Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Read the Gospels in 40 Days

Read through the four Gospels--Matthew, Mark, Luke, and John--in 40 days.
Duration: 40 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ยอห์น 7-8

เทศกาลอยู่เพิง

หลังจากนั้นพระเยซูเดินทางไปตามแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ประสงค์ที่จะไปยังแคว้นยูเดีย เพราะชาวยิวหาโอกาสจะฆ่าพระองค์ ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลอยู่เพิงของชาวยิว พวกน้องๆ ของพระเยซูพูดกับพระองค์ว่า “ท่านออกไปจากที่นี่เถิด แล้วไปยังแคว้นยูเดียเพื่อให้บรรดาสาวกของท่านเห็นงานที่ท่านกำลังกระทำอยู่ ด้วยเหตุที่ว่าไม่มีผู้ใดกระทำการในที่ลับ ในเมื่อเขาต้องการให้เป็นที่ประจักษ์อย่างเปิดเผย หากท่านกระทำการเหล่านี้แล้ว ก็จงแสดงตนให้โลกเห็นเถิด” แม้พวกน้องๆ ของพระองค์ก็ไม่เชื่อในพระองค์ พระเยซูกล่าวกับน้องๆ ว่า “ยังไม่ถึงกำหนดเวลาของเรา แต่สำหรับเจ้าแล้วโอกาสใดก็ได้ โลกจะเกลียดชังเจ้าไม่ได้ แต่จะเกลียดเราเพราะเรายืนยันในสิ่งชั่วร้ายที่โลกได้กระทำ พวกเจ้าไปร่วมในงานเทศกาลกันเองเถิด เรายังไม่ไปที่งานเทศกาลนี้ เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของเรา” เมื่อกล่าวกับพวกเขาแล้วพระองค์ก็พักอยู่ที่แคว้นกาลิลีนั่นเอง

10 แต่เมื่อพวกน้องๆ ของพระองค์ไปที่งานเทศกาลแล้ว พระองค์ก็ขึ้นไปด้วยโดยไม่ให้ผู้คนทราบ แต่เป็นการลับ 11 ชาวยิวที่กำลังตามหาพระองค์ในงานเทศกาลพากันถามว่า “คนนั้นอยู่ที่ไหน” 12 ฝูงชนพากันซุบซิบเรื่องของพระองค์มากมาย บ้างพูดว่า “ท่านเป็นคนดี” บ้างก็พูดว่า “คนหลอกลวงประชาชน” 13 แต่ก็ไม่มีผู้ใดพูดถึงพระองค์อย่างเปิดเผย เพราะเกรงกลัวชาวยิว

14 แต่เมื่อถึงช่วงกลางๆ ของงานเทศกาล พระเยซูขึ้นไปที่พระวิหารแล้วเริ่มสั่งสอน 15 ชาวยิวต่างประหลาดใจกันจึงพูดว่า “ชายผู้นี้รู้สิ่งต่างๆ มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่เคยเรียนมาก่อน” 16 พระเยซูตอบว่า “การสั่งสอนของเราไม่ใช่ของเรา แต่เป็นของพระองค์ผู้ส่งเรามา 17 ถ้าผู้ใดเลือกที่จะกระทำตามความประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นจะทราบว่าคำสั่งสอนของเรามาจากพระเจ้า หรือเราพูดตามความตั้งใจของเราเอง 18 ผู้ที่พูดจากความตั้งใจของตนเองย่อมแสวงหาบารมีให้แก่ตนเอง แต่ผู้ที่แสวงหาพระบารมีของพระองค์ผู้ที่ได้ส่งผู้นั้นมา ผู้นั้นมีแต่ความสัตย์และปราศจากความเท็จ 19 โมเสสได้ให้กฎบัญญัติไว้แก่พวกท่านมิใช่หรือ แต่ก็ไม่มีพวกท่านสักคนที่ปฏิบัติตามกฎบัญญัติ แล้วทำไมท่านจึงหาโอกาสฆ่าเรา” 20 ฝูงชนตอบว่า “ท่านมีมารสิงอยู่ ใครเล่าที่พยายามฆ่าท่าน” 21 พระเยซูกล่าวตอบว่า “เราแสดงสิ่งอัศจรรย์สิ่งเดียว พวกท่านก็พากันประหลาดใจ 22 โมเสสได้ให้ท่านเข้าสุหนัต (มิใช่เพราะว่าการเข้าสุหนัตมาจากโมเสส แต่มาจากบรรพบุรุษ) และในวันสะบาโตพวกท่านก็ยังให้บุตรของท่านเข้าสุหนัต 23 ถ้าบุตรของท่านเข้าสุหนัตในวันสะบาโตเพื่อไม่ให้ละเมิดหมวดกฎบัญญัติของโมเสสแล้ว พวกท่านโกรธเราเพราะว่า เราได้ทำให้ชายคนหนึ่งหายเป็นปกติในวันสะบาโตหรือ 24 อย่าตัดสินจากลักษณะภายนอก แต่จงตัดสินตามความเป็นจริงเถิด”

25 บางคนในเมืองเยรูซาเล็มพูดกันว่า “ชายผู้นี้มิใช่หรือที่ผู้คนพยายามฆ่า 26 ดูสิ ท่านกำลังพูดอย่างเปิดเผยและไม่มีใครว่าท่านเลย พวกที่อยู่ในระดับปกครองสรุปข้อเท็จจริงได้แล้วหรือว่า ผู้นี้เป็นพระคริสต์ 27 อย่างไรก็ตาม เราทราบว่าชายผู้นี้มาจากไหน แต่เมื่อใดก็ตามที่พระคริสต์มา ไม่มีใครเลยที่ทราบว่าพระองค์มาจากไหน” 28 พระเยซูกล่าวสั่งสอนด้วยเสียงอันดังในพระวิหารว่า “พวกท่านรู้จักเรา และรู้ด้วยว่าเรามาจากไหน และเราไม่ได้มาโดยลำพังตนเอง แต่พระองค์ผู้ส่งเรามานั้นเป็นจริง และพวกท่านก็ไม่รู้จักพระองค์ 29 เรารู้จักพระองค์เพราะว่าเรามาจากพระองค์ และพระองค์ส่งเรามา” 30 ด้วยเหตุนี้เองเขาเหล่านั้นจึงพยายามจะจับกุมพระเยซู แต่ไม่มีผู้ใดยื่นมือแตะต้องพระองค์ได้ เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์ 31 แต่มีหลายคนในฝูงชนที่เชื่อในพระเยซูและพูดกันว่า “เมื่อพระคริสต์มา พระองค์คงจะไม่แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์มากกว่าที่ชายผู้นี้ได้กระทำหรอก”

32 พวกฟาริสีได้ยินฝูงชนพากันซุบซิบเรื่องของพระองค์ พวกมหาปุโรหิตและฟาริสีจึงได้ส่งพวกเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าพระวิหารไปเพื่อจับกุมพระองค์ 33 ฉะนั้นพระเยซูกล่าวว่า “เราอยู่กับพวกท่านอีกเพียงประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วเราก็จะไปหาผู้ที่ส่งเรามา 34 พวกท่านจะแสวงหาเรา แต่จะไม่พบ และที่ซึ่งเราอยู่ พวกท่านไม่อาจไปถึงได้” 35 ดังนั้นชาวยิวจึงพูดโต้ตอบกันว่า “ชายผู้นี้ตั้งใจจะไปที่ไหนที่พวกเราจะหาไม่พบ จะตั้งใจไปหาพวกเราที่กระจัดกระจายไปอยู่กับชาวกรีก และสั่งสอนชาวกรีกหรือ 36 ท่านหมายความว่าอย่างไรที่กล่าวว่า ‘พวกท่านจะแสวงหาเรา แต่จะไม่พบ และที่ซึ่งเราอยู่ พวกท่านไม่อาจไปถึงได้’”

แม่น้ำแห่งชีวิต

37 ในวันสุดท้ายอันเป็นวันยิ่งใหญ่ของงานเทศกาลนั้น พระเยซูยืนขึ้นกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ถ้าผู้ใดกระหายก็ให้เขามาหาเราและดื่ม 38 ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่า ผู้ที่เชื่อเรา ‘จะมีแม่น้ำที่มีน้ำแห่งชีวิตไหลจากภายในที่เป็นส่วนลึกสุดของเขา’” 39 สิ่งที่พระองค์กล่าวนี้หมายถึงพระวิญญาณซึ่งบรรดาคนที่เชื่อในพระองค์จะได้รับ ด้วยว่าพระเยซูยังไม่ได้รับพระบารมี จึงยังไม่ได้มอบพระวิญญาณให้

40 เมื่อฝูงชนได้ยินแล้ว บางคนก็พูดว่า “ผู้นี้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้นั้นอย่างแน่นอน” 41 บ้างก็พูดว่า “ผู้นี้เป็นพระคริสต์” คนอื่นๆ พูดว่า “พระคริสต์ไม่ได้มาจากแคว้นกาลิลีแน่ใช่ไหม 42 พระคัมภีร์ได้ระบุไว้แล้วมิใช่หรือว่า พระคริสต์สืบเชื้อสายมาจากดาวิดและจากหมู่บ้านเบธเลเฮมซึ่งดาวิดเคยอยู่” 43 ดังนั้นฝูงชนก็แบ่งพรรคแบ่งพวกกันเพราะเรื่องของพระเยซู 44 บางคนต้องการจะจับกุมพระองค์ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือออกไปแตะต้องพระองค์

ความไม่เชื่อของผู้นำชาวยิว

45 บรรดาเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าพระวิหารจึงมาหาพวกมหาปุโรหิตและฟาริสี เขาเหล่านั้นถามเจ้าหน้าที่ว่า “ทำไมพวกท่านจึงไม่นำตัวเขามา” 46 บรรดาเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าพระวิหารตอบว่า “ชายผู้นี้พูดไม่เหมือนใครเลย” 47 ฉะนั้นพวกฟาริสีตอบพวกเขาว่า “เจ้าถูกหลอกไปด้วยแล้วหรือ 48 มีผู้ใดในระดับปกครองหรือพวกฟาริสีที่เชื่อเขาบ้างไหม 49 แต่ฝูงชนกลุ่มนี้ไม่รู้กฎบัญญัติจึงถูกสาปแช่ง” 50 นิโคเดมัสเป็นผู้หนึ่งในพวกเขา ซึ่งเป็นคนที่มาหาพระเยซูก่อนหน้านี้และได้ถามพวกเขาว่า 51 “กฎบัญญัติของเราไม่ควรกล่าวโทษคน จนกว่าจะฟังเขาก่อนและรู้ว่าเขากระทำอะไรมิใช่หรือ” 52 เขาเหล่านั้นตอบนิโคเดมัสว่า “ท่านก็มาจากแคว้นกาลิลีด้วยหรือ จงค้นหาดูให้ดีเถิด แล้วท่านจะพบว่าไม่มีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้ใดที่มาจากแคว้นกาลิลี” 53 [จากนั้นทุกคนก็พากันกลับไปยังบ้านของตน

หญิงผู้ล่วงประเวณี

แต่พระเยซูเดินทางไปยังภูเขามะกอก พอเช้าตรู่พระเยซูไปที่พระวิหารอีก และผู้คนต่างก็พากันมาหา พระองค์นั่งลงและเริ่มสั่งสอนพวกเขา บรรดาอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสีได้พาหญิงคนหนึ่งที่ถูกจับฐานผิดประเวณีมายืนต่อหน้าทุกคนที่นั่น คนเหล่านั้นพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะที่กำลังล่วงประเวณี กฎบัญญัติของโมเสสได้สั่งให้เราเอาหินขว้างผู้หญิงอย่างนี้ แล้วท่านจะว่าอย่างไร” คนเหล่านั้นยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นการทดสอบพระองค์เพื่อจะใช้เป็นเหตุในการกล่าวหาพระองค์ แต่พระเยซูกลับก้มตัวลงเอานิ้วมือเขียนที่พื้นดิน แต่คนเหล่านั้นยังคงถามพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำอีก พระองค์จึงยืนขึ้นและถามว่า “พวกท่านคนใดที่ไม่มีบาป ก็ให้เป็นคนแรกที่ใช้ก้อนหินขว้างนาง” แล้วพระองค์ก็ก้มลงเขียนบนพื้นดินต่อไป คนพวกนั้นจึงเริ่มถอยออกไปทีละคน โดยเริ่มจากคนที่มีอาวุโสก่อน ในที่สุดก็มีเพียงพระองค์อยู่ที่นั่นกับหญิงคนนั้นซึ่งยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ 10 พระเยซูยืนขึ้นและกล่าวกับนางว่า “หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด ไม่มีใครกล่าวโทษเจ้าหรือ” 11 นางพูดว่า “ไม่มีใครเลย นายท่าน” พระเยซูกล่าวว่า “เราก็ไม่กล่าวโทษเจ้าเช่นกัน ไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก”][a]

ความสว่างของโลก

12 พระเยซูจึงกล่าวกับเขาเหล่านั้นอีกว่า “เราคือความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ดำเนินชีวิตในความมืด และจะได้พบกับความสว่างของชีวิต” 13 พวกฟาริสีจึงพูดกับพระองค์ว่า “ท่านยืนยันเพื่อตัวท่านเอง เพราะฉะนั้นคำยืนยันของท่านย่อมไม่เป็นความจริง” 14 พระเยซูกล่าวตอบว่า “ถ้าแม้ว่าเราจะยืนยันเพื่อตัวเราเอง คำยืนยันของเราก็เป็นความจริง เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ใด แต่พวกท่านไม่รู้ว่าเรามาจากไหน หรือจะไปที่ใด 15 พวกท่านกล่าวโทษตามวิสัยโลก แต่เราไม่กล่าวโทษผู้ใด 16 ถ้าแม้ว่าเราจะกล่าวโทษ การกล่าวโทษของเราก็เป็นความจริงเพราะไม่ใช่เราคนเดียวที่กล่าวโทษ แต่เรากระทำร่วมกันกับพระองค์ผู้ส่งเรามา 17 แม้ว่าในกฎบัญญัติของท่านมีบันทึกไว้ว่า คำยืนยันจาก 2 คนจึงจะเป็นความจริง 18 เรายืนยันเพื่อตนเอง พระบิดาผู้ส่งเรามาก็ยืนยันเพื่อเราด้วย” 19 เขาเหล่านั้นจึงพูดกับพระองค์ว่า “พระบิดาของท่านอยู่ที่ไหน” พระเยซูตอบว่า “ท่านไม่รู้จักทั้งเราและพระบิดา เพราะถ้าท่านรู้จักเรา ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย” 20 พระองค์กล่าวคำเหล่านี้ใกล้ๆ ตู้ถวายเงิน ขณะที่พระองค์สั่งสอนในพระวิหาร และไม่มีใครจับกุมพระองค์ เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์

21 ฉะนั้น พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นอีกว่า “เมื่อเราจากไป พวกท่านจะแสวงหาเรา ท่านจะตายด้วยบาปที่ติดตัวท่านอยู่ แล้วที่ซึ่งเราไป ท่านก็ไม่อาจไปถึงได้” 22 ชาวยิวจึงพูดว่า “เขาจะฆ่าตัวตายหรือ ในเมื่อเขาพูดว่า ‘ที่ซึ่งเราไป ท่านไม่อาจไปถึงได้’” 23 พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “พวกท่านมาจากเบื้องล่าง เรามาจากเบื้องบน ท่านเป็นคนของโลกนี้ แต่เราไม่ได้เป็นคนของโลกนี้ 24 ฉะนั้นเราจึงพูดกับท่านว่า ท่านจะตายด้วยบาปทั้งหลายที่ติดตัวท่านอยู่ ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราคือผู้ที่เราอ้างว่าเราเป็น[b] ท่านก็จะตายเพราะบาปทั้งหลายของท่านเอง” 25 เขาเหล่านั้นจึงพูดกับพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร” พระเยซูกล่าวว่า “เราเป็นตามที่เราบอกท่านไว้ตั้งแต่แรก 26 เรามีหลายสิ่งที่จะพูดและกล่าวโทษท่าน แต่ผู้ที่ส่งเรามาเป็นผู้ที่วางใจได้ สิ่งที่เราได้ยินจากพระองค์ เราก็กล่าวแก่โลก” 27 เขาทั้งปวงไม่ทราบว่าพระองค์ได้พูดกับเขาถึงเรื่องพระบิดา 28 ดังนั้นพระเยซูกล่าวว่า “เมื่อพวกท่านยกบุตรมนุษย์ขึ้น ท่านจะได้รู้ว่าเราคือผู้ที่เราอ้างว่าเราเป็น และเราไม่ทำสิ่งใดตามลำพังของเราเอง แต่เราพูดถึงสิ่งเหล่านี้ตามที่พระบิดาสอนเราไว้ 29 พระองค์ผู้ส่งเรามาดำรงอยู่กับเรา และไม่เคยทอดทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะว่าเรากระทำสิ่งซึ่งเป็นที่พอใจพระองค์เสมอ” 30 ขณะที่พระองค์กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ ก็มีคนจำนวนมากที่เชื่อในพระองค์

บุตรของอับราฮัม

31 พระเยซูกล่าวกับชาวยิวที่ได้เชื่อในพระองค์ว่า “ถ้าท่านดำรงอยู่ในคำกล่าวของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง 32 ท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ” 33 เขาเหล่านั้นตอบพระองค์ว่า “พวกเราสืบตระกูลมาจากอับราฮัม[c] และยังไม่เคยเป็นทาสของใครเลย ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘ท่านจะเป็นอิสระ’”

34 พระเยซูตอบว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่กระทำบาปเป็นทาสของบาป 35 และทาสจะไม่ได้อยู่ในบ้านตลอดไป บุตรต่างหากที่สามารถอยู่ได้ตลอดกาล 36 ฉะนั้นถ้าพระบุตรจะทำให้ท่านเป็นอิสระ ท่านก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง 37 เรารู้ว่าพวกท่านสืบตระกูลมาจากอับราฮัม แต่ท่านก็ยังพยายามจะฆ่าเรา เพราะไม่ยอมรับคำกล่าวของเรา 38 เราพูดถึงสิ่งที่เราได้เห็นจากพระบิดาของเรา ฉะนั้นท่านกระทำสิ่งที่ท่านได้ยินจากบิดาของท่านด้วย”

39 เขาเหล่านั้นตอบพระองค์ว่า “อับราฮัมเป็นบิดาของเรา” พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ถ้าพวกท่านเป็นบรรดาบุตรของอับราฮัม ก็จงทำในสิ่งที่อับราฮัมได้ทำมาแล้ว 40 แต่เท่าที่เป็นอยู่ ท่านพยายามฆ่าเรา ซึ่งเป็นผู้ที่ได้บอกท่านถึงความจริงที่เราได้ยินมาจากพระเจ้า อับราฮัมไม่ได้ทำอย่างนี้ 41 พวกท่านกำลังทำในสิ่งที่บิดาของท่านได้ทำมาแล้ว” พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า “เราไม่ได้เกิดจากการผิดประเวณี เรามีพระบิดาองค์เดียวคือพระเจ้า” 42 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพระบิดาของท่าน ท่านก็จะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้า และอยู่ที่นี่แล้ว เราไม่ได้มาด้วยความตั้งใจของเราเอง แต่พระองค์ส่งเรามา 43 ทำไมท่านจึงไม่เข้าใจเรื่องที่เราพูด นั่นก็เป็นเพราะว่าท่านไม่ยอมรับฟังคำกล่าวของเรา 44 พวกท่านเป็นเช่นบิดาของท่านคือพญามาร ท่านจึงต้องการปฏิบัติตามความต้องการของบิดาของท่าน ซึ่งเป็นฆาตกรมาตั้งแต่ต้นและไม่ยืนอยู่ในความจริง เพราะว่าไม่มีความจริงอยู่ในตัวเอง เมื่อไรก็ตามที่บิดาของท่านพูดเท็จ ก็เพราะพูดจากนิสัยของตนเองคือขี้ปด และเป็นบิดาแห่งความเท็จทั้งปวง 45 เมื่อเราพูดความจริง ท่านกลับไม่เชื่อเรา 46 มีใครบ้างในพวกท่านที่พิสูจน์ให้เห็นได้ว่าเราทำบาป เมื่อเราพูดความจริง แล้วทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา 47 คนของพระเจ้าย่อมฟังคำกล่าวของพระเจ้า พวกท่านไม่ใช่คนของพระเจ้าจึงไม่ได้ยินคำกล่าวนั้น”

48 ชาวยิวตอบพระองค์ว่า “พวกเราพูดผิดหรือที่ว่า ท่านเป็นชาวสะมาเรียและมีมารสิงอยู่” 49 พระเยซูตอบว่า “เราไม่มีมารสิง เราให้เกียรติพระบิดาของเรา แต่ท่านหลู่เกียรติของเรา 50 เราไม่แสวงหาบารมีของเรา แต่มีพระองค์ผู้เดียวที่เป็นผู้แสวงหาให้และเป็นผู้พิพากษา 51 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าผู้ใดรักษาคำกล่าวของเราไว้ ผู้นั้นจะไม่มีวันประสบความตายเลย” 52 ชาวยิวพูดกับพระองค์ว่า “บัดนี้พวกเราทราบว่าท่านมีมารสิงอยู่ อับราฮัมตายไปแล้ว และผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าก็เช่นกัน ท่านยังจะพูดว่า ‘ถ้าผู้ใดรักษาคำกล่าวของเรา ผู้นั้นจะไม่มีวันลิ้มรสความตายเลย’ 53 ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของเราที่ได้ตายไปแล้วหรือ บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าล้วนตายไปหมดแล้ว ท่านคิดว่าท่านเป็นใคร” 54 พระเยซูตอบว่า “ถ้าเราให้บารมีแก่ตนเอง บารมีของเราก็ไม่มีความหมาย แต่พระบิดาของเราซึ่งพวกท่านบอกว่าเป็นพระเจ้าของท่าน เป็นผู้ให้บารมีแก่เรา 55 พวกท่านกลับไม่รู้จักพระองค์เลย ในขณะที่เรารู้จักพระองค์ หากเราพูดว่าไม่รู้จักพระองค์ เราก็จะเป็นคนพูดเท็จเหมือนกับท่าน เรารู้จักพระองค์และรักษาคำกล่าวของพระองค์ 56 อับราฮัมบิดาของท่านชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นวันของเรา ซึ่งอับราฮัมก็ได้เห็นแล้วและได้ชื่นชมยินดี” 57 ชาวยิวจึงพูดกับพระองค์ต่อไปว่า “ท่านอายุยังไม่ถึง 50 ปี ได้เคยเห็นอับราฮัมแล้วหรือ” 58 พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนที่อับราฮัมจะเกิด เราดำรงอยู่ก่อนแล้ว”[d] 59 เขาเหล่านั้นจึงได้หยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูหลบพ้นและออกจากพระวิหารไป

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation