Read the Gospels in 40 Days
พระเยซูให้โอวาทแก่สาวก 72 คนก่อนออกไปประกาศ
10 หลังจากนั้นพระเยซูเจ้าแต่งตั้งสาวกอื่นอีก 72 คน[a] โดยแบ่งเป็นกลุ่มๆ ละ 2 คน เดินทางล่วงหน้าไปยังทุกๆ เมืองและทุกที่ที่พระองค์จะผ่านไป 2 พระองค์บอกพวกเขาว่า “ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีอยู่มากมายแต่คนงานมีจำนวนน้อย ฉะนั้นจงขอให้พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นเจ้าของนาส่งพวกคนงานออกไปเก็บเกี่ยวในนา 3 จงไปเถิด เราส่งพวกเจ้าออกไปเช่นพวกลูกแกะท่ามกลางเหล่าสุนัขป่า 4 อย่านำถุงเงิน ย่าม หรือรองเท้าไป และก็อย่าทักทายผู้ใดตามถนนหนทาง 5 เมื่อเจ้าเข้าไปในบ้านใด ก่อนอื่นจงกล่าวคำทักทายว่า ‘สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้’ 6 ถ้าผู้มีสันติสุขอยู่ที่นั่น คำทักทายแห่งสันติสุขของเจ้าจะอยู่กับเขา มิฉะนั้นแล้วคำทักทายแห่งสันติสุขจะย้อนกลับมาสู่เจ้า 7 จงพักอยู่ที่บ้านหลังนั้น ดื่มกินสิ่งที่เขาให้ เพราะคนงานสมควรได้รับค่าจ้างของตน อย่าได้โยกย้ายจากบ้านนี้ไปบ้านโน้น 8 เมื่อเจ้าเข้าไปในเมืองและชาวเมืองต้อนรับก็จงกินสิ่งที่เขาจัดหาให้ 9 จงรักษาผู้ป่วยที่นั่นและบอกเขาว่า ‘อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้ท่าน’ 10 หากเจ้าเข้าไปในเมือง และเขาไม่ยอมรับก็จงไปตามถนนและประกาศว่า 11 ‘แม้ฝุ่นผงในเมืองของท่านที่ติดเท้าเรา เราปัดออกเพื่อแสดงถึงความผิดของท่าน จงแน่ใจได้ว่าอาณาจักรของพระเจ้าใกล้จะมาถึงแล้ว’ 12 เราขอบอกเจ้าว่า ในวันนั้นเมืองโสโดม[b]จะทนได้มากกว่าเมืองนั้น
13 วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองเบธไซดา หากสิ่งอัศจรรย์ทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นต่อหน้าเจ้า มาปรากฏในเมืองไทระและไซดอน พวกเขาจะต้องกลับใจไปนานแล้ว ทั้งนุ่งห่มด้วยผ้ากระสอบ และนั่งปาขี้เถ้าใส่หัวตัวเอง 14 แต่ในวันพิพากษา เมืองไทระและไซดอนจะทนได้มากกว่าเจ้า 15 ฝ่ายเจ้าเอง เมืองคาเปอร์นาอุม เจ้าจะได้รับการยกขึ้นสู่ฟ้าหรือ เปล่าเลย เจ้าจะดิ่งลงไปถึงแดนคนตาย
16 ผู้ที่ฟังเจ้าก็ฟังเรา ผู้ไม่ยอมรับเจ้าก็จะไม่ยอมรับเรา และผู้ไม่ยอมรับเราก็จะไม่ยอมรับพระองค์ผู้ส่งเรามา”
17 สาวก 72 คน[c]กลับมาด้วยความยินดีและพูดว่า “พระองค์ท่าน แม้แต่พวกมารก็ยังยอมเชื่อฟังพวกเราเมื่อเราใช้พระนามของพระองค์” 18 พระองค์ตอบว่า “เราเห็นซาตาน[d]ตกลงจากสวรรค์ราวฟ้าแลบ 19 เรามอบสิทธิอำนาจให้แก่เจ้าเพื่อเหยียบขยี้พวกงู แมงป่อง[e] และเอาชนะอำนาจทั้งปวงของศัตรู ไม่มีสิ่งใดที่จะทำร้ายเจ้าได้เลย 20 อย่างไรก็ดี อย่าชื่นชมยินดีที่เหล่าวิญญาณยอมเชื่อฟังเจ้า แต่จงชื่นชมยินดีที่นามของเจ้าได้มีบันทึกไว้แล้วในสวรรค์”
21 ในขณะนั้นพระเยซูชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ผู้เป็นพระบิดา พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์และโลก เพราะพระองค์ได้ซ่อนสิ่งเหล่านี้จากผู้เรืองปัญญา คนฉลาด แล้วเปิดเผยให้แก่พวกเด็กเล็กๆ ใช่แล้ว พระบิดา เพราะว่านี่คือความพึงพอใจของพระองค์ 22 พระบิดาของเราได้มอบสิ่งทั้งปวงให้แก่เรา ไม่มีใครทราบว่าพระบุตรคือใคร นอกจากพระบิดา และไม่มีใครทราบว่าพระบิดาคือใคร นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรเลือกที่จะเปิดเผยให้รู้ถึงพระองค์”
23 แล้วพระองค์หันไปยังเหล่าสาวก กล่าวกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวว่า “นัยน์ตาทั้งหลายที่เห็นสิ่งที่เจ้าเห็นก็เป็นสุข 24 เราขอบอกเจ้าว่า มีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าหลายท่าน และกษัตริย์จำนวนมากใคร่จะเห็นเช่นเจ้าเห็น แต่ไม่อาจเห็น และใคร่ได้ยินเช่นเจ้าได้ยิน แต่ไม่ได้ยิน”
อุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้มีเมตตา
25 ครั้งหนึ่งผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติลุกขึ้นถามเป็นการทดสอบพระเยซูว่า “อาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้ชีวิตอันเป็นนิรันดร์” 26 พระองค์ตอบว่า “ในหมวดกฎบัญญัติเขียนไว้อย่างไร แล้วท่านอ่านได้ความว่าอย่างไร” 27 เขาตอบว่า “‘จงรักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างสุดดวงใจ สุดดวงจิต สุดกำลัง และสุดความคิดของท่าน’[f] และ ‘จงรักเพื่อนบ้านของเจ้าให้เหมือนรักตนเอง’”[g] 28 พระเยซูตอบว่า “ท่านตอบได้ถูกต้องแล้ว จงทำอย่างนั้นแล้วจะได้ชีวิต”
29 แต่เขาต้องการจะแก้ตัว ฉะนั้นเขาถามต่อไปว่า “แล้วใครคือเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า” 30 พระเยซูตอบว่า “มีชายคนหนึ่งกำลังจากเมืองเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค ระหว่างทางโจรได้ปล้นเขาโดยเปลื้องเอาเสื้อผ้าของเขา ทั้งยังทุบตีก่อนจะหนีหายไป ทิ้งชายผู้บาดเจ็บเจียนตายไว้ 31 เผอิญมีปุโรหิตคนหนึ่งเดินไปตามถนนนั้น เมื่อเห็นผู้บาดเจ็บกลับเดินเลยไปอีกฟากถนน 32 ชาวเลวี[h]คนหนึ่งซึ่งผ่านมาถึงที่นั่นเหมือนกันและเห็นชายคนนั้นก็เดินเลยไปอีกฟากถนน 33 ส่วนชาวสะมาเรียคนหนึ่งเดินทางผ่านมาจนมาใกล้ชายคนนั้น เมื่อเห็นเขาแล้วก็เกิดความสงสาร 34 จึงเข้าไปช่วยพันบาดแผล เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงที่บาดแผลให้ แล้วพาดชายคนนั้นบนลาของเขาเอง พาเขาไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งเพื่อช่วยรักษา 35 วันรุ่งขึ้นชายเดินทางผู้นั้นหยิบ 2 เหรียญเดนาริอันออกมาให้เจ้าของโรงแรม และพูดว่า ‘ช่วยดูแลเขาด้วย เวลาเรากลับมาเราจะชดใช้ส่วนที่ขาดให้’ 36 ท่านคิดว่า 3 คนที่ว่ามานี้ คนไหนเป็นเพื่อนบ้านของชายที่ตกอยู่ในมือของโจร” 37 ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติตอบว่า “คนที่มีเมตตาต่อเขา” พระเยซูกล่าวว่า “จงไปปฏิบัติเช่นนั้นเถิด”
มาร์ธาและมารีย์
38 ขณะที่พระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์เดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มาร์ธาหญิงในหมู่บ้านนั้นได้ต้อนรับพระองค์ที่บ้านของเธอเอง 39 มารีย์ผู้เป็นน้องสาวนั่งชิดแทบเท้าของพระเยซูเจ้า เพื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์ 40 แต่มาร์ธากลับหมกมุ่นอยู่กับการเตรียมต้อนรับ เธอมาถามว่า “พระองค์ท่าน พระองค์ไม่ห่วงหรอกหรือว่าน้องสาวทิ้งงานให้ข้าพเจ้าทำแต่ผู้เดียว ขอพระองค์ได้โปรดเตือนให้เธอมาช่วยข้าพเจ้าด้วย” 41 พระเยซูเจ้าตอบว่า “มาร์ธา มาร์ธา เจ้าเอาแต่กังวลและอารมณ์เสียกับหลายเรื่อง 42 มีสิ่งเดียวที่จำเป็น มารีย์ได้เลือกกระทำสิ่งที่ดีกว่าซึ่งไม่มีใครจะเอาไปจากเธอได้”
การอธิษฐาน
11 พระเยซูกำลังอธิษฐานในที่แห่งหนึ่ง พอจบแล้วสาวกคนหนึ่งได้พูดขึ้นว่า “พระองค์ท่าน ขอได้โปรดสอนพวกข้าพเจ้าอธิษฐานเหมือนกับที่ยอห์นสอนพวกสาวกของเขาเถิด” 2 พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “เมื่อเจ้าอธิษฐาน จงว่า
‘ข้าแต่พระบิดา
ขอพระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ
ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาสถิตเถิด
3 ขอพระองค์ให้อาหารประจำวันแก่พวกเราในแต่ละวัน
4 ขอพระองค์ยกโทษบาปทั้งปวงให้แก่พวกเรา
ด้วยว่าพวกเรายกโทษให้แก่ทุกคนที่กระทำบาปต่อเรา
และขอพระองค์นำเราไปให้พ้นจากสิ่งยั่วยุ’”
5 แล้วพระองค์กล่าวต่อไปอีกว่า “หากคนใดในพวกเจ้าไปหาเพื่อนในเวลาเที่ยงคืน แล้วพูดว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เราขอยืมขนมปังสัก 3 ก้อนเถิด 6 เพราะว่าเพื่อนคนหนึ่งของเราเดินทางมาหา แล้วเราไม่มีอะไรที่จะต้อนรับเขา’ 7 คนที่อยู่ข้างในตอบว่า ‘อย่ารบกวนเราเลย ประตูก็ลงกลอนแล้ว ทั้งลูกๆ และเราเองก็เข้านอนแล้ว เราลุกขึ้นหยิบอะไรให้ไม่ได้’ 8 เราขอบอกเจ้าว่า แม้ว่าเขาจะไม่ลุกขึ้นหยิบขนมปังให้เพราะความเป็นเพื่อน แต่เป็นเพราะความไม่ย่อท้อ เขาก็จะลุกขึ้นและหยิบให้ตามที่เพื่อนต้องการ 9 ฉะนั้นเราขอบอกพวกเจ้าว่า จงขอและเจ้าก็จะได้รับ จงแสวงหาและเจ้าก็จะพบ จงเคาะประตูและประตูก็จะเปิดให้เจ้า 10 เพราะทุกคนที่ขอก็จะได้รับ คนที่หาก็พบ คนที่เคาะประตู ประตูก็จะเปิด 11 ถ้าลูกของเจ้าขอปลาแล้ว เจ้าผู้เป็นพ่อจะให้งูแทนหรือ 12 ถ้าหากเขาขอไข่แล้วกลับให้แมงป่องแทนหรือ 13 ถ้าเจ้าเองผู้เป็นคนชั่วยังรู้จักให้สิ่งที่ดีแก่ลูกๆ และยิ่งกว่านั้นขนาดไหนที่พระบิดาในสวรรค์จะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอจากพระองค์”
พระเยซูกับเบเอลเซบูล
14 พระเยซูขับไล่มารใบ้ตนหนึ่งออกจากร่างของชายคนหนึ่ง เมื่อมารออกจากร่างแล้ว ชายใบ้จึงพูดได้ และฝูงชนก็ประหลาดใจ 15 บางคนพูดว่า “ชายผู้นี้ขับไล่พวกมารออกได้โดยใช้เบเอลเซบูลหัวหน้าของพวกมารนั่นเอง” 16 คนอื่นๆ ได้ทดสอบพระองค์ โดยขอให้พระองค์ส่งปรากฏการณ์อัศจรรย์จากสวรรค์ 17 พระเยซูทราบความคิดของคนเหล่านั้นจึงกล่าวว่า “อาณาจักรใดก็ตามที่แบ่งแยกกันเองก็จะพินาศ และบ้านใดที่แบ่งแยกกันเองก็จะล้มลง 18 ถ้าซาตานแบ่งแยกตัวมันเอง แล้วอาณาจักรของมันจะยืนหยัดได้อย่างไร เราพูดเช่นนี้เพราะท่านยืนยันว่าเราขับไล่พวกมารโดยใช้เบเอลเซบูล 19 ถ้าเราขับมารโดยใช้เบเอลเซบูล แล้วผู้ติดตามของท่านเองล่ะ ใช้ใครในการขับ ฉะนั้นแล้วเขาเหล่านั้นก็เป็นผู้ตัดสินความของท่าน 20 แต่ถ้าเราขับพวกมารโดยการใช้นิ้วของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงท่านแล้ว 21 เมื่อคนที่แข็งแกร่งถืออาวุธไว้พร้อมเพื่อเฝ้าบ้านของเขา ทรัพย์สมบัติของเขาก็ปลอดภัย 22 แต่หากมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเข้าจู่โจมและชนะเขา คนนั้นก็ริบอาวุธยุทธภัณฑ์ที่เขาพึ่งพา แล้วแบ่งปันของที่เขาได้ริบเอาไป 23 ใครที่ไม่เป็นฝ่ายเราก็เป็นฝ่ายค้านเรา และคนที่ไม่เก็บรวบรวมกับเราก็กระจัดกระจายไป
24 เมื่อวิญญาณร้ายออกมาจากคนหนึ่ง มันก็เที่ยวหาที่แล้งเพื่อพำนัก เมื่อไม่พบ มันจึงพูดว่า ‘ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าจากมา’ 25 แต่เมื่อมาถึง ก็กลับพบว่าบ้านนั้นถูกปัดกวาดจนสะอาดเรียบร้อย 26 มันจึงไปเอาพวกวิญญาณอีก 7 ตนที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าเข้าไปอยู่ในบ้านนั้น ในที่สุดอาการของคนนั้นก็ทรุดหนักลงกว่าเดิม”
27 ขณะที่พระองค์กำลังกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ มีหญิงคนหนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มคนได้ร้องขึ้นว่า “มารดาที่ได้ให้กำเนิดและให้น้ำนมเลี้ยงดูพระองค์ก็เป็นสุข” 28 พระองค์ตอบว่า “ผู้ที่ได้ยินคำกล่าวของพระเจ้าแล้วปฏิบัติตามต่างหากเล่าจึงเป็นสุข”
ปรากฏการณ์อัศจรรย์ของโยนาห์
29 ขณะที่ผู้คนเข้ามาสมทบมากขึ้น พระเยซูกล่าวว่า “คนในช่วงกาลเวลาอันชั่วโฉด เป็นพวกที่แสวงหาปรากฏการณ์อัศจรรย์ แต่จะไม่ได้รับสิ่งใดนอกจากปรากฏการณ์อัศจรรย์ของโยนาห์[i] 30 ด้วยว่าโยนาห์ได้เป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์กับชาวนีนะเวห์อย่างไร บุตรมนุษย์ก็จะเป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์กับคนในช่วงกาลเวลานี้อย่างนั้น 31 ราชินีแห่งทิศใต้[j]จะลุกผงาดขึ้นในวันพิพากษา และกล่าวหาคนในช่วงกาลเวลานี้ ด้วยว่าพระนางมาจากปลายฟ้าเพื่อฟังสติปัญญาของกษัตริย์ซาโลมอน และบัดนี้ผู้ที่เหนือกว่ากษัตริย์ซาโลมอนอยู่ที่นี่ 32 ชาวนีนะเวห์จะผงาดขึ้นในวันพิพากษา และกล่าวหาคนในช่วงกาลเวลานี้ ชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเพราะคำประกาศของโยนาห์ และเวลานี้ผู้ที่เหนือกว่าโยนาห์อยู่ที่นี่แล้ว
ดวงตาคือตะเกียงของร่างกาย
33 ไม่มีผู้ใดที่จุดตะเกียงแล้วซ่อนหรือวางไว้ใต้ภาชนะ แต่จะตั้งไว้บนขาตั้งตะเกียงเพื่อผู้ที่เข้ามาจะได้เห็นแสงสว่าง 34 ดวงตาของเจ้าเป็นเสมือนตะเกียงของร่างกาย เมื่อดวงตาของเจ้าดี ร่างกายของเจ้าก็เต็มด้วยความสว่าง ถ้าดวงตาของเจ้าไม่ดี ร่างกายก็มีแต่ความมืด 35 จงดูให้ดีว่าเจ้ามีความสว่างภายใน ไม่ใช่ความมืด 36 ฉะนั้นถ้าทั่วทั้งร่างกายของเจ้าสว่างและไม่มีส่วนใดเลยที่มืด มันก็จะสว่างตลอดเหมือนเวลาที่แสงของตะเกียงส่องมาที่เจ้า”
วิบัติบังเกิดแก่บรรดาผู้นำทางศาสนา
37 เมื่อพระเยซูกล่าวจบแล้ว ฟาริสีผู้หนึ่งก็ได้เชิญพระองค์ไปรับประทานอาหารกับเขา เมื่อไปถึงก็เอนกายลงรับประทาน 38 ฟาริสีรู้สึกประหลาดใจเมื่อสังเกตเห็นว่าพระเยซูไม่ได้ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร 39 พระเยซูเจ้ากล่าวว่า “เอาล่ะ พวกท่านฟาริสีทำความสะอาดถ้วยชามภายนอก แต่ภายในกลับเต็มด้วยความโลภและความชั่วร้าย 40 เจ้าคนเขลา คนที่สร้างภายนอกไม่ได้สร้างภายในด้วยหรือ 41 จงให้ทานสงเคราะห์ที่เกิดจากใจและทุกสิ่งก็จะสะอาดสำหรับท่าน
42 วิบัติจงเกิดแก่พวกฟาริสี แม้ว่าท่านให้หนึ่งในสิบของสะระแหน่ ขมิ้นและสมุนไพรชนิดอื่นๆ ทุกชนิดแด่พระเจ้า แต่กลับเพิกเฉยต่อความเป็นธรรมและความรักของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ท่านควรกระทำอยู่ก่อนแล้วโดยไม่ละเลยจำนวนหนึ่งในสิบด้วย 43 วิบัติจงเกิดแก่พวกฟาริสี เพราะท่านชอบที่นั่งสำหรับคนสำคัญที่สุดในศาลาที่ประชุม และชอบให้คนทักทายแสดงความเคารพในย่านตลาด 44 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน เพราะท่านเป็นเสมือนหลุมฝังศพที่ไม่มีเครื่องหมายระบุไว้ คนเดินเหยียบไปก็มิอาจทราบได้”
45 คนหนึ่งในจำนวนผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ ท่านพูดเช่นนี้ท่านก็ดูถูกพวกเราด้วย” 46 พระเยซูตอบว่า “และท่านที่เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติ วิบัติก็จงเกิดแก่ท่าน เพราะท่านให้ผู้คนแบกหามภาระหนัก โดยที่พวกท่านไม่ยอมแม้แต่จะยกนิ้วขึ้นช่วยเขาเลย 47 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน เพราะท่านสร้างถ้ำเก็บศพให้พวกผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และบรรพบุรุษของท่านนั่นแหละที่ฆ่าพวกเขา 48 ดังนั้นนับได้ว่าท่านเป็นผู้เห็นชอบด้วยกับการกระทำของบรรพบุรุษของท่าน ที่พวกเขาฆ่าบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และท่านเองก็ได้สร้างถ้ำเก็บศพให้ 49 ด้วยเหตุนี้ และด้วยพระปัญญา พระเจ้ากล่าวว่า ‘เราจะส่งพวกผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าและพวกอัครทูตให้คนเหล่านั้น บางคนจะต้องถูกฆ่า บ้างก็จะถูกกดขี่ข่มเหง’ 50 ฉะนั้นคนในช่วงกาลเวลานี้จะต้องรับผิดชอบในหยาดโลหิตทุกหยดของผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าทุกท่านที่ได้พลีไว้ ตั้งแต่แรกสร้างโลก 51 นับแต่โลหิตของอาเบล[k] จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์[l] ผู้ถูกสังหารในระหว่างแท่นบูชาและพระตำหนักของพระเจ้า ใช่แล้ว เราขอบอกท่านว่า คนในช่วงกาลเวลานี้จะต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ 52 วิบัติจงเกิดแก่ท่านผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติ เพราะท่านได้เอากุญแจแห่งความรู้ไปเสีย ท่านเองยังไม่ได้เข้าไปและยังขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นก้าวเข้าไปเสียด้วย”
53 เมื่อพระเยซูเดินออกไป พวกฟาริสีและพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติเริ่มกลุ้มรุมพระองค์ และกระตุ้นให้พระองค์พูดต่อไปอีกหลายเรื่อง 54 เพื่อคอยเฝ้าจับผิดจากคำพูดของพระองค์
พระเยซูตักเตือนสาวก
12 ในขณะที่คนจำนวนนับพันได้ชุมนุมเบียดเสียดกันอยู่ พระเยซูได้กล่าวกับสาวกของพระองค์ในตอนแรกว่า “จงระวังเชื้อยีสต์[m]ของพวกฟาริสี คือการเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก 2 ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้แล้วจะไม่ถูกเปิดเผยออก และที่ซ่อนไว้แล้วจะไม่แสดงให้เป็นที่รับรู้ 3 สิ่งใดก็ตามที่เจ้าพูดในที่มืดจะได้ยินกันในที่แจ้ง และสิ่งใดที่เจ้ากระซิบในห้องลับจะถูกประกาศจากดาดฟ้าหลังคาบ้าน
4 เพื่อนเอ๋ย เราขอบอกว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่เพียงร่างกาย จากนั้นก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้อีก 5 เราจะชี้ให้เห็นว่าเจ้าควรกลัวใคร จงกลัวพระองค์ผู้สังหารเจ้าแล้ว ยังมีอำนาจโยนเจ้าลงนรกได้ ใช่แล้ว เราขอบอกเจ้าว่า จงกลัวพระองค์เถิด 6 นกกระจอก 5 ตัวขายได้ในราคาเพียงบาทสองบาทมิใช่หรือ ถึงกระนั้น พระเจ้าก็ไม่ลืมมันสักตัว 7 แม้แต่ผมบนศีรษะของเจ้า พระเจ้าก็นับไว้แล้ว อย่ากลัวเลย เจ้ามีค่ายิ่งกว่านกกระจอกหลายตัว
8 เราขอบอกเจ้าว่า ทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรมนุษย์ก็จะยอมรับเขาต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าด้วย 9 แต่ผู้ที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่ยอมรับเขาต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า 10 ผู้ที่กล่าวแย้งต่อบุตรมนุษย์ยังจะได้รับการยกโทษอยู่ แต่ผู้ที่พูดจาหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ได้รับการยกโทษ 11 เมื่อเจ้าถูกพาตัวไปยังศาลาที่ประชุม หรืออยู่ต่อหน้าบรรดาผู้อยู่ในระดับปกครองและบรรดาผู้มีสิทธิอำนาจ ก็อย่ากังวลว่าจะตอบโต้อย่างไรหรือเจ้าจะพูดอะไร 12 เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเจ้าในเวลานั้นว่า เจ้าควรจะพูดอะไร”
อุปมาเรื่องคนมั่งมีกับความเขลา
13 มีคนหนึ่งในฝูงชนได้บอกพระองค์ว่า “อาจารย์ ช่วยบอกพี่ชายของข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกให้แก่ข้าพเจ้าบ้าง” 14 พระเยซูกล่าวว่า “เจ้าหนุ่มเอ๋ย ใครแต่งตั้งให้เราเป็นผู้พิพากษาหรือผู้แบ่งมรดกให้แก่เจ้า” 15 แล้วก็กล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “จงระวังเถิด จงระวังตัวจากความโลภทุกชนิด ชีวิตของคนไม่ได้นับจากการมีทรัพย์สินมั่งคั่ง” 16 แล้วพระองค์ได้กล่าวเป็นอุปมากับเขาว่า “คนมั่งมีคนหนึ่งมีที่ดินผืนงามที่ให้ผลดี 17 เขาคิดในใจว่า ‘จะทำอย่างไรดีหนอในเมื่อเราไม่มีที่เก็บพืชผลเลย’ 18 แล้วเขาพูดขึ้นว่า ‘เอาอย่างนี้ดีกว่า เราจะรื้อยุ้งเดิมออก แล้วสร้างให้ใหญ่ขึ้น จะได้มีที่เก็บพืชผลและสินค้า 19 ครั้งนี้เราจะได้บอกตัวเองได้ว่า “เจ้ามีสรรพสิ่งที่สะสมไว้อย่างอุดมสมบูรณ์จนพอใช้ไปอีกหลายปี จงใช้ชีวิตแบบสบาย กินและดื่มและสำเริงสำราญเถิด”’ 20 แต่พระเจ้ากล่าวกับเขาว่า ‘เจ้าคนเขลา ในคืนนี้แหละที่ชีวิตของเจ้าจะดับลง แล้วใครจะได้สิ่งที่เจ้าตระเตรียมไว้สำหรับตนเอง’ 21 นี่คือสิ่งที่จะเกิดกับคนที่สะสมทรัพย์สมบัติให้ตัวเอง แต่ไม่เผื่อแผ่แก่พระเจ้าเลย”
ความกังวล
22 แล้วพระเยซูกล่าวกับเหล่าสาวกต่อไปอีกว่า “ฉะนั้นอย่ากังวลกับชีวิตว่าจะกินอะไร หรือกับร่างกายของเจ้าว่าจะนุ่งห่มอะไร 23 ชีวิตมีค่ายิ่งกว่าอาหาร และร่างกายมีค่ายิ่งกว่าเสื้อผ้า 24 จงดูเถิดว่า อีกาไม่หว่านไม่เก็บเกี่ยว มันไม่มีห้องเก็บหรือยุ้งฉาง พระเจ้าก็ยังเลี้ยงมัน เจ้ามีคุณค่ามากกว่าพวกนกเพียงไร 25 มีใครบ้างที่สามารถยืดชีวิตให้ยาวได้ด้วยความวิตกกังวล 26 ในเมื่อเจ้าไม่สามารถทำสิ่งเล็กน้อยนี้ได้ แล้วจะวิตกถึงสิ่งอื่นๆ ทำไม 27 จงพิจารณาดูว่าดอกไม้ป่าเติบโตขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อมันไม่ทำงานหรือปั่นด้าย อย่างไรก็ดีเราขอบอกเจ้าว่า แม้แต่กษัตริย์ซาโลมอนผู้พร้อมด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ ยังทรงเครื่องไม่งามเท่าดอกไม้ดอกหนึ่ง 28 ถ้าพระเจ้าตกแต่งหญ้าซึ่งยังอยู่ในทุ่งวันนี้ และพรุ่งนี้ถูกโยนลงในเตาไฟ พระองค์จะตกแต่งให้เจ้ามากกว่าเพียงไร เจ้านี่ช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง 29 อย่าตั้งความหวังว่าจะกินหรือดื่มอะไร และอย่าวิตกเรื่องนั้นเลย 30 เพราะชาติต่างๆ ในโลกล้วนเสาะหาสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ และพระบิดาของเจ้าทราบว่าเจ้ามีความจำเป็นในสิ่งเหล่านี้ 31 แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระองค์ แล้วพระองค์จะเพิ่มเติมสิ่งเหล่านี้ให้แก่เจ้าเอง
32 อย่ากลัวไปเลย แกะฝูงน้อยๆ เอ๋ย เพราะพระบิดาของเจ้าพอใจที่จะมอบอาณาจักรนั้นให้แก่เจ้า 33 จงขายของที่เจ้ามีอยู่เพื่อให้แก่คนยากไร้ จัดหาถุงเงินที่ไม่มีวันขาดสำหรับตนเอง เพื่อทรัพย์สมบัติในสวรรค์จะไม่มีวันหมด เป็นที่ซึ่งขโมยไม่อาจเข้าใกล้ และไม่มีแมลงกินผ้า 34 เพราะว่าทรัพย์สมบัติของเจ้าอยู่ที่ไหน ใจของเจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วย
จงเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
35 จงแต่งกายไว้ให้พร้อมที่จะรับใช้ และให้ตะเกียงของเจ้าจุดอยู่ 36 เหมือนกับคนที่คอยนายกลับจากงานเลี้ยงสมรส เมื่อนายมาและเคาะประตู เขาจะได้เปิดให้นายได้ทันที 37 ผู้รับใช้ย่อมเป็นสุข เมื่อนายกลับมาแล้วพบว่าพวกเขากำลังเฝ้าคอยอยู่ เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า นายจะแต่งตัวไว้ให้พร้อมที่จะรับใช้ โดยให้คนรับใช้เอนกายลงรับประทาน และนายเข้ามารอรับใช้พวกเขา 38 พวกคนรับใช้ก็จะเป็นสุข เมื่อนายเห็นว่าพวกเขาเตรียมพร้อม แม้ว่านายกลับมายามดึกหรือรุ่งอรุณก็ตาม 39 จงเข้าใจด้วยว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้เวลาที่ขโมยจะมา เขาก็จะไม่ยอมให้ขโมยบุกรุกเข้ามาในบ้านได้ 40 เจ้าก็ต้องเตรียมพร้อมเช่นกัน เพราะบุตรมนุษย์จะมาในยามที่เจ้าไม่ได้คาดคิดไว้”
41 เปโตรถามว่า “พระองค์ท่าน พระองค์เล่าเรื่องเป็นอุปมานี้สำหรับพวกเราหรือสำหรับทุกคน” 42 พระเยซูเจ้าตอบว่า “ใครเล่าที่เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ที่ทั้งซื่อสัตย์และชาญฉลาด ที่นายมอบหน้าที่ให้แจกอาหารแก่คนรับใช้อื่นตามเวลา 43 ผู้รับใช้นั้นจะเป็นสุขเมื่อนายกลับมาพบว่าเขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ 44 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า นายจะมอบหน้าที่ให้เขาดูแลทุกสิ่งที่เขามี 45 แต่ถ้าผู้รับใช้พูดกับตนเองว่า ‘กว่านายของเราจะมาก็อีกนาน’ และเขาก็ทุบตีคนรับใช้อื่นๆ ทั้งชายและหญิง แล้วดื่มกินจนเมามาย 46 นายของผู้รับใช้คนนั้นจะมาในวันที่ไม่คาดคิดและในยามที่เขาไม่รู้ นายจะทำโทษอย่างสาหัสสากรรจ์ และให้ไปอยู่กับพวกที่ไม่ภักดี 47 คนรับใช้ที่รู้ความประสงค์ของนาย แต่ไม่เตรียมพร้อมและไม่ปฏิบัติตามที่นายต้องการ ก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก 48 ส่วนคนที่ไม่รู้ก็สมควรที่จะถูกลงโทษสถานเบา ทุกคนที่ได้รับมาก ก็ถูกเรียกร้องคืนจากเขามาก และคนที่ได้รับมากกว่านั้น ก็ยิ่งถูกเรียกร้องคืนมากกว่าอีก
สันติสุขหรือการแตกแยก
49 เรามาเพื่อที่จะโยนไฟลงบนโลก และปรารถนาอย่างยิ่งว่าไฟนั้นได้ถูกจุดไว้แล้ว 50 แต่เรามีบัพติศมาอย่างหนึ่งที่จะต้องรับซึ่งทำให้เราเป็นทุกข์มาก จนกว่าจะเสร็จบริบูรณ์ 51 เจ้าคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติสุขมาสู่โลกหรือ เปล่าเลย ความเป็นจริงเรานำความแตกแยกมา 52 เพราะตั้งแต่นี้ไปจะมี 5 คนในครอบครัวหนึ่งแตกแยกกันเอง คือสามต่อสอง และสองต่อสาม 53 พ่อต่อต้านลูกชาย และลูกชายต่อต้านพ่อ แม่ต่อต้านลูกสาว และลูกสาวต่อต้านแม่ แม่สามีต่อต้านลูกสะใภ้และลูกสะใภ้ต่อต้านแม่สามี”
54 พระองค์กล่าวกับหมู่คนนั้นว่า “เวลาที่ท่านเห็นหมู่เมฆรวมตัวกันทางทิศตะวันตกก็พูดทันทีว่า ‘ฝนกำลังจะตก’ แล้วมันก็ตก 55 เวลาที่ลมใต้พัด ท่านมักจะพูดว่า ‘อากาศจะร้อน’ แล้วมันก็ร้อน 56 พวกหน้าไหว้หลังหลอก ท่านรู้จักตีความการแปรเปลี่ยนของแผ่นดินและท้องฟ้า แต่ทำไมท่านจึงไม่รู้จักตีความของยามนี้
57 ทำไมท่านไม่ตัดสินเองว่า อะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้อง 58 ระหว่างทางที่จะไปพบเจ้าหน้าที่บังคับคดี จงพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะปรองดองกับโจทก์ มิฉะนั้นเขาอาจจะลากท่านไปหาผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะส่งเรื่องต่อให้ผู้คุม และผู้คุมโยนท่านเข้าคุก 59 เราขอบอกท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้จนกว่าท่านจะจ่ายเงินเหรียญสุดท้ายเสียก่อน”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation