์”
17 เมื่อพระเยซูมาถึง ก็พบว่าลาซารัสอยู่ในถ้ำเก็บศพได้ 4 วันแล้ว 18 หมู่บ้านเบธานีอยู่ห่างจากเมืองเยรูซาเล็มประมาณ 3 กิโลเมตร 19 ชาวยิวจำนวนมากได้มาหามาร์ธาและมารีย์เพื่อปลอบโยนเรื่องน้องชายของเขา 20 เมื่อมาร์ธาได้ยินว่าพระเยซูกำลังมาก็ออกไปพบพระองค์ แต่มารีย์ยังนั่งอยู่ในบ้าน 21 มาร์ธาพูดกับพระเยซูว่า “พระองค์ท่าน ถ้าพระองค์ได้อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพเจ้าก็จะไม่ตาย 22 แม้เวลานี้ข้าพเจ้าทราบว่าสิ่งใดที่พระองค์ขอจากพระเจ้า พระเจ้าก็จะให้แก่พระองค์” 23 พระเยซูกล่าวกับเธอว่า “น้องชายของเจ้าจะฟื้นคืนชีวิตอีก” 24 มาร์ธาพูดกับพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าทราบว่าเขาจะฟื้นคืนชีวิตอีกในวันสุดท้ายที่เป็นวันแห่งการฟื้นคืนชีวิต” 25 พระเยซูกล่าวกับเธอว่า “เราคือผู้ที่ทำให้คนตายฟื้นคืนชีวิต และเราให้ชีวิตแก่เขา ผู้ที่เชื่อในเราซึ่งถึงแม้จะตายไปก็ยังจะดำรงชีวิตอยู่ 26 ทุกคนที่มีชีวิตและเชื่อในเราจะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม” 27 มาร์ธาพูดว่า “พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า พระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าที่ได้รับมอบหมายให้เข้ามาในโลก”
พระเยซูร้องไห้
28 เมื่อเธอพูดเช่นนี้แล้วก็กลับไปเรียกมารีย์น้องสาวของเธอ และบอกเธอเป็นการส่วนตัวว่า “อาจารย์อยู่ที่นี่และกำลังตามหาตัวเธออยู่” 29 เมื่อเธอได้ยินเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นไปหาพระองค์ 30 ขณะนั้นพระเยซูยังไม่เข้ามาในหมู่บ้านแต่ยังอยู่ที่ที่มาร์ธาพบพระองค์ 31 ชาวยิวที่อยู่กับเธอในบ้านกำลังปลอบโยนเธอ เมื่อเห็นว่ามารีย์รีบลุกขึ้นออกไปจึงตามเธอไป เพราะคิดว่าเธอกำลังจะไปร้องไห้ที่ถ้ำเก็บศพ
32 มารีย์มายังที่ที่พระเยซูอยู่ เมื่อเธอเห็นพระองค์แล้วก็ทรุดตัวลงหมอบแทบเท้า และพูดว่า “พระองค์ท่าน ถ้าพระองค์ได้อยู่ที่นี่น้องชายของข้าพเจ้าก็จะไม่ตาย” 33 เมื่อพระเยซูเห็นเธอร้องไห้อยู่และชาวยิวที่มากับเธอก็ร้องไห้ด้วย พระองค์เป็นทุกข์และสะเทือนใจมาก 34 จึงกล่าวว่า “เจ้าเอาตัวเขาไปไว้ที่ไหน” คนเหล่านั้นพูดว่า “พระองค์ท่าน โปรดมาดูเถิด” 35 พระเยซูร้องไห้ 36 ชาวยิวจึงพากันพูดว่า “ดูเถิดว่าพระองค์รักเขาเพียงไร” 37 แต่บางคนพูดว่า “ชายผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ แล้วจะกันไม่ให้คนนี้ตายไม่ได้หรือ”
38 พระเยซูยิ่งรู้สึกสะเทือนใจขึ้นอีก พระองค์ไปยังที่เก็บศพ ซึ่งเป็นถ้ำที่มีหินพิงปิดทางเข้าอยู่ 39 พระเยซูกล่าวว่า “จงเลื่อนหินออกเสีย” มาร์ธาพี่สาวของคนตายจึงพูดว่า “พระองค์ท่าน เขาตายไปได้ 4 วันแล้ว ป่านนี้คงจะมีกลิ่นเหม็นแล้ว” 40 พระเยซูกล่าวกับเธอว่า “เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าก็จะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” 41 เขาเหล่านั้นจึงเลื่อนหินออก พระเยซูแหงนหน้าขึ้นพลางกล่าวว่า “พระบิดา ข้าพเจ้าขอบคุณพระองค์ที่ฟังข้าพเจ้า 42 และข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์ฟังข้าพเจ้าเสมอ แต่เป็นเพราะผู้คนที่กำลังยืนอยู่รอบตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวเช่นนี้เพื่อว่าพวกเขาจะได้เชื่อว่า พระองค์ได้ส่งข้าพเจ้ามา” 43 เมื่อพระองค์กล่าวเช่นนั้นแล้ว จึงร้องขึ้นเสียงดังว่า “ลาซารัสเอ๋ย ออกมาเถิด” 44 คนที่ตายไปแล้วก็ออกมา ทั้งมือและเท้ามีริ้วผ้าป่านพันไว้ ที่หน้าก็มีผ้าห่อหุ้มไว้ด้วย พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “จงแก้ริ้วผ้าที่พันออกเสียและปล่อยให้เขาไป”
แผนการลับจับกุมพระเยซู
45 ชาวยิวจำนวนมากที่มาหามารีย์เห็นการกระทำของพระองค์ก็เชื่อในพระองค์ 46 แต่ชาวยิวบางคนได้กลับไปหาพวกฟาริสีเพื่อบอกถึงสิ่งต่างๆ ที่พระเยซูได้กระทำ 47 ดังนั้นพวกมหาปุโรหิตและฟาริสีจึงเรียกประชุมศาสนสภา[a] และกล่าวว่า “พวกเราจะทำอย่างไรกัน ชายผู้นี้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์มากมาย 48 ถ้าพวกเราปล่อยให้เขาดำเนินการต่อไปเช่นนี้ ทุกคนก็จะเชื่อเขา และพวกชาวโรมันจะมายึดเอาบ้านช่องและประเทศชาติของเราไป” 49 คายาฟาสซึ่งเป็นหัวหน้ามหาปุโรหิตในเวลานั้นพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านไม่รู้อะไรเสียเลย 50 และไม่ได้ระลึกถึงประโยชน์ของตนว่า ให้คนหนึ่งตายแทนคนทั้งปวง ย่อมดีกว่ายอมให้ประเทศชาติพินาศไป” 51 เขาไม่ได้พูดเพราะเจตนาของเขาเอง แต่ในปีนั้นเขาเป็นหัวหน้ามหาปุโรหิตและได้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า พระเยซูกำลังจะสิ้นชีวิตเพื่อประเทศชาตินั้น 52 และไม่ใช่เพื่อประเทศชาติแต่เพียงเท่านั้น แต่เพื่อรวบรวมบรรดาบุตรของพระเจ้าที่กระจัดกระจายไปต่างแดนให้มาเป็นหนึ่งเดียวกันด้วย 53 ตั้งแต่วันนั้นมาคนเหล่านั้นก็ร่วมกันวางแผนเพื่อจะฆ่าพระองค์
54 ดังนั้นพระเยซูจึงไม่แสดงตนอยู่ร่วมกับพวกชาวยิวอย่างเปิดเผย แต่ออกไปยังเมืองเอฟราอิมซึ่งเป็นดินแดนอยู่ใกล้ถิ่นทุรกันดาร พระองค์อยู่ที่นั่นกับบรรดาสาวก
55 ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของชาวยิว จึงมีคนจำนวนมากเดินทางมาจากแว่นแคว้นนอกเมือง ไปยังเมืองเยรูซาเล็มก่อนงานเทศกาลเพื่อชำระตน 56 คนเหล่านั้นพยายามตามหาพระเยซู ขณะที่ยืนอยู่ในบริเวณพระวิหารก็พูดโต้ตอบกันว่า “ท่านคิดว่าพระองค์จะไม่มาในงานเทศกาลเลยหรือ” 57 พวกมหาปุโรหิตและฟาริสีออกคำสั่งว่า ถ้าผู้ใดทราบว่าพระองค์อยู่ที่ไหนก็จะต้องรายงานให้ทราบ เพื่อพวกเขาจะได้จับกุมพระองค์ไว้
น้ำมันหอมชโลมเท้า
12 ก่อนเทศกาลปัสกาได้ 6 วัน พระเยซูได้มาที่หมู่บ้านเบธานีซึ่งเป็นที่อยู่ของลาซารัส ผู้ที่พระเยซูได้ให้ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย 2 มีคนจัดอาหารเย็นให้พระองค์ที่นั่น และลาซารัสเป็นคนหนึ่งที่ร่วมรับประทานกับพระองค์ที่โต๊ะ ขณะที่มาร์ธารับใช้อยู่ด้วย 3 มารีย์เอาน้ำมันหอมนาราดาบริสุทธิ์ราคาแพงมาก หนักประมาณครึ่งกิโลกรัมมาชโลมเท้าของพระเยซู และเช็ดเท้าของพระองค์ด้วยผมของเธอ ทำให้ทั่วบ้านฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันหอม 4 แต่คนหนึ่งในบรรดาสาวกของพระองค์ชื่อยูดาสอิสคาริโอท ซึ่งเป็นคนที่ตั้งใจจะทรยศพระองค์พูดขึ้นว่า 5 “ทำไมไม่เอาน้ำหอมนี้ไปขาย จะได้ราคา 300 เหรียญเดนาริอัน และเอาเงินไปแจกแก่ผู้ยากไร้เล่า” 6 ที่เขาพูดขึ้นเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเขาเอาใจใส่ผู้ยากไร้ แต่เป็นเพราะว่าเขาเป็นคนหัวขโมย และเมื่อมีหน้าที่ดูแลรักษากล่องเก็บเงิน เขาจึงเคยยักยอกเงินที่เก็บสะสมไว้ 7 ดังนั้นพระเยซูจึงกล่าวว่า “ปล่อยนางเถิด นางเก็บน้ำหอมไว้สำหรับวันฝังศพของเรา 8 พวกเจ้ามีผู้ยากไร้อยู่ด้วยเสมอ แต่เราไม่ได้อยู่กับพวกเจ้าตลอดไป”
9 ฝูงชนชาวยิวจำนวนมากทราบว่าพระองค์อยู่ที่นั่นจึงได้พากันมา มิใช่เพียงเพื่อพบพระเยซูเท่านั้น แต่ด้วยความอยากเห็นลาซารัสที่พระองค์ให้ฟื้นคืนชีวิตจากความตายด้วย 10 และพวกมหาปุโรหิตเองก็หมายจะฆ่าลาซารัสเช่นกัน 11 เพราะลาซารัสนี่เองที่ทำให้ชาวยิวหลายคนหันเหไปเชื่อในพระเยซู
พระเยซูเข้าไปในเมืองเยรูซาเล็ม
12 วันรุ่งขึ้นเมื่อมหาชนที่มาร่วมงานเทศกาลได้ยินว่า พระเยซูกำลังจะมายังเมืองเยรูซาเล็ม 13 จึงถือกิ่งอินทผลัมออกไปต้อนรับพระองค์แล้วก็เริ่มร้องว่า “โฮซันนา[b] ขอพระองค์ผู้มาในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นสุข ขอกษัตริย์ของอิสราเอลจงเป็นสุขเถิด”[c] 14 พระเยซูจึงนั่งบนลูกลาที่ได้มา ตามที่มีบันทึกไว้ว่า
15 “ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย
ดูเถิด กษัตริย์ของเจ้ากำลังมา
นั่งบนหลังลูกลา”[d]
16 ตอนแรก บรรดาสาวกของพระองค์ไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อพระเยซูได้รับพระบารมีแล้ว พวกเขาจึงจำได้ว่าสิ่งที่เขียนไว้นั้น ระบุถึงพระองค์และสิ่งที่ประชาชนได้กระทำต่อพระองค์ 17 พวกคนที่อยู่กับพระองค์ในเวลาที่พระองค์เรียกลาซารัสออกมาจากถ้ำเก็บศพ และให้เขาฟื้นคืนชีวิตจากความตายนั้น ก็กำลังยืนยันถึงเรื่องราวของพระองค์ 18 ด้วยเหตุนี้ฝูงชนจึงพากันไปหาพระองค์ เพราะเขาได้ยินกันว่าพระองค์ได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์นั้น 19 พวกฟาริสีจึงพูดโต้ตอบกันว่า “ท่านเห็นไหมว่าท่านทำอะไรไม่ได้เลย ดูสิ ทั้งโลกได้ติดตามเขาไปแล้ว”
พระเยซูแจ้งมรณกาลของพระองค์ล่วงหน้า
20 ในบรรดาผู้คนที่ขึ้นไปนมัสการในงานเทศกาลนั้นมีชาวกรีกร่วมไปด้วย 21 พวกเขาได้ไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี และพูดกับเขาว่า “นายท่าน พวกเราอยากจะเห็นพระเยซู” 22 ฟีลิปไปบอกอันดรูว์ แล้วทั้งฟีลิปกับอันดรูว์ก็ไปบอกพระเยซู 23 พระเยซูตอบเขาทั้งสองว่า “ถึงกำหนดเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับพระบารมี 24 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ถ้าเมล็ดข้าวสาลีไม่ตกลงบนพื้นดินและตายไป เมล็ดนั้นก็จะอยู่เพียงเมล็ดเดียว แต่ถ้าเมล็ดตายไปก็จะเกิดผลงอกงาม 25 ผู้ที่รักชีวิตของตนจะสูญเสียชีวิตนั้นไป และผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้จะรักษาชีวิตไว้ได้ชั่วนิรันดร์ 26 ถ้าผู้ใดรับใช้เราก็ให้ติดตามเรามา และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาก็จะให้เกียรติแก่ผู้นั้น
27 ขณะนี้จิตใจของเราเป็นทุกข์ จะให้เราพูดอย่างไรดี จะให้พูดว่า ‘พระบิดา โปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากช่วงเวลานี้เถิด’ อย่างนั้นหรือ ก็ไม่ได้ เป็นเพราะเหตุนี้เราจึงได้มาเผชิญช่วงเวลานี้อยู่ 28 พระบิดา ขอพระนามของพระองค์ได้รับพระบารมีเถิด” ในขณะนั้นได้มีเสียงจากสวรรค์ว่า “เราทั้งได้รับบารมีแล้ว และจะได้รับอีก” 29 บางคนในฝูงชนที่ยืนฟังอยู่พูดกันว่าเป็นเสียงฟ้าร้อง บ้างก็ว่าทูตสวรรค์ได้พูดกับพระองค์ 30 พระเยซูตอบว่า “เสียงนี้ไม่ได้เปล่งออกมาเพื่อเรา แต่เพื่อพวกท่าน 31 บัดนี้การกล่าวโทษอยู่กับโลกนี้ และบัดนี้ผู้ครองโลก[e]จะถูกโยนออกไปแล้ว 32 เมื่อเราถูกชูขึ้นเหนือโลก เราจะนำให้ทุกคนมาหาเรา” 33 พระองค์กล่าวเช่นนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าพระองค์จะต้องสิ้นชีวิตอย่างไร 34 ฝูงชนจึงตอบว่า “เราได้ยินจากกฎบัญญัติว่าพระคริสต์จะดำรงอยู่ตลอดกาล และท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกชูขึ้น’ บุตรมนุษย์คือใคร” 35 พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ในเมื่อความสว่างยังอยู่กับท่านยาวนานขึ้นอีกชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง จงเดินขณะที่ยังมีความสว่างอยู่ เพื่อว่าความมืดจะได้เอาชนะท่านไม่ได้ ผู้ที่เดินอยู่ในความมืดย่อมไม่รู้ว่าจะไปทางไหน 36 ขณะที่มีความสว่าง ก็จงเชื่อในความสว่าง เพื่อว่าท่านจะได้เป็นพวกบุตรของความสว่าง” หลังจากที่พระเยซูกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้แล้วก็จากไปเพื่อหลบซ่อนให้พ้นจากพวกเขา
ความไม่เชื่อของชาวยิว
37 ถึงแม้ว่าพระองค์ได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์หลายสิ่งต่อหน้าพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่เชื่อพระองค์ 38 ซึ่งเป็นไปตามคำที่อิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ากล่าวไว้คือ
“พระผู้เป็นเจ้า ใครบ้างที่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินจากพวกเราแล้ว
และอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏแจ้งแก่ผู้ใด”[f]
39 ด้วยเหตุนี้พวกเขาไม่อาจจะเชื่อในสิ่งเหล่านี้ เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้อีกว่า
40 “พระองค์ได้ทำให้พวกเขาตาบอด
และทำใจของเขาให้แข็งกระด้าง
พวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นด้วยตา
หรือเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมา
แล้วเราจะรักษาเขาให้หายขาด”[g]
41 อิสยาห์พูดถึงพระองค์และกล่าวอ้างถึงสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะว่าได้เห็นพระบารมีของพระองค์แล้ว
42 แม้จะมีผู้คนจำนวนมากในบรรดาผู้อยู่ในระดับปกครองที่เชื่อในพระองค์ แต่เป็นเพราะพวกฟาริสี พวกเขาจึงไม่กล้ายอมรับกัน ด้วยเกรงว่าจะถูกขับไล่ออกจากศาลาที่ประชุม ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย 43 ผู้คนเหล่านั้นยังปรารถนาที่จะได้รับการยกย่องจากคนมากกว่าพระเจ้า
44 แล้วพระเยซูก็เปล่งเสียงดังว่า “ผู้ที่เชื่อเราหาได้เชื่อในเราเท่านั้นไม่ แต่เชื่อในพระองค์ผู้ส่งเรามาด้วย 45 และผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ส่งเรามา 46 เราได้มายังโลกนี้ในฐานะที่เป็นความสว่าง เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อเราจะได้ไม่อยู่ในความมืด 47 ถ้าผู้ใดได้ยินคำพูดของเราและไม่กระทำตาม เราก็จะไม่กล่าวโทษผู้นั้น เพราะเราไม่ได้มาเพื่อจะกล่าวโทษโลก แต่มาเพื่อช่วยโลกให้รอดพ้น 48 มีการกล่าวโทษสำหรับคนที่ไม่ยอมรับเราและคำของเราอยู่แล้ว คำที่เราพูดไว้จะกล่าวโทษเขาในวันสุดท้าย 49 เราไม่ได้พูดตามใจของเราเอง แต่พระบิดาผู้ส่งเรามาได้สั่งว่าเราจะพูดอะไรและพูดอย่างไร 50 เรารู้ว่าคำสั่งของพระองค์เป็นชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ฉะนั้นอะไรก็ตามที่เราพูดเป็นสิ่งที่พระบิดาได้กล่าวกับเรา”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation