Read the Gospels in 40 Days
ด้วยความเชื่อสูงส่ง
7 เมื่อพระเยซูได้กล่าวให้ฝูงชนฟังจบแล้ว ก็เข้าไปยังเมืองคาเปอร์นาอุม 2 มีผู้รับใช้ของนายร้อยโรมันคนหนึ่งกำลังป่วยใกล้สิ้นลม นายเห็นคุณค่าในตัวเขามาก 3 นายร้อยผู้นี้เคยได้ยินเรื่องราวของพระเยซู จึงให้ผู้ใหญ่บางคนของชาวยิวไปหาพระองค์เพื่อขอให้มารักษาผู้รับใช้คนนั้น 4 เมื่อคนเหล่านั้นมาพบพระเยซู ก็อ้อนวอนพระองค์ว่า “นายร้อยผู้นี้สมควรจะได้รับความช่วยเหลือจากพระองค์ 5 เพราะว่าเขารักชาติของเรา และได้สร้างศาลาที่ประชุมให้พวกเรา” 6 พระเยซูจึงไปกับพวกเขา เมื่อใกล้จะถึงบ้านแล้ว นายร้อยก็ได้ขอให้เพื่อนๆ มาบอกพระเยซูว่า “พระองค์ท่าน อย่าลำบากเลย เพราะว่าไม่สมควรให้พระองค์เข้ามาใต้หลังคาบ้านของข้าพเจ้า 7 ฉะนั้นข้าพเจ้ามิบังควรที่จะมาพบพระองค์เช่นกัน เพียงแต่พระองค์พูด ผู้รับใช้ก็จะหายจากโรค 8 สำหรับตัวข้าพเจ้าเองก็เป็นคนอยู่ใต้บังคับบัญชา มีทหารในบังคับด้วย ข้าพเจ้าบอกคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป และคนนั้นว่า ‘มา’ เขาก็มา ข้าพเจ้าบอกทาสรับใช้ว่า ‘จงทำสิ่งนี้’ เขาก็ทำ”
9 เมื่อพระเยซูได้ยินคำพูดเช่นนั้นก็ประหลาดใจ และหันไปกล่าวกับหมู่คนที่เดินตามมาว่า “เราขอบอกท่านว่า เราไม่เคยเห็นความเชื่อมากเท่านี้แม้แต่ในประเทศอิสราเอล” 10 เมื่อคนเหล่านั้นกลับไปก็พบว่าผู้รับใช้คนนั้นได้หายเป็นปกติแล้ว
ลูกชายของหญิงม่ายฟื้นจากความตาย
11 ไม่นานหลังจากนั้นพระเยซูก็ไปยังเมืองนาอิน พวกสาวกของพระองค์และผู้คนจำนวนมากติดตามไปด้วย 12 ขณะที่พระองค์เข้าไปใกล้ประตูเมือง ก็สวนทางกับขบวนแห่ศพซึ่งมีคนแห่ร่วมมา ผู้ตายเป็นลูกชายคนเดียวของหญิงม่าย 13 เมื่อพระเยซูเจ้าเห็นหญิงม่าย ก็เกิดความสงสารจึงกล่าวว่า “อย่าร้องไห้เลย” 14 พระองค์เดินเข้าไปใกล้แล้วเอื้อมไปแตะศพ พวกหามศพก็ยืนนิ่งอยู่ พระองค์กล่าวว่า “ชายหนุ่มเอ๋ย เราขอบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด” 15 คนตายก็ลุกขึ้นนั่งและพูดได้ พระเยซูจึงมอบชายหนุ่มคืนให้แม่ของเขา 16 เขาทั้งหลายรู้สึกกลัวและสรรเสริญพระเจ้า พูดกันว่า “ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้ปรากฏท่ามกลางเรา พระเจ้าได้มาช่วยชนชาติของพระองค์แล้ว” 17 เรื่องราวของพระเยซูได้เลื่องลือไปทั่วแคว้นยูเดียและเขตใกล้เคียง
คำถามของยอห์นถึงพระเยซู
18 สาวกของยอห์นได้เล่าเรื่องเหล่านี้ให้ยอห์นฟัง ท่านจึงเรียกสาวก 2 คนมา 19 และส่งเขาทั้งสองไปถามพระเยซูเจ้าว่า “ท่านคือผู้ที่จะมานั้น หรือว่าพวกเราควรจะรอคอยผู้อื่นต่อไป” 20 เมื่อสาวกทั้งสองมาพบพระเยซูก็พูดว่า “ยอห์นผู้ให้บัพติศมาให้พวกเรามาถามท่านว่า ‘ท่านคือผู้ที่จะมานั้น หรือว่าพวกเราควรจะรอคอยผู้อื่นต่อไป’” 21 ขณะนั้นพระเยซูกำลังรักษาผู้คนจำนวนมากให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ จากวิญญาณร้ายต่างๆ และให้คนตาบอดมองเห็น 22 พระองค์ตอบผู้ส่งข่าวทั้งสองว่า “จงกลับไปรายงานยอห์นถึงสิ่งที่เจ้าเห็นและได้ยิน คนตาบอดมองเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายขาด คนหูหนวกได้ยิน คนตายฟื้นคืนชีวิต และข่าวประเสริฐถูกประกาศให้กับคนยากไร้ 23 ผู้ใดที่ยังคงความเชื่อในเรา ผู้นั้นย่อมเป็นสุข”
24 หลังจากผู้สื่อข่าวของยอห์นจากไปแล้ว พระเยซูเริ่มกล่าวกับฝูงชนถึงยอห์นว่า “พวกท่านออกไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร ต้นอ้อที่ถูกลมพัดหรือ 25 ถ้าไม่ใช่ แล้วท่านออกไปเพื่อดูอะไร ไปดูชายที่สวมเสื้อผ้าเนื้อนุ่มหรือ เปล่าเลย ผู้สวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงและเพลิดเพลินในสิ่งหรูหราย่อมอยู่ในวัง 26 แต่ท่านออกไปเพื่อดูอะไรเล่า ไปดูผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าหรือ ใช่แล้ว เราขอบอกท่านว่า เขาเหนือกว่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเสียอีก 27 มีคำที่กล่าวถึงผู้นี้ไว้ว่า
‘ดูเถิด เราจะใช้ผู้ส่งข่าวของเราล่วงหน้าเจ้าไป
เพื่อเตรียมทางของเจ้าล่วงหน้า’[a]
28 เราขอบอกท่านว่า ในบรรดาผู้เกิดจากครรภ์มารดา ไม่มีผู้ใดที่จะยิ่งใหญ่เหนือยอห์น แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรของพระเจ้ากลับยิ่งใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก” 29 เมื่อฝูงชนทั้งปวงหรือแม้แต่พวกคนเก็บภาษีได้ยินคำกล่าวของพระเยซู ต่างก็รับว่าวิถีทางของพระเจ้าเป็นทางที่ถูกต้อง เพราะว่าเขาเหล่านั้นได้รับบัพติศมาของยอห์นแล้ว 30 แต่พวกฟาริสีและผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติปฏิเสธความประสงค์ของพระเจ้าสำหรับพวกเขาเอง เพราะว่าพวกเขาไม่ได้รับบัพติศมาจากยอห์น
31 “เราเปรียบเทียบคนในช่วงกาลเวลานี้กับอะไรดี พวกเขาเป็นอย่างไร 32 พวกเขาเหมือนกับเด็กๆ ที่นั่งในย่านตลาดและร้องต่อกันและกันว่า
‘พวกเราเป่าขลุ่ยให้เธอ
แต่เธอกลับไม่เต้นรำ
เมื่อพวกเราได้ร้องเพลงเศร้า
เธอก็ไม่ร้องร่ำไห้’
33 เมื่อยอห์นผู้ให้บัพติศมาไม่กินขนมปังและไม่ดื่มเหล้าองุ่น พวกท่านก็พูดว่า ‘เขามีมารสิงอยู่’ 34 บุตรมนุษย์ได้มาแล้ว ทั้งกินและดื่ม พวกท่านก็พูดว่า ‘ดูเขาซิ เป็นทั้งคนตะกละและขี้เมา เพื่อนของคนเก็บภาษีและคนบาป’ 35 แต่ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้ารับว่าพระปัญญาเป็นทางที่ถูกต้อง”
น้ำมันหอมชโลมเท้า
36 ฟาริสีคนหนึ่งได้เชิญพระเยซูไปรับประทานอาหารกับเขา เมื่อพระองค์ไปถึงบ้านเขาแล้วก็เอนกายลงรับประทาน 37 หญิงคนบาปคนหนึ่งในเมืองนั้นรู้ว่าพระเยซูกำลังรับประทานอาหารอยู่ที่บ้านของฟาริสี นางจึงเอาผอบหินซึ่งบรรจุด้วยน้ำมันหอมมา 38 ขณะที่นางยืนอยู่เบื้องหลังพระองค์ พลางร้องไห้อยู่ที่แทบเท้า น้ำตาก็ไหลลงเปียกเท้าของพระองค์ แล้วนางใช้ผมของตนเช็ดเท้า ครั้นแล้วก็จูบและเทน้ำมันหอมชโลมบนเท้าของพระเยซู 39 เมื่อฟาริสีผู้เป็นเจ้าบ้านเห็นดังนั้นก็รำพึงกับตนเองว่า “ถ้าชายคนนี้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าแล้ว เขาจะรู้ว่าหญิงผู้กำลังจับต้องตัวเขาเป็นคนบาป” 40 พระเยซูตอบเขาว่า “ซีโมน เรามีอะไรบางสิ่งจะบอกท่าน” ซีโมนพูดว่า “เชิญบอกข้าพเจ้าเถิดอาจารย์”
41 “มีชายลูกหนี้ 2 คน คนหนึ่งเป็นหนี้ 500 เหรียญเดนาริอัน[b] และอีกคนเป็นหนี้ 50 42 ทั้งสองไม่มีเงินจ่ายคืนเจ้าหนี้ เจ้าหนี้ก็ยกหนี้ให้แก่เขาทั้งสอง แล้วคนใดจะรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน” 43 ซีโมนตอบว่า “คงจะเป็นคนที่ได้รับการยกหนี้จำนวนมากกว่า” พระเยซูกล่าวว่า “ท่านได้ตัดสินถูกต้องแล้ว” 44 แล้วพระองค์หันไปทางหญิงคนนั้นพลางกล่าวกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงคนนี้ไหม เราเข้ามาในบ้านของท่าน และท่านไม่ได้ให้น้ำล้างเท้าเรา แต่นางล้างเท้าเราด้วยน้ำตา เช็ดด้วยผมของนาง 45 ท่านไม่ได้จูบแก้มเรา[c] หญิงคนนี้ยังไม่ได้หยุดจูบเท้าเรานับตั้งแต่เวลาที่เราได้เข้ามา 46 ท่านไม่ได้ใส่น้ำมันบนผมเรา แต่นางเทน้ำมันหอมลงบนเท้าเรา[d] 47 ฉะนั้นเราขอประกาศว่าบาปต่างๆ ของนางได้รับการยกโทษแล้ว เพราะว่านางมีความรักมากมาย และคนที่ได้รับการยกโทษเพียงเล็กน้อยก็มีความรักน้อย” 48 แล้วพระเยซูกล่าวกับนางว่า “บาปของเจ้าได้รับการยกโทษแล้ว” 49 แขกผู้ร่วมงานอื่นๆ ก็เริ่มคุยกันว่า “คนนี้เป็นใคร แม้แต่บาปก็ยกโทษให้ได้” 50 พระเยซูกล่าวกับหญิงคนนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้ารอดพ้นแล้ว จงไปอย่างสันติสุขเถิด”
อุปมาเรื่องผู้หว่านเมล็ด
8 หลังจากนั้น พระเยซูพร้อมด้วยอัครทูตทั้งสิบสองได้เดินทางไปตามเมืองและหมู่บ้านเพื่อประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า 2 มีผู้หญิงบางคนที่รับการรักษาหายจากพวกวิญญาณร้ายและโรคต่างๆ ด้วยคือ มารีย์ชาวมักดาลา ซึ่งมารทั้งเจ็ดได้ออกจากตัวไป 3 โยอันนาภรรยาของคูซาผู้ดูแลผลประโยชน์ของเฮโรด ซูซานาและคนอื่นอีกจำนวนมาก ผู้หญิงเหล่านี้ได้มอบทรัพย์สินส่วนตัวของพวกนางเองเพื่อช่วยเหลือพระเยซูและเหล่าอัครทูต
4 ขณะที่มหาชนจากเมืองต่างๆ มาชุมนุมกัน พระเยซูกล่าวเป็นอุปมาว่า 5 “ชาวไร่คนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืชของเขา ขณะที่เขากำลังหว่านเมล็ด บางเมล็ดตกลงตามทางแล้วก็ถูกเหยียบ พวกนกพากันจิกกินเสียหมด 6 บางเมล็ดตกลงบนหิน พองอกขึ้นแล้วต้นก็เหี่ยวแห้งไปเพราะขาดความชื้น 7 บางเมล็ดตกลงท่ามกลางไม้หนามที่เติบโตขึ้นและแย่งอาหารไปเสีย 8 บางเมล็ดที่ตกบนดินดี ก็ได้งอกขึ้นและเกิดผลเป็น 100 เท่าเพิ่มขึ้นจากที่ได้หว่านไว้” เมื่อพระองค์กล่าวจบแล้วก็ประกาศขึ้นว่า “ผู้ใดมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด”
9 พวกสาวกของพระองค์ถามว่า คำอุปมานี้หมายความว่าอย่างไร 10 พระองค์กล่าวว่า “เราทำให้เจ้าเข้าใจถึงความลับของอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว แต่สำหรับผู้อื่น เรากล่าวเป็นอุปมาเพื่อว่า ‘แม้ว่าขณะที่กำลังดู พวกเขาก็มองไม่เห็น แม้ว่าขณะที่กำลังได้ยิน พวกเขาก็ไม่เข้าใจ’[e] 11 นี่คือความหมายของคำอุปมาที่ว่า เมล็ดพืชนั้นเป็นเสมือนคำกล่าวของพระเจ้า 12 พวกที่อยู่ตามทางคือผู้ที่ได้ยินแล้ว และพญามารก็มาปล้นคำกล่าวออกจากจิตใจของเขา เพื่อไม่ให้เชื่อและรอดพ้นได้ 13 พวกที่อยู่บนหิน คือผู้ที่เมื่อได้ยินคำกล่าวก็รับไว้ด้วยความยินดี แต่เนื่องจากเขาไม่มีรากฐานอันมั่นคง จึงเชื่อสักพักหนึ่ง พอถึงเวลาทดสอบใจก็ล้มเลิกจากความเชื่อ 14 เมล็ดที่ตกท่ามกลางไม้หนามเปรียบได้กับผู้ที่ได้ยิน แต่ขณะที่เขาดำรงชีวิตต่อไป ก็ถูกขัดขวางโดยความกังวลต่างๆ ความร่ำรวยและความสำราญ ซึ่งทำให้ไม่อาจเติบโตได้ 15 แต่เมล็ดบนดินดีเปรียบเสมือนผู้ที่บากบั่น ด้วยจิตใจอันซื่อสัตย์และดีงามเมื่อได้ยินคำกล่าว และด้วยความพากเพียรจึงบังเกิดผล
แสงสว่างจากตะเกียง
16 ไม่มีผู้ใดที่จุดตะเกียงแล้วซ่อนไว้ในโถหรือใต้เตียง แต่จะตั้งไว้บนขาตั้งตะเกียงเพื่อให้ผู้ที่เข้ามาได้เห็นแสงสว่าง 17 ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้แล้วจะไม่ปรากฏแจ้ง และไม่มีสิ่งใดที่เร้นลับแล้วจะไม่ถูกเปิดเผยในที่แจ้ง 18 ฉะนั้นเจ้าจงฟังให้ดี ผู้ใดก็ตามที่มีอยู่แล้วจะได้รับมากขึ้น และผู้ใดที่ไม่มี แม้ว่าสิ่งซึ่งเขาคิดว่าเขามีอยู่ก็จะถูกยึดไปจากเขาเสีย”
มารดาและน้องชายของพระเยซู
19 ขณะนั้นมารดาและพวกน้องชายของพระเยซูมาหาพระองค์ แต่ไม่อาจฝ่าฝูงชนเข้ามาได้เพราะคนแน่น 20 มีคนมาบอกพระเยซูว่า “มารดาและพวกน้องชายของท่านกำลังยืนอยู่ข้างนอกและต้องการจะมาหาท่าน”
21 พระองค์ตอบว่า “มารดาและพี่น้องของเรา คือพวกที่ฟังคำกล่าวของพระเจ้าและปฏิบัติตาม”
ห้ามคลื่นและลมให้หยุด
22 วันหนึ่ง พระเยซูกล่าวกับกลุ่มสาวกว่า “เราข้ามทะเลสาบไปอีกฟากกันเถิด” ฉะนั้นสาวกทั้งหลายก็ออกเรือไป 23 ขณะที่แล่นใบออกไป พระองค์นอนหลับอยู่ และเกิดพายุกระหน่ำในทะเลสาบ น้ำก็ท่วมลำเรือจนเข้าขั้นอันตราย 24 บรรดาสาวกจึงไปปลุกพระองค์ให้ตื่นพลางพูดว่า “นายท่าน นายท่าน พวกเรากำลังจะตายอยู่แล้ว” พระองค์ตื่นขึ้นห้ามลมและคลื่น พายุจึงหยุดและสงบเงียบลง 25 พระองค์จึงถามพวกเขาว่า “ความเชื่อของเจ้าอยู่ที่ไหน” พวกเขาถามกันและกันด้วยความตกใจและอัศจรรย์ใจว่า “แล้วท่านผู้นี้เป็นใคร จึงสั่งลมและน้ำให้เชื่อฟังได้”
ขับไล่มารพ้นจากชายผู้หนึ่ง
26 พระเยซูกับเหล่าสาวกแล่นใบไปถึงดินแดนเก-ราซา ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับแคว้นกาลิลี 27 เมื่อพระเยซูขึ้นฝั่ง ก็มีชายชาวเมืองเก-ราซาคนหนึ่งซึ่งมีมารสิงอยู่มาหาพระองค์ ชายคนนี้ไม่ได้สวมเสื้อตัวนอกและไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านมาเป็นเวลานานแล้ว แต่อยู่ตามถ้ำเก็บศพ 28 เมื่อเขาเห็นพระเยซู เขาก็ล้มตัวลงแทบเท้าของพระองค์ และร้องตะโกนเสียงดังว่า “พระเยซูบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด ท่านมายุ่งเกี่ยวอะไรกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอร้องท่านว่าอย่าทรมานข้าพเจ้าเลย” 29 เป็นเพราะพระเยซูได้บัญชาให้วิญญาณร้ายออกมาจากตัวของชายคนนั้น เพราะหลายต่อหลายครั้งที่มันเข้ามาสิงเขา แม้มีคนคุมตัวเขา ถูกตรวนทั้งที่ข้อมือและข้อเท้า เขาก็ยังหักโซ่ตรวนได้ และมารผลักดันเขาออกไปยังที่ไม่มีผู้คน 30 พระเยซูถามเขาว่า “เจ้าชื่ออะไร” เขาตอบว่า “เลเกโอน”[f] ด้วยว่ามีมารหลายตนสิงเขาอยู่ 31 พวกมันอ้อนวอนพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำอีกมิให้ส่งมันลงขุมนรก 32 ขณะนั้นมีหมูฝูงใหญ่ที่กำลังหากินอยู่บนเชิงเขาในบริเวณใกล้ๆ นั้น พวกมารอ้อนวอนให้พระเยซูปล่อยมันไปสิงในฝูงหมู พระองค์ก็อนุญาต 33 พวกมารจึงออกมาจากร่างของชายคนนั้น แล้วเข้าสิงในตัวหมู และทั้งฝูงเตลิดลงจากหน้าผาชันสู่ทะเลสาบและจมน้ำตาย
34 พวกคนเลี้ยงหมูที่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ก็วิ่งหนีออกไปบอกเรื่องนั้นทั้งในเมืองและชนบท 35 ผู้คนจึงพากันมาดูว่าได้เกิดอะไรขึ้น เมื่อคนเหล่านั้นมาหาพระเยซู ก็พบว่า ชายผู้พ้นอำนาจมารกำลังนั่งแทบเท้าพระเยซู โดยนุ่งห่มเสื้อผ้าและมีสติดี คนเหล่านั้นจึงพากันกลัว 36 พวกที่ได้เห็นเหตุการณ์ก็เล่าให้คนอื่นๆ ฟังว่าชายที่ถูกมารสิงนั้นหายได้อย่างไร 37 ผู้คนทั้งปวงในดินแดนเก-ราซาจึงขอให้พระเยซูไปเสียให้พ้น เพราะพวกเขาหวาดกลัวยิ่งนัก พระองค์จึงลงเรือจากไป 38 ส่วนชายที่มารออกจากตัวไปแล้ว ก็ได้อ้อนวอนขอติดตามพระองค์ไปด้วย แต่พระเยซูไม่อนุญาต และกล่าวว่า 39 “จงกลับไปบ้าน และบอกผู้อื่นว่าพระเจ้าได้ช่วยเจ้ามากเพียงไร” ดังนั้นชายคนนั้นจึงจากไปเพื่อเล่าเรื่องให้คนทั่วเมืองทราบว่า พระเยซูได้ช่วยเขามากมายเพียงไร
พระเยซูผู้รักษาโรคนานาชนิด และผู้พลิกฟื้นความตาย
40 ครั้นพระเยซูกลับไป ประชาชนก็รอคอยต้อนรับพระองค์อยู่ 41 ไยรัสผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุมมาซบลงที่แทบเท้าของพระเยซู และอ้อนวอนให้พระองค์มายังบ้านของเขา 42 เพราะว่าลูกสาวคนเดียวของเขาซึ่งอายุประมาณ 12 ปีกำลังจะตาย
ครั้นพระเยซูไปกับเขา ผู้คนก็มาเบียดเสียดรายล้อมพระองค์มากมาย 43 และมีหญิงคนหนึ่งซึ่งตกโลหิตนานถึง 12 ปีโดยไม่มีใครรักษาได้ 44 เธอเข้ามาใกล้ทางเบื้องหลัง แล้วแตะที่ชายเสื้อตัวนอกของพระองค์ โลหิตที่ไหลอยู่ก็หยุดทันที 45 พระเยซูถามว่า “ใครแตะต้องตัวเรา” เมื่อไม่มีผู้ใดรับ เปโตรจึงพูดว่า “นายท่าน ผู้คนหนาแน่นเบียดเสียดท่านอยู่” 46 แต่พระเยซูกล่าวว่า “มีคนที่ได้แตะตัวเรา เพราะฤทธานุภาพได้แผ่ซ่านออกจากกายของเราไป” 47 หญิงคนนั้นเกรงว่าจะมีคนสังเกตเห็นการกระทำของเธอ จึงได้ทรุดตัวอันสั่นเทาลงแทบเท้าพระองค์ และพูดต่อหน้าผู้คนว่า เหตุใดเธอจึงแตะตัวพระองค์ และหายจากโรคทันทีได้อย่างไร 48 พระองค์จึงกล่าวกับเธอว่า “ลูกสาวเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าหายจากโรค จงไปอย่างสันติสุขเถิด”
49 ขณะที่พระเยซูกำลังกล่าวอยู่ ก็มีคนมาจากบ้านของไยรัสผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุม มาบอกเขาว่า “ลูกสาวของท่านตายแล้ว อย่าได้รบกวนอาจารย์ท่านอีกเลย” 50 พระเยซูได้ยินดังนั้นจึงกล่าวกับไยรัสว่า “อย่ากลัวเลย เพียงแต่เชื่อ และเธอก็จะหายดี” 51 เมื่อพระองค์ไปถึงบ้านไยรัส ก็ไม่อนุญาตให้ใครล่วงเข้าไปด้านใน เว้นแต่เปโตร ยอห์น ยากอบ และบิดามารดาของเด็ก 52 ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังร้องไห้ฟูมฟายและร้องคร่ำครวญถึงเด็กน้อย พระเยซูกล่าวว่า “จงหยุดร้องไห้ฟูมฟายเถิด เธอไม่ตาย เพียงแค่หลับเท่านั้น” 53 ผู้คนพากันหัวเราะเยาะพระองค์เพราะรู้ว่าเธอตายแล้ว 54 แต่พระองค์จับมือเธอและกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด” 55 วิญญาณของเธอก็กลับคืนสู่ร่าง แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืนทันที และพระเยซูบอกให้คนเหล่านั้นนำอาหารมาให้เธอ 56 บิดามารดาของเธอก็ประหลาดใจ และพระองค์สั่งไม่ให้เขาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่ผู้ใด
พระเยซูให้โอวาทแก่สาวกทั้งสิบสองก่อนออกไปประกาศ
9 ครั้นแล้วพระเยซูจึงเรียกอัครทูตทั้งสิบสองมา เพื่อรับอานุภาพและสิทธิอำนาจในการขับไล่มารทั้งปวง รวมถึงการรักษาโรคต่างๆ 2 และพระองค์ส่งพวกเขาออกไปประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าและรักษาคนป่วย 3 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “ไม่ต้องนำของติดตัวในการเดินทางเลย เช่นไม้เท้า ย่าม อาหาร เงินทอง และเสื้อสำรองตัวใน 4 เมื่อเข้าไปในบ้านใครก็จงอยู่ที่นั่นจนกว่าจะออกไปจากเมือง 5 ถ้าไม่มีผู้ใดต้อนรับ ก็จงสลัดฝุ่นออกจากเท้าเจ้าเวลาที่ไปจากเมืองนั้น เพื่อแสดงถึงความผิดของเขาว่า พระเจ้าจะลงโทษพวกเขา” 6 ดังนั้นสาวกจึงไปตามหมู่บ้านเพื่อประกาศข่าวประเสริฐและรักษาผู้คนทุกแห่งหน
7 เมื่อเฮโรดผู้ปกครองแคว้นได้ยินเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็รู้สึกงุนงง เพราะมีคำเล่าขานว่ายอห์นฟื้นคืนชีวิตจากความตาย 8 บ้างก็พูดว่า เอลียาห์มาปรากฏ และบ้างก็พูดว่าเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าท่านหนึ่งในสมัยโบราณที่ได้ฟื้นคืนชีวิตอีก 9 เฮโรดกล่าวว่า “เขาคือยอห์นที่เราสั่งตัดหัว แล้วคนที่เราได้ยินเรื่องของเขานี้คือผู้ใด” แล้วเฮโรดเองก็พยายามอย่างยิ่งที่จะได้พบพระเยซู
มหาชนกับขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัว
10 หลังจากที่อัครทูตเดินทางกลับมาแล้ว ก็ได้รายงานการปฏิบัติงานของเขากับพระเยซู แล้วพระองค์ก็พาพวกเขาไปกันตามลำพังถึงเมืองเบธไซดา 11 ฝูงชนที่ทราบเรื่องก็ตามพระองค์ไป พระเยซูต้อนรับพวกเขา และกล่าวถึงอาณาจักรของพระเจ้า ทั้งยังรักษาผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรับการรักษา
12 ครั้นใกล้เวลาเย็น อัครทูตทั้งสิบสองมาหาพระองค์และบอกว่า “ปล่อยให้ผู้คนไปตามหมู่บ้านใกล้เคียงและชนบท เพื่อหาอาหารและที่พักเถิด เพราะที่นี่เป็นที่กันดาร” 13 พระองค์ตอบว่า “พวกเจ้าเอาอาหารมาให้เขาเถิด” เหล่าสาวกพูดว่า “เรามีเพียงขนมปัง 5 ก้อนกับปลาอีก 2 ตัวเท่านั้น นอกจากว่าเราจะไปซื้ออาหารมาให้คนเหล่านี้” 14 มีชายประมาณ 5,000 คนที่นั่น แต่พระองค์กล่าวกับสาวกว่า “จงให้คนนั่งลงรวมเป็นกลุ่มๆ ละประมาณ 50 คน” 15 พวกสาวกก็ทำตาม โดยให้ทุกคนนั่งลง 16 พระองค์หยิบขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว แล้วแหงนหน้าขึ้นสู่สวรรค์ กล่าวขอบคุณพระเจ้า และบิขนมปังให้กับพวกสาวกเพื่อแจกแก่ผู้คน 17 พวกเขาทุกคนได้รับประทานกันจนอิ่มหนำ และสามารถรวบรวมอาหารที่เหลือได้ 12 ตะกร้า
บุตรมนุษย์เป็นใคร
18 ครั้งหนึ่ง ขณะที่พระเยซูกำลังอธิษฐานอยู่เพียงพระองค์เดียว พระองค์ถามบรรดาสาวกที่อยู่ด้วยว่า “ฝูงชนพูดกันว่าเราเป็นใคร” 19 สาวกตอบว่า “เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บ้างพูดว่าเป็นเอลียาห์ บางคนก็ว่า เป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าจากสมัยโบราณที่ได้ฟื้นคืนชีวิตอีก” 20 พระองค์ถามว่า “แต่พวกเจ้าพูดว่าเราเป็นใคร” เปโตรตอบว่า “พระคริสต์ของพระเจ้า”
21 พระเยซูกำชับพวกเขาไม่ให้บอกใครๆ 22 พระองค์กล่าวว่า “บุตรมนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ และพวกผู้ใหญ่ บรรดามหาปุโรหิต และอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติจะไม่ยอมรับ บุตรมนุษย์จะถูกประหารชีวิตและ 3 วันต่อมาจะฟื้นคืนชีวิต”
23 แล้วพระองค์กล่าวกับทุกคนที่นั่นว่า “ถ้าใครปรารถนาที่จะตามเรามาจะต้องไม่เห็นแก่ตนเอง เขาจะแบกไม้กางเขนของตนเป็นประจำทุกวันและติดตามเรา 24 เพราะใครก็ตามที่ต้องการช่วยชีวิตของตนให้รอดจะสูญเสียชีวิตนั้นไป แต่ใครก็ตามที่ยอมเสียชีวิตของเขาเพื่อเราก็จะมีชีวิตที่รอดพ้น 25 จะมีประโยชน์อะไร หากคนหนึ่งได้ทั้งโลกมาเป็นของตน แต่ต้องสูญเสียชีวิตของเขาไป 26 ใครก็ตามที่มีความอายเพราะเราและคำพูดของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะเขา ในเวลาที่ท่านมาด้วยสง่าราศีของท่าน ของพระบิดาและของบรรดาทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ 27 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า บางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะไม่รู้รสความตายก่อนที่จะเห็นอาณาจักรของพระเจ้า”
พระเยซู โมเสส และเอลียาห์
28 หลังจากที่พระเยซูกล่าวสิ่งนี้ได้ประมาณ 8 วันก็พาเปโตร ยอห์น และยากอบ ขึ้นไปบนภูเขาด้วยเพื่ออธิษฐาน 29 ขณะที่พระองค์อธิษฐานอยู่ ใบหน้าของพระองค์ก็เปลี่ยนไป และเสื้อตัวนอกที่สวมก็บังเกิดขาวประกายเจิดจ้า 30 มีชาย 2 คนกำลังสนทนาอยู่กับพระองค์คือโมเสสและเอลียาห์ 31 เขาทั้งสองปรากฏตัวด้วยสง่าราศีที่รุ่งโรจน์ และกำลังสนทนากันถึงการจากไปของพระองค์ ซึ่งใกล้ถึงเวลาที่จะกระทำให้สำเร็จเสร็จสิ้นที่เมืองเยรูซาเล็ม 32 เปโตรและสาวกอีก 2 คนที่ติดตามมาด้วยกำลังเคลิ้ม แต่เมื่อตื่นขึ้นก็เห็นพระสง่าราศีของพระเยซู และชาย 2 คนนั้นก็ยืนอยู่ด้วย 33 ขณะที่ชายทั้งสองกำลังจากไป เปโตรพูดกับพระเยซูโดยไม่รู้สึกตัวว่า “นายท่าน ดีเหลือเกินที่พวกเราได้มาอยู่กันที่นี่ ให้พวกเราสร้างกระโจม 3 หลังเถิด กระโจมหนึ่งสำหรับพระองค์ กระโจมหนึ่งสำหรับโมเสส และกระโจมหนึ่งสำหรับเอลียาห์” 34 ขณะที่กำลังพูด เมฆก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นปกคลุมผู้คน ณ ที่นั้นไว้ จนต่างก็เกิดความตระหนกยิ่ง 35 ทั้งมีเสียงจากเมฆกล่าวว่า “ผู้นี้เป็นบุตรของเรา คือผู้ที่เราได้เลือกไว้แล้ว จงฟังท่านเถิด” 36 สิ้นเสียงนั้นแล้วสาวกทั้งสามก็พบพระเยซูแต่เพียงลำพัง และพวกเขาเก็บเรื่องนี้ไว้โดยไม่แพร่งพรายกับผู้ใดในเวลานั้นว่า พวกเขาได้พบอะไรมาบ้าง
พระเยซูขับไล่วิญญาณร้ายออกจากตัวเด็ก
37 ในวันรุ่งขึ้น เมื่อพระองค์และเหล่าสาวกลงมาจากภูเขาก็พบว่า มีผู้คนมากมายมารอพบพระองค์ 38 ชายคนหนึ่งในฝูงชนตะโกนขึ้นว่า “อาจารย์ ขอท่านโปรดดูลูกชายของข้าพเจ้า เพราะเขาเป็นลูกคนเดียวเท่านั้น 39 มีวิญญาณเข้าสิงเขา ทำให้กรีดร้องดังทันทีทันใด แล้วเขาจะชักจนน้ำลายฟูมปาก มันทำให้เขาล้มลุกคลุกคลาน และแทบจะไม่ได้ละไปจากร่างของเขาเลย 40 ข้าพเจ้าได้อ้อนวอนให้สาวกของท่านขับไล่มันไปเสีย แต่พวกเขาทำไม่ได้” 41 พระเยซูตอบว่า “คนในช่วงกาลเวลานี้ช่างไร้ความเชื่อ และบิดเบือนเสียจริง เราจะต้องอยู่กับพวกเจ้า และทนต่อเจ้าไปนานสักเท่าไร จงนำตัวลูกชายของเจ้ามาที่นี่เถิด” 42 ขณะที่เด็กกำลังเดินมา มารก็ทำให้เขาล้มลงกับพื้นและชัก แต่พระเยซูห้ามวิญญาณร้าย และรักษาเด็กจนหายดี แล้วส่งกลับไปหาพ่อของเขา 43 ฝูงชนต่างอัศจรรย์ใจในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ขณะที่ทุกคนกำลังแปลกใจกับสิ่งทั้งปวงที่พระเยซูกระทำ พระองค์กล่าวกับพวกสาวกว่า 44 “จงฟังเราให้ดี จวนเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของมนุษย์” 45 แต่พวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่พระองค์กล่าวถึง เขาไม่อาจเห็นความหมายที่แฝงอยู่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามถึงความนัยนั้น
ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด
46 พวกสาวกเริ่มถกเถียงกันว่าใครเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในจำนวนพวกเขา 47 พระเยซูทราบถึงความคิดของสาวกจึงนำเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนใกล้พระองค์ 48 แล้วกล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “ผู้ใดก็ตามที่รับเด็กเล็กๆ คนนี้ในนามของเรา ก็ถือได้ว่า รับเราด้วย และผู้ใดที่รับเรา ก็นับว่ารับพระองค์ผู้ส่งเรามา ผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในพวกเจ้าคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
49 ยอห์นพูดว่า “นายท่าน พวกเราเห็นชายคนหนึ่งขับไล่พวกมารในพระนามของพระองค์ และพวกเราพยายามที่จะห้ามเขา เพราะว่าเขาไม่ใช่คนของเรา” 50 พระเยซูกล่าวว่า “อย่าห้ามเขาเลย คนที่ไม่เป็นฝ่ายค้านพวกเจ้าก็เป็นฝ่ายเจ้า”
ชาวสะมาเรียไม่ยอมรับพระเยซู
51 เมื่อใกล้เวลาที่พระองค์จะคืนสู่สวรรค์ พระเยซูตั้งใจแน่วแน่ที่จะเดินทางไปยังเมืองเยรูซาเล็ม 52 และส่งพวกผู้ส่งข่าวล่วงหน้าไปยังหมู่บ้านของชาวสะมาเรีย[g] เพื่อเตรียมสิ่งต่างๆ ให้พร้อม 53 แต่ผู้คนที่นั่นกลับไม่ยอมรับพระองค์ เพราะเมืองเยรูซาเล็มเป็นจุดหมายปลายทางของพระองค์ 54 เมื่อสาวกของพระองค์คือยากอบและยอห์นเห็นดังนั้นจึงถามว่า “พระองค์ท่าน พระองค์จะโปรดให้พวกเราขอไฟลงมาจากสวรรค์ทำลายเขาเสียไหม” 55 แต่พระเยซูหันกลับและห้ามพวกเขาไว้ 56 แล้วพระองค์กับเหล่าสาวกจึงไปยังหมู่บ้านอื่น
ความพร้อมก่อนติดตามพระเยซู
57 ขณะที่พวกเขากำลังเดินกันไปตามถนน ได้มีชายคนหนึ่งพูดกับพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะติดตามพระองค์ไปทุกแห่งหน” 58 พระเยซูตอบว่า “สุนัขจิ้งจอกอาศัยในโพรง นกมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่อาศัยนอน” 59 พระองค์กล่าวกับอีกคนว่า “จงตามเรามาเถิด” ชายผู้นั้นพูดว่า “พระองค์ท่าน โปรดให้ข้าพเจ้าได้ไปฝังศพบิดาของข้าพเจ้าก่อน” 60 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “ปล่อยให้คนตายฝังศพคนตายของเขาเอง เจ้าจงไปเพื่อประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า” 61 อีกคนพูดว่า “พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าจะติดตามพระองค์ไป แต่ขอให้ได้ร่ำลาครอบครัวของข้าพเจ้าก่อน” 62 พระเยซูตอบว่า “ไม่มีผู้ใดที่จับคันไถแล้วหันหน้ากลับไป จะเหมาะสมกับการเป็นผู้รับใช้ในอาณาจักรของพระเจ้า”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation